ผู้ว่าฯสมุทรสาคร อาลัย ‘หมอหนึ่ง’ จนท.ด่านหน้า ติดโควิดเสียชีวิต แม้ฉีดซิโนแวค 2 เข็ม
https://www.matichon.co.th/social/news_2824772
เมื่อวันที่ 12 กรฎกาคม นาย
วีระศักดิ์ วิติตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร โพสต์เฟซบุ๊ก อาลัย
หมอหนึ่ง พิเชษฐ์ สหกิจ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล สต.สวนหลวง โดยว่า
“ใกล้แค่เอื้อม
บ่ายสามถึงวัดอ่างทอง กระทุ่มแบน ร่วมพิธีฌาปนกิจศพ จนท.รพ.สต.สวนหลวง พิเชษฐ์ สหกิจ หรือ หมอหนึ่ง ที่เสียชีวิตจากโควิดเมื่อคืนที่ผ่านมา
ผช.สสอ.กระทุ่มแบนติดโควิด ทำให้ สสอ.กลายเป็นกลุ่มเสี่ยง หากผลออกมาว่า สสอ.ติดด้วย นายอำเภอ ปลัดจังหวัด รอง ผวจ. หรือแม้แต่ ผวจ.คงไม่รอด สถานการณ์ที่สมุทรสาครตึงเครียดสุดขีดแต่ตึงเครียดแค่ไหน เรายังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
เรากำลังเร่งเรื่อง รพ.สนาม และ Community Isolation หรือ ศูนย์พักคอยคนสาครไม่ทอดทิ้งกันอย่างเข้มข้น
เดินทางกลับ พร้อมอธิษฐานให้ดวงวิญญาณ ”หนึ่ง” ไปสู่สุขคติในสัมปรายภพ พวกเราที่ยังอยู่ พร้อมที่จะเป็นด่านหน้า ที่บางคนเคยปรามาสว่า “เห็นแก่ตัว” ทั้งที่เจ็บ และตาย อยู่ใกล้แค่เอื้อม อนาคตสุดจะคาดเดา”
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กของ
รติรัตน์ รถทอง ได้โพสต์ เล่าเรื่องราวของหมอหนึ่ง ไว้ว่า
“ข้าว…ทราบข่าวนี้สักสองวันแล้ว
แต่ยังไม่สามารถเขียนออกมาเป็นข่าวสารเพื่อสื่อให้คนเข้าใจสถานการณ์ได้ว่าสมุทรสาครมีอะไรที่มากกว่าความเงียบงัน…ของคนสมุทรสาคร
หมอหนึ่ง นายพิเชษฐ์ สหกิจ หมออนามัย รพสต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เวลาปะทะคนไข้แรกๆ จะเป็นหมอโรงพยาบาลชุมชนตำบลเหล่านี้ พวกเขาและเธอต่างต้องรับมือคนเจ็บคนป่วยที่เข้ามารักษาใน รพ.ด่านแรกที่เจอโควิด…ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราเข้าใจผิดว่าเรามีด่านแรกที่เข้มแข็ง มี อสม. มีทุกอย่างดูแลโรคระบาดได้ในครั้งแรกๆ แต่ลืมไปว่า หมอหรือเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็พลาดและหมดแรงได้ พอมาระลอก 3 มาเต็ม ๆ เราถึงมีข่าวว่าหมอ พยาบาล จนท.ติดกันเยอะ…ทุกคนกล้ำกลืน…แบบให้งานมาแต่ไม่ได้ติดอาวุธป้องกันให้พวกเขาทัพหน้าของไทย
หมอหนุ่มๆ หมอสาว ๆ ด่านหน้าเหล่านี้…หลายคนอายุน้อย โสดเป็นอนาคตของประเทศ อย่างหมอหนึ่ง ที่เป็นความหวังของครอบครัว. เป็นความภูมิใจของคนรอบข้างในสังคมได้พึ่งพา ดูแลคนไข้มากมาย เป็นเพื่อนเป็นน้องของคนที่รักเขา เขาก็รักคนเหล่านั้น
ขนาดน้องได้รับการฉีดซิโนแวดแล้วสองเข็มด้วยซ้ำแต่ป้องกันอะไรได้บ้างมั้ย ไม่เลย บางคนบอกข้าวว่าเหมือนฉีดน้ำเปล่ากันตาย. ที่ข้าวโมโหคือเพราะที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราเป็นหมอยังออกมาเชียร์ หลายคนบอกว่าดีที่สุดของคนไทยสมควรได้รับการฉีด…ลองมาเป็นพวกเขาบ้างซิแล้วตายบ้างซิ
เสียดายอนาคตหมอหนึ่งในอนาคตเราอาจมี ผอ.รพ.สต.ที่ดีๆ หรือเปล่า?…สังคมไทยเรากว่าจะสร้างคนดีคนเก่งมาทำงานยากเย็นขนาดไหนใครรู้
ตอนแรกข้าวว่าจะไม่เขียนแบบนี้…เพราะข้าวไม่รู้จักน้อง แต่เห็นน้องจบมหาลัยเดียวกันก็อดไม่ได้…
เพราะยังไงคงไม่ใช่รายเดียวที่ถูกลืม ขนาดเผาศพญาติพ่อแม่พี่น้องยังไปเปิดดูหน้าก่อนตายไม่ได้เลยจะมีอีกสักกี่คนคะที่ต้องสูญเสียอีก จะตายคาบ้านอีกกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นคน…ตอนปีที่แล้วข้าวยังคิดว่า ประเทศอื่นๆ อย่างอเมริกา อังกฤษ ยุโรปเขาโชคร้ายนะศพกองเป็นหมื่นฝั่งรวมกัน น่าสงสารนะแต่เปล่าเลย เราคนไทยนี่ต่างหากที่ลำบากลำบนมากว่าเขามากมายหลายร้อยเท่าเพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่เราอยู่บนปราสาทหอคอยงาช้าง
สองวันก่อนอ่านข่าวเป็ด เชิญยิ้มว่าพ่อแม่เขาตายหมดทั้งคู่ แม่ตายมิถุนายน พ่อตายต้นกรกฏาคมนี้เองเป็ดร้องไห้ยังกับเด็กๆ ใครจะดูแลพวกเราประชาชนคนไทยที่เดือดร้อนและคาดว่าจะเจ็บกันไปอีกนาน…เจ็บและไม่จบ อาจรอวัคซีนกว่าจะได้ครบเมื่อไหร่ เราอยากเดินภายใต้ดวงอาทิตย์แบบไม่ใส่แมสบ้าง. นี่สองปีแล้ว เป็นปี ๆ แล้วที่ออกไปกินข้าวนอกบ้านไม่ได้..เหนื่อยนะช่วยตื่นจากฝันที่วาดไว้บ้าง มองสถานะความเป็นจริงของเราบ้าง?
พี่ครูข้าวในสถานะคนสมุทรสาครเหมือนกันและเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แม้เราจะอยู่คนละคณะคนวงการการทำงานพี่ข้าวที่น่าจะแก่กว่ามาก ๆ คนนี้ก็ขอให้หมอหนึ่งสู่ภพภูมิที่ดีและสุขคติเถิดน้อง…
ปล.เคตดิตภาพจากเฟสบุ๊กของหมอหนึ่ง ขอบคุณที่อ่านค่ะ ร่วมอาลัยกันนะคะ…ข้าวเป็นนักเขียนอยากให้ทุกคนตระหนักรู้ความน่ากลัวของโควิด 19. ดูแลตัวเองด้วยทุกคน”
งัดข้อมูลโต้ ก.แรงงาน ยัน ปิดแคมป์คนงาน 14 วัน เกือบ 7 แสนคน ยังไม่ได้รับชดเชย เยียวยา
https://www.matichon.co.th/politics/news_2824822
งัดข้อมูลโต้ ก.แรงงาน ยัน’ปิดแคมป์คนงาน 14 วัน เกือบ 7 แสนคน ยังไม่ได้รับชดเชย เยียวยา
เมื่อวันที่ 12 ก.ค.
ไชยวัฒน์ วรรณโคตร เลขานุการและอนุกรรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาสถานการณ์ด้านแรงงานสวัสดิการ คุ้มครองแรงงาน และแรงงานสัมพันธ์ เขียนบทความ เรียบเรียงข้อมูลการชดเชยแรงงานจากคำสั่งปิดแคมป์คนงาน โดย ระบุว่า
ผ่านมา 14 วัน หลัง คำสั่งฉบับที่ 25 ตามกฎหมายฉุกเฉิน สาระสำคัญคือสั่งหยุดทำงานก่อสร้างพร้อมปิดแคมป์คนงานเพื่อตรวจหา และควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ 10 จังหวัด แบ่งเป็นชายแดนภาคใต้ 4 จังหวัด กรุงเทพฯ -ปริมณฑล อีก 6 มีผลบังคับใช้ 28 มิถุนายน – 27 กรกฎาคม 2564
หากเราย้อนกลับไปดูแผนงานการสั่งปิดแคมป์คนงานในครั้งนี้ จะพบว่า แผนของรัฐบาลแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ หนึ่งคือมาตรการด้านการเยียวยา สองมาตราการตรวจเชิงรุกและจัดการกับผู้ป่วยภายในแคมป์ ในส่วนของการเยียวยา รัฐบาลได้ประกาศออกมาว่า มาตรการเยียวยาหลังล็อคดาวน์ จะจัดให้มีข้าวสามมื้อให้แก่คนงาน สุดท้ายก็โยนให้แต่ละบริษัทจัดหาเอง บางบริษัทก็มีการจัดหา บางบริษัทก็ปล่อยคนงานตามกรรม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เห็นได้ตามข่าว ที่คนงานออกมาขอรับบริจาคเต็มไปหมด ผมเข้าใจว่าผู้มีอำนาจในรัฐบาลก็คงได้อ่านข่าวแต่ทำไมเข้ามาบริหารจัดการปัญหานี้สักที จนตอนนี้ประชาชน ต้องตั้ง ‘กลุ่มคนดูแลกันเอง’ ขึ้นมาแล้วเพราะทนเห็นเพื่อนมนุษย์ลำบากไม่ได้
ส่วนการ ชดเชย และเยียวยา รัฐบาลมีมาตรการดังนี้
ผู้อยู่ในระบบประกันสังคม กระทรวงแรงงานจ่ายค่าแรงให้กับแรงงาน 50% ของฐานเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท รัฐบาลจะจ่ายเงินให้ลูกจ้างเพิ่มเติมอีก 2,000 บาท และกระทรวงแรงงานจ่ายเงินช่วยเหลือนายจ้าง 3,000 บาทต่อการจ้างงาน 1 คน แต่สูงสุดไม่เกิน 200 คน เป็นเวลาเวลา 1 เดือน ผู้ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม มีฐานข้อมูลผู้ประกอบการจากระบบถุงเงิน หากต้องการได้รับการช่วยเหลือ ต้องขึ้นทะเบียนเข้าระบบประกันสังคมภายใน 1 เดือน จากนั้นรัฐบาลจะช่วยเหลือให้ลูกจ้างที่เป็น ‘สัญชาติไทย’ เป็นเงิน 2,000 บาท เวลา 1 เดือน และนายจ้าง 3,000 บาทต่อการจ้างงาน 1 คน แต่สูงสุดไม่เกิน 200 คน เป็นเวลาเวลา 1 เดือน
มาตรการชดเชยจากประกันสังคมและเยียวยาจาก พ.ร.ก เงินกู้ ข้างต้นนี้ ผ่านมา 14 วัน แล้ว ปัจจุบันผมยังได้รับเรื่องร้องเรียนเข้ามาอยู่เลยว่า คนงานที่ถูกสั่งปิดแคมป์ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาแม้แต่บาทเดียว ข้อมูลจากทางฝั่งรัฐบาลโดยการออกมาให้สัมภาษณ์ของกระทรวงแรงงานก็ดูเหมือนจะสับไปสับมา วันที่ 9 ก.ค. โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) ออกมาเปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้จ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเหตุสุดวิสัยโควิด-19 โดยตัดจ่ายระยะเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน-2 กรกฎาคม 2564 ได้มีการจ่ายให้แก่ลูกจ้างจำนวน 13,655 ราย เป็นเงิน 28,494,966.60 บาท พอมาถึงวันที่ 11 ก.ค. รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม ก็ออกมาบอกว่า เบื้องต้นได้ช่วยเหลือแรงงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานเพราะเหตุสุดวิสัย ร้อยละ 50 ของค่าจ้างแต่ไม่เกิน 7,500 บาท ล่าสุด สปส. ได้เริ่มจ่ายเยียวยาตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา รวมเป็นเงิน 878,167.25 บาท และ ‘กำลังดำเนินการวินิจฉัย’ เพื่ออนุมัติเงินให้กับลูกจ้าง ผู้ประกันตน ในงวดถัดไป อีกจำนวน 13,665 ราย วงเงินรวม 28,494,966.60 บาท
ถ้าสรุปตามที่ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม ออกมาให้ข่าวล่าสุด ก็คือยังไม่ได้จ่ายนั่นแหละ จ่ายไปแค่ 8 แสนกว่าบาท ไม่ใช่ 28 ล้านแบบที่โฆษกกระทรวงแรงงานให้ข่าวในตอนแรก คำถามถัดไปคือ แล้ววันไหนจะจ่าย วันไหนจะพิจารณาอนุมัติเสร็จ ปกติพวกเขาต้องได้รายได้วันต่อวัน แต่ปัจจุบันคนงานที่ถูกสั่งหยุดงานปิดแคมป์ วันนี้ไม่มีรายได้มา 14 วันแล้ว นี่ยังไม่นับรวมคนงานก่อสร้างส่วนใหญ่ ซึ่งอยู่นอกระบบที่หากจะได้เงินเยียวยาจำนวน 2,000 ในส่วนของเงินจาก พ.ร.ก. เงินกู้ต้องรอถึงวันที่ 23 ก.ค. แถมยังมีเงื่อนไขในการรับเต็มไปหมด คนงานกำลังจะตายในช่วงวิกฤติแต่ระบบราชการยังคงทำงานตามกรอบที่วางไว้ต่อไป นี่แสดงให้เห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลต่ออายุเรื่อย ๆ มาเนี่ย ไม่ได้ถูกนำมาปรับใช้กับการดำเนินนโยบายในภาวะวิกฤติเลย
ในส่วนของ มาตราการตรวจเชิงรุกและจัดการกับผู้ป่วยภายในแคมป์ ตอนที่รัฐมนตรีแรงงานออกมาชี้แจงมาตรารช่วงแรก ได้ประกาศไว้ว่า ในส่วนของการ ตรวจเชิงรุกแบบ Swab Test จะทำโดยทีมแพทย์ในเครือประกันสังคม กรณีเจอผู้ติดเชื้อก็นำไปรักษา คนไม่ติดเชื้อก็ให้อยู่ที่แคมป์ แยกออกจากกัน เพื่อตอบสังคมให้ได้ว่าปิดเพื่อทำการค้นหาเชิงรุกตรวจโควิด รวมถึงกำลังหารือว่าระหว่างกักตัวหากถึงคิวฉีดวัคซีนโควิด-19 แต่ปัจจุบัน ก็ไม่แน่ใจว่ามีทีมเข้าไปตรวจจริงกี่แคมป์ ปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขการเข้าไปตรวจออกมา แล้วเมื่อตรวจแล้วมีการแยกคนป่วยออกอย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน หลายภาพที่ออกมาตอนนี้ก็น่าจะตอบคำถามได้ดี (ภาพแคมป์คนงานย่านวิภาวดี 20)
ปัจจุบันนี้ เราทราบในเบื้องต้นจากการแถลงของ รัฐมนตรีแรงงานว่า มีคนงานในแคมป์ประมาณ 697,000 คน อีกทั้งยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขคนงานที่มีสิทธิต้องได้รับเงินชดเชยส่วนของประกันสังคม และตัวเลขคนงานที่ตกหล่นจากระบบ ตัวเลขคนงานข้ามชาติ รวมไปถึงตัวเลขการเข้าไปตรวจหาโรคตามแคมป์คนงาน จากทางกระทรวงแรงงานแต่อย่างใด
14 ผ่านไปรัฐบาลนำเงินคนงานส่วนประกันสังคมชดเชยคนงานแคมป์ไป 8 แสนกว่าบาท และกำลังทำเรื่องอยู่อีกกว่า 28 ล้านบาท สำหรับคน 13,665 คน คิดเป็น 1.96% ของจำนวนคนงานทั้งหมด แล้วคนอีก 6 แสนกว่าคนที่ไม่มีรายได้แถมถูกกักมาเกินครึ่งเดือนแล้วรัฐบาลจะทำยังไงต่อไป แล้วคนงานทั้งหมด 6.97 แสนคนจะได้ชดเชยเยียวยาครบถ้วนเพียงพอหรือไม่ เพราะคนเหล่านี้ขับเวลาเคลื่อนเศรษฐกิจ คนงานทุกคนทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่พอรัฐจะชดเชยเยียวยา จะมาเลือกปฏิบัติไม่ได้ และที่สำคัญที่สุด คนงานแคมป์เหล่านี้มีความเป็นมนุษย์เท่ากันทุกคน เท่ากับผม เท่ากับท่านรัฐมนตรีแรงงาน
JJNY : อาลัย‘หมอหนึ่ง’ติดโควิดเสียชีวิตฉีดซิโนแวค2เข็ม│งัดข้อมูลโต้ก.แรงงาน│ส.ว.ประชุมสั้นสุด20นาที│หาดใหญ่ขายโรงแรมอื้อ
https://www.matichon.co.th/social/news_2824772
เมื่อวันที่ 12 กรฎกาคม นายวีระศักดิ์ วิติตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร โพสต์เฟซบุ๊ก อาลัย หมอหนึ่ง พิเชษฐ์ สหกิจ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล สต.สวนหลวง โดยว่า
“ใกล้แค่เอื้อม
บ่ายสามถึงวัดอ่างทอง กระทุ่มแบน ร่วมพิธีฌาปนกิจศพ จนท.รพ.สต.สวนหลวง พิเชษฐ์ สหกิจ หรือ หมอหนึ่ง ที่เสียชีวิตจากโควิดเมื่อคืนที่ผ่านมา
ผช.สสอ.กระทุ่มแบนติดโควิด ทำให้ สสอ.กลายเป็นกลุ่มเสี่ยง หากผลออกมาว่า สสอ.ติดด้วย นายอำเภอ ปลัดจังหวัด รอง ผวจ. หรือแม้แต่ ผวจ.คงไม่รอด สถานการณ์ที่สมุทรสาครตึงเครียดสุดขีดแต่ตึงเครียดแค่ไหน เรายังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
เรากำลังเร่งเรื่อง รพ.สนาม และ Community Isolation หรือ ศูนย์พักคอยคนสาครไม่ทอดทิ้งกันอย่างเข้มข้น
เดินทางกลับ พร้อมอธิษฐานให้ดวงวิญญาณ ”หนึ่ง” ไปสู่สุขคติในสัมปรายภพ พวกเราที่ยังอยู่ พร้อมที่จะเป็นด่านหน้า ที่บางคนเคยปรามาสว่า “เห็นแก่ตัว” ทั้งที่เจ็บ และตาย อยู่ใกล้แค่เอื้อม อนาคตสุดจะคาดเดา”
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กของ รติรัตน์ รถทอง ได้โพสต์ เล่าเรื่องราวของหมอหนึ่ง ไว้ว่า
“ข้าว…ทราบข่าวนี้สักสองวันแล้ว
แต่ยังไม่สามารถเขียนออกมาเป็นข่าวสารเพื่อสื่อให้คนเข้าใจสถานการณ์ได้ว่าสมุทรสาครมีอะไรที่มากกว่าความเงียบงัน…ของคนสมุทรสาคร
หมอหนึ่ง นายพิเชษฐ์ สหกิจ หมออนามัย รพสต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เวลาปะทะคนไข้แรกๆ จะเป็นหมอโรงพยาบาลชุมชนตำบลเหล่านี้ พวกเขาและเธอต่างต้องรับมือคนเจ็บคนป่วยที่เข้ามารักษาใน รพ.ด่านแรกที่เจอโควิด…ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราเข้าใจผิดว่าเรามีด่านแรกที่เข้มแข็ง มี อสม. มีทุกอย่างดูแลโรคระบาดได้ในครั้งแรกๆ แต่ลืมไปว่า หมอหรือเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็พลาดและหมดแรงได้ พอมาระลอก 3 มาเต็ม ๆ เราถึงมีข่าวว่าหมอ พยาบาล จนท.ติดกันเยอะ…ทุกคนกล้ำกลืน…แบบให้งานมาแต่ไม่ได้ติดอาวุธป้องกันให้พวกเขาทัพหน้าของไทย
หมอหนุ่มๆ หมอสาว ๆ ด่านหน้าเหล่านี้…หลายคนอายุน้อย โสดเป็นอนาคตของประเทศ อย่างหมอหนึ่ง ที่เป็นความหวังของครอบครัว. เป็นความภูมิใจของคนรอบข้างในสังคมได้พึ่งพา ดูแลคนไข้มากมาย เป็นเพื่อนเป็นน้องของคนที่รักเขา เขาก็รักคนเหล่านั้น
ขนาดน้องได้รับการฉีดซิโนแวดแล้วสองเข็มด้วยซ้ำแต่ป้องกันอะไรได้บ้างมั้ย ไม่เลย บางคนบอกข้าวว่าเหมือนฉีดน้ำเปล่ากันตาย. ที่ข้าวโมโหคือเพราะที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราเป็นหมอยังออกมาเชียร์ หลายคนบอกว่าดีที่สุดของคนไทยสมควรได้รับการฉีด…ลองมาเป็นพวกเขาบ้างซิแล้วตายบ้างซิ
เสียดายอนาคตหมอหนึ่งในอนาคตเราอาจมี ผอ.รพ.สต.ที่ดีๆ หรือเปล่า?…สังคมไทยเรากว่าจะสร้างคนดีคนเก่งมาทำงานยากเย็นขนาดไหนใครรู้
ตอนแรกข้าวว่าจะไม่เขียนแบบนี้…เพราะข้าวไม่รู้จักน้อง แต่เห็นน้องจบมหาลัยเดียวกันก็อดไม่ได้…
เพราะยังไงคงไม่ใช่รายเดียวที่ถูกลืม ขนาดเผาศพญาติพ่อแม่พี่น้องยังไปเปิดดูหน้าก่อนตายไม่ได้เลยจะมีอีกสักกี่คนคะที่ต้องสูญเสียอีก จะตายคาบ้านอีกกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นคน…ตอนปีที่แล้วข้าวยังคิดว่า ประเทศอื่นๆ อย่างอเมริกา อังกฤษ ยุโรปเขาโชคร้ายนะศพกองเป็นหมื่นฝั่งรวมกัน น่าสงสารนะแต่เปล่าเลย เราคนไทยนี่ต่างหากที่ลำบากลำบนมากว่าเขามากมายหลายร้อยเท่าเพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่เราอยู่บนปราสาทหอคอยงาช้าง
สองวันก่อนอ่านข่าวเป็ด เชิญยิ้มว่าพ่อแม่เขาตายหมดทั้งคู่ แม่ตายมิถุนายน พ่อตายต้นกรกฏาคมนี้เองเป็ดร้องไห้ยังกับเด็กๆ ใครจะดูแลพวกเราประชาชนคนไทยที่เดือดร้อนและคาดว่าจะเจ็บกันไปอีกนาน…เจ็บและไม่จบ อาจรอวัคซีนกว่าจะได้ครบเมื่อไหร่ เราอยากเดินภายใต้ดวงอาทิตย์แบบไม่ใส่แมสบ้าง. นี่สองปีแล้ว เป็นปี ๆ แล้วที่ออกไปกินข้าวนอกบ้านไม่ได้..เหนื่อยนะช่วยตื่นจากฝันที่วาดไว้บ้าง มองสถานะความเป็นจริงของเราบ้าง?
พี่ครูข้าวในสถานะคนสมุทรสาครเหมือนกันและเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แม้เราจะอยู่คนละคณะคนวงการการทำงานพี่ข้าวที่น่าจะแก่กว่ามาก ๆ คนนี้ก็ขอให้หมอหนึ่งสู่ภพภูมิที่ดีและสุขคติเถิดน้อง…
ปล.เคตดิตภาพจากเฟสบุ๊กของหมอหนึ่ง ขอบคุณที่อ่านค่ะ ร่วมอาลัยกันนะคะ…ข้าวเป็นนักเขียนอยากให้ทุกคนตระหนักรู้ความน่ากลัวของโควิด 19. ดูแลตัวเองด้วยทุกคน”
งัดข้อมูลโต้ ก.แรงงาน ยัน ปิดแคมป์คนงาน 14 วัน เกือบ 7 แสนคน ยังไม่ได้รับชดเชย เยียวยา
https://www.matichon.co.th/politics/news_2824822
งัดข้อมูลโต้ ก.แรงงาน ยัน’ปิดแคมป์คนงาน 14 วัน เกือบ 7 แสนคน ยังไม่ได้รับชดเชย เยียวยา
เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ไชยวัฒน์ วรรณโคตร เลขานุการและอนุกรรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาสถานการณ์ด้านแรงงานสวัสดิการ คุ้มครองแรงงาน และแรงงานสัมพันธ์ เขียนบทความ เรียบเรียงข้อมูลการชดเชยแรงงานจากคำสั่งปิดแคมป์คนงาน โดย ระบุว่า
ผ่านมา 14 วัน หลัง คำสั่งฉบับที่ 25 ตามกฎหมายฉุกเฉิน สาระสำคัญคือสั่งหยุดทำงานก่อสร้างพร้อมปิดแคมป์คนงานเพื่อตรวจหา และควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ 10 จังหวัด แบ่งเป็นชายแดนภาคใต้ 4 จังหวัด กรุงเทพฯ -ปริมณฑล อีก 6 มีผลบังคับใช้ 28 มิถุนายน – 27 กรกฎาคม 2564
หากเราย้อนกลับไปดูแผนงานการสั่งปิดแคมป์คนงานในครั้งนี้ จะพบว่า แผนของรัฐบาลแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ หนึ่งคือมาตรการด้านการเยียวยา สองมาตราการตรวจเชิงรุกและจัดการกับผู้ป่วยภายในแคมป์ ในส่วนของการเยียวยา รัฐบาลได้ประกาศออกมาว่า มาตรการเยียวยาหลังล็อคดาวน์ จะจัดให้มีข้าวสามมื้อให้แก่คนงาน สุดท้ายก็โยนให้แต่ละบริษัทจัดหาเอง บางบริษัทก็มีการจัดหา บางบริษัทก็ปล่อยคนงานตามกรรม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เห็นได้ตามข่าว ที่คนงานออกมาขอรับบริจาคเต็มไปหมด ผมเข้าใจว่าผู้มีอำนาจในรัฐบาลก็คงได้อ่านข่าวแต่ทำไมเข้ามาบริหารจัดการปัญหานี้สักที จนตอนนี้ประชาชน ต้องตั้ง ‘กลุ่มคนดูแลกันเอง’ ขึ้นมาแล้วเพราะทนเห็นเพื่อนมนุษย์ลำบากไม่ได้
ส่วนการ ชดเชย และเยียวยา รัฐบาลมีมาตรการดังนี้
ผู้อยู่ในระบบประกันสังคม กระทรวงแรงงานจ่ายค่าแรงให้กับแรงงาน 50% ของฐานเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท รัฐบาลจะจ่ายเงินให้ลูกจ้างเพิ่มเติมอีก 2,000 บาท และกระทรวงแรงงานจ่ายเงินช่วยเหลือนายจ้าง 3,000 บาทต่อการจ้างงาน 1 คน แต่สูงสุดไม่เกิน 200 คน เป็นเวลาเวลา 1 เดือน ผู้ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม มีฐานข้อมูลผู้ประกอบการจากระบบถุงเงิน หากต้องการได้รับการช่วยเหลือ ต้องขึ้นทะเบียนเข้าระบบประกันสังคมภายใน 1 เดือน จากนั้นรัฐบาลจะช่วยเหลือให้ลูกจ้างที่เป็น ‘สัญชาติไทย’ เป็นเงิน 2,000 บาท เวลา 1 เดือน และนายจ้าง 3,000 บาทต่อการจ้างงาน 1 คน แต่สูงสุดไม่เกิน 200 คน เป็นเวลาเวลา 1 เดือน
มาตรการชดเชยจากประกันสังคมและเยียวยาจาก พ.ร.ก เงินกู้ ข้างต้นนี้ ผ่านมา 14 วัน แล้ว ปัจจุบันผมยังได้รับเรื่องร้องเรียนเข้ามาอยู่เลยว่า คนงานที่ถูกสั่งปิดแคมป์ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาแม้แต่บาทเดียว ข้อมูลจากทางฝั่งรัฐบาลโดยการออกมาให้สัมภาษณ์ของกระทรวงแรงงานก็ดูเหมือนจะสับไปสับมา วันที่ 9 ก.ค. โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) ออกมาเปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้จ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเหตุสุดวิสัยโควิด-19 โดยตัดจ่ายระยะเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน-2 กรกฎาคม 2564 ได้มีการจ่ายให้แก่ลูกจ้างจำนวน 13,655 ราย เป็นเงิน 28,494,966.60 บาท พอมาถึงวันที่ 11 ก.ค. รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม ก็ออกมาบอกว่า เบื้องต้นได้ช่วยเหลือแรงงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานเพราะเหตุสุดวิสัย ร้อยละ 50 ของค่าจ้างแต่ไม่เกิน 7,500 บาท ล่าสุด สปส. ได้เริ่มจ่ายเยียวยาตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา รวมเป็นเงิน 878,167.25 บาท และ ‘กำลังดำเนินการวินิจฉัย’ เพื่ออนุมัติเงินให้กับลูกจ้าง ผู้ประกันตน ในงวดถัดไป อีกจำนวน 13,665 ราย วงเงินรวม 28,494,966.60 บาท
ถ้าสรุปตามที่ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม ออกมาให้ข่าวล่าสุด ก็คือยังไม่ได้จ่ายนั่นแหละ จ่ายไปแค่ 8 แสนกว่าบาท ไม่ใช่ 28 ล้านแบบที่โฆษกกระทรวงแรงงานให้ข่าวในตอนแรก คำถามถัดไปคือ แล้ววันไหนจะจ่าย วันไหนจะพิจารณาอนุมัติเสร็จ ปกติพวกเขาต้องได้รายได้วันต่อวัน แต่ปัจจุบันคนงานที่ถูกสั่งหยุดงานปิดแคมป์ วันนี้ไม่มีรายได้มา 14 วันแล้ว นี่ยังไม่นับรวมคนงานก่อสร้างส่วนใหญ่ ซึ่งอยู่นอกระบบที่หากจะได้เงินเยียวยาจำนวน 2,000 ในส่วนของเงินจาก พ.ร.ก. เงินกู้ต้องรอถึงวันที่ 23 ก.ค. แถมยังมีเงื่อนไขในการรับเต็มไปหมด คนงานกำลังจะตายในช่วงวิกฤติแต่ระบบราชการยังคงทำงานตามกรอบที่วางไว้ต่อไป นี่แสดงให้เห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลต่ออายุเรื่อย ๆ มาเนี่ย ไม่ได้ถูกนำมาปรับใช้กับการดำเนินนโยบายในภาวะวิกฤติเลย
ในส่วนของ มาตราการตรวจเชิงรุกและจัดการกับผู้ป่วยภายในแคมป์ ตอนที่รัฐมนตรีแรงงานออกมาชี้แจงมาตรารช่วงแรก ได้ประกาศไว้ว่า ในส่วนของการ ตรวจเชิงรุกแบบ Swab Test จะทำโดยทีมแพทย์ในเครือประกันสังคม กรณีเจอผู้ติดเชื้อก็นำไปรักษา คนไม่ติดเชื้อก็ให้อยู่ที่แคมป์ แยกออกจากกัน เพื่อตอบสังคมให้ได้ว่าปิดเพื่อทำการค้นหาเชิงรุกตรวจโควิด รวมถึงกำลังหารือว่าระหว่างกักตัวหากถึงคิวฉีดวัคซีนโควิด-19 แต่ปัจจุบัน ก็ไม่แน่ใจว่ามีทีมเข้าไปตรวจจริงกี่แคมป์ ปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขการเข้าไปตรวจออกมา แล้วเมื่อตรวจแล้วมีการแยกคนป่วยออกอย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน หลายภาพที่ออกมาตอนนี้ก็น่าจะตอบคำถามได้ดี (ภาพแคมป์คนงานย่านวิภาวดี 20)
ปัจจุบันนี้ เราทราบในเบื้องต้นจากการแถลงของ รัฐมนตรีแรงงานว่า มีคนงานในแคมป์ประมาณ 697,000 คน อีกทั้งยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขคนงานที่มีสิทธิต้องได้รับเงินชดเชยส่วนของประกันสังคม และตัวเลขคนงานที่ตกหล่นจากระบบ ตัวเลขคนงานข้ามชาติ รวมไปถึงตัวเลขการเข้าไปตรวจหาโรคตามแคมป์คนงาน จากทางกระทรวงแรงงานแต่อย่างใด
14 ผ่านไปรัฐบาลนำเงินคนงานส่วนประกันสังคมชดเชยคนงานแคมป์ไป 8 แสนกว่าบาท และกำลังทำเรื่องอยู่อีกกว่า 28 ล้านบาท สำหรับคน 13,665 คน คิดเป็น 1.96% ของจำนวนคนงานทั้งหมด แล้วคนอีก 6 แสนกว่าคนที่ไม่มีรายได้แถมถูกกักมาเกินครึ่งเดือนแล้วรัฐบาลจะทำยังไงต่อไป แล้วคนงานทั้งหมด 6.97 แสนคนจะได้ชดเชยเยียวยาครบถ้วนเพียงพอหรือไม่ เพราะคนเหล่านี้ขับเวลาเคลื่อนเศรษฐกิจ คนงานทุกคนทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่พอรัฐจะชดเชยเยียวยา จะมาเลือกปฏิบัติไม่ได้ และที่สำคัญที่สุด คนงานแคมป์เหล่านี้มีความเป็นมนุษย์เท่ากันทุกคน เท่ากับผม เท่ากับท่านรัฐมนตรีแรงงาน