ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น
ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ผู้ก้าวเข้ามาและลาจากอย่างศิลปิน
โดย วรา วราภรณ์
หนึ่งปีเต็มแห่งการจากไป ทว่า ภาพจำของศิลปินที่แจ่มชัดทวนกระแสกาลเวลาสำหรับผู้ที่ติดตามผลงานของ
ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ยังคงมีให้เห็นแพร่หลายและต่อเนื่องด้วยพลังสื่อสังคมออนไลน์ในแต่ละช่องทาง ตัวละครที่ชวนให้หลงรัก น่าเห็นอกเห็นใจ และพาคนหลงใหลผ่านบทบาทการแสดงของเขา ทั้งจากละครเวที ละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องถูกหยิบยกมากล่าวขานถึงด้วยความชื่นชมและรำลึกถึงอยู่เสมอ
และสิ่งที่ผู้เขียนตั้งใจฝากไว้ในบทความสุดท้ายที่เขียนถึง
ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ในพื้นที่ “ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น” ก็คือ ทัศนะของเขาที่มีต่ออาชีพนักแสดง ซึ่งเป็นเรื่องน่าประทับใจและก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่อไปโดยแท้จริง
จุดเริ่มต้นจากความรักในอาชีพ

(รับบทกามนิต ในละครโทรทัศน์ช่อง 3 เรื่องกามนิต-วาสิฏฐี)
ภาพจาก
https://s359.kapook.com/pagebuilder/3c323903-825f-40a2-85af-6efb151b976a.jpg
ถ้าเขาไม่ได้คลุกคลีกับศิลปะการแสดงทั้งใน “ละคอนถาปัด” และละครของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง คงจะเป็นชื่อของนายช่างสถาปนิกหรือใครสักคนในวงการอื่นที่ไม่ใช่วงการแสดงของไทย แต่เพราะเหตุการณ์เป็นตรงกันข้าม ชื่อของเขาจึงปรากฏอยู่ในวงการศิลปินนักแสดงชาวไทยและอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน แม้ในวันที่เหลือเพียงภาพและเสียงที่ถูกบันทึกไว้ด้วยระบบเทคโนโลยีในโลกการแสดง
เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากเรียนวิชาสถาปัตย์ฯไปแล้วสามปี เขาก็รู้ตัวว่าไม่อยากเป็นสถาปนิกเลย
“งานหลักของสถาปนิกคือการโน้มน้าวใจคน สร้างแรงจูงใจเรื่องรสนิยมให้คน ซึ่งผมรู้ว่าผมทำไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากทำ ทั้งที่ผมก็พยายามจะหาเหตุผลในการที่จะเป็นสถาปนิกด้วยเพราะว่าผมไม่มีใจให้มันอีกแล้ว”
ผู้เขียนอ่านบทสัมภาษณ์ของเขาหลายครั้ง ตั้งแต่ในช่วงสิบปีแรกในวงการจนกระทั่งถึงวันที่กลายเป็นนักแสดงรุ่นอาวุโส เมื่อมีโอกาสเขาก็ยังคงยืนยันมาตลอดว่าตั้งใจเลือกอาชีพนักแสดง ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คืออาจารย์ผู้สอนเขานั่นเอง
“จริง ๆ แล้วผมรักงานสถาปัตย์นะ แต่ถ้าจะให้ใช้มาประกอบวิชาชีพนี้โดยตรง มันเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถทำอาชีพนี้ได้...อาจารย์กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา (อดีตอาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย-เสียชีวิตแล้ว) บอกว่าผมเป็นนักแสดงดีกว่า อย่ามาเป็นสถาปนิกเลย เหตุผลคือ ที่เรียนมายังไงมันก็อยู่ในหัวของเรา ถ้าไปทำกิจกรรมด้านอื่น มันก็ทำให้สังคมเรากว้างขึ้น ผมเลยหันไปอีกทางหนึ่ง แล้วตัวเราก็รักงานแบบนี้ด้วย”
เขาใช้คำว่า “รัก” กับอาชีพการแสดงมาโดยตลอด และแท้ที่จริงคำนี้ก็เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ไม่เคยหันหลังให้วงการแสดง
เมื่อก้าวแรกบนถนนสายนักแสดงสร้างการยอมรับและทำให้เขามั่นใจ เขาจึงยังคงก้าวต่อไปบนถนนสายนี้ด้วยความมุ่งมั่น จริงจัง และจริงใจ การแสดงสำหรับศรัณยูจึงเป็นงาน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องให้ความสำคัญ และเป็นที่มาของการเลือกรับงานโดยไม่เน้นปริมาณ
“ผมเห็นว่างานนี้เป็นอาชีพที่เราจะต้องทำตลอดไป เพราะฉะนั้นผมไม่คิดว่าช่วงเวลามันจะมีช่วงเดียว...ก็เลยตั้งใจจะทำงานแต่ละชิ้นให้เต็มที่ และมีเวลาพักผ่อน มีเวลาที่จะศึกษา ทำความเข้าใจหรือพัฒนาตัวเองมากขึ้น ถ้าคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องทำเงินทำทอง ก็กลายเป็นไม่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่เราทำ กลับไปคิดถึงผลประโยชน์มากกว่า ผลประโยชน์มันควรจะได้ต่อเมื่อเราทุ่มเทกับมัน และมันเป็นผลงานของเรา”
เหตุผลข้อหนึ่งที่งานแสดงภาพยนตร์ของเขามีน้อยกว่าละครโทรทัศน์ก็คือ ข้อเสนอที่ไม่ชัดเจน
“ที่ผมรับเล่นหนังน้อย เพราะว่าสมัยนึงมีคนมาติดต่อว่าเล่นหนังให้หน่อยนะ จะเอาค่าตัวเท่าไร เราจะเปิดกล้องประมาณช่วงนี้ ชื่อเรื่องยังไม่มี ถ้าตกลงเล่นแล้วจะเขียนบทให้ สมัยนั้นมันเป็นอย่างนี้ฮะ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะรับได้ยังไง ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไรเลยไม่รับ พอไม่รับในลักษณะนี้หลาย ๆ เรื่อง ก็พูดกันปากต่อปากว่าไอ้เด็กคนนี้มันหยิ่ง มันไม่เล่นหนัง มันห่วงค่าตัว อะไรแบบนี้…ตอนหลังเล่นละครเป็นงานประจำ เวลาที่จะปลีกไปเล่นหนังก็ไม่ค่อยมี”
พร้อมกับที่มีความรักในอาชีพ เขาก็ยังมีความคาดหวังกับอาชีพนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งค่อนข้างจะเป็นสิ่งที่สวนทางกับความเป็นไปของวงการแสดงเมืองไทย
“อุดมคติตัวผมเองคืออยากทำอาชีพนักแสดงให้เป็นอาชีพที่จริงจัง มั่นคง เรามั่นคงในตัวเองว่าเราคือนักแสดง เราต้องทำทุกอย่างที่เราจะยืนอยู่ได้...อยากให้อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่มั่นคงยั่งยืน ในสังคมบ้านเรา อาชีพนี้จะถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่ยั่งยืน ทุกคนที่มาทำอาชีพนี้เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะไปทำมาหากินอย่างอื่น... บ้านเราที่เป็นอยู่ ดาราแก่แล้วไม่มีใครเหลียวแล แต่ตัวเองมองว่ามันเป็นอาชีพ ๆ หนึ่ง”
ดังนั้น ในทัศนะของเขาเมื่อวัยสามสิบต้น ๆ จึงมองว่าต้องให้ความสำคัญกับบทบาทของนักแสดงอาวุโสด้วย
“ตอนคุณอ่ายุยี่สิบ คุณเพิ่งเล่นหนัง อยู่ในวงการได้ปีเดียว แต่เมื่ออายุสามสิบ คุณอยู่ในวงการนี้มาสิบปี เมื่ออายุสามสิบต่างหากที่คุณต้องเก่งขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น พร้อมจะทำอะไรได้เยอะแยะ แต่สังคมกลับตัดเขาให้ไปทำอย่างอื่น อาชีพนี้เลยกลายเป็นทางผ่าน...ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมาเป็นพระเอกตลอด แต่เขาน่าจะมีบทบาท เรื่องราวของคนในวัยพ่อวัยแม่ ซึ่งเป็นบทบาทที่น่าสนใจและสำคัญ”
และเขาก็เป็นนักแสดงอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์มากไปกว่าทักษะความสามารถ ทั้งที่คุณลักษณะเด่นข้อหนึ่งของเขาในการเข้าสู่วงการแสดงก็คือ ความพร้อมเรื่องรูปร่างหน้าตา
“ผมก็เป็นเหมือนพ่อค้าคนหนึ่ง สินค้าที่ตัวเองเอามาขายคือการแสดง ถ้าคนจะชื่นชมและศรัทธา ก็น่าจะมองที่ผลงานการแสดงเหล่านี้ว่าแสดงดีหรือไม่ดีมากกว่าที่จะดูว่าคนนี้หล่อ ผมขอเป็นคนดี ดีกว่าเป็นคนหล่อนะ
“ผมไม่อยากให้ค่านิยมของงานแสดงมันมีแค่นี้ ผมก็เลยอยู่ตรงนี้โดยไม่คิดกลัวว่าวันหนึ่งถ้าเราแต่งงานแล้ว เราไม่หล่อแล้ว เราหัวล้านแล้ว เราไม่สามารถจะอยู่ในอาชีพนี้ได้ ถึงตรงนั้นผมอาจจะหาบทเล่นที่เข้ากับตัวเองในสมัยนั้น เล่นเป็นตัวละครที่อายุห้าสิบปี มีผลงานในลักษณะนั้นออกมา บางทีผมชอบเล่น คือ บทของตัวละครที่มีความสำคัญกับเรื่อง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระเอก แต่หมายความว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ เพราะตัวละครตัวนี้ทำให้เกิด หรือตัวละครตัวนี้เป็นตัวรับผลที่เกิดจากเรื่องนี้ เพราะว่าตัวละครทั้งหมดจะมีความลึกของตัวละคร จะมีความรู้สึกนึกคิดที่ไปได้กับธีมของเรื่อง มันจะไม่ใช่ตัวละครลอย ๆ ที่โผล่มา”
หลักคิดนี้เป็นหลักการที่สอดรับกับการแสดงที่เขารักที่สุด และเคยมีความพยายามที่จะยึดเป็นอาชีพมาแล้ว นั่นคือละครเวที
“ละครเวทีเป็นงานแสดงที่ธุรกิจเข้าไปปะปนอยู่น้อยที่สุด คือพระเอกนางเอกไม่จำเป็นต้องเป็นคนหนุ่มคนสาวเอ๊าะ ๆ เสมอ เพราะเราไม่ได้ขายกันตรงนั้น แบบฝรั่งที่เขาเปิดโอกาสให้คนแก่ ๆ เล่นบทพระเอกนั่นแหละ เป็นงานที่สนองความเป็นนักแสดงจริง ๆ โดยไม่มีเรื่องราวของอายุเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้ายังมีไฟอยู่ ก็แสดงได้ทุกเมื่อ จะหมดโอกาสเมื่อหมดไฟ หรือขึ้นไปยืนบนเวทีแล้วยืนหรือเดินไม่ไหวเท่านั้น”
ด้วยความพยายามของคนหนุ่มในยุคก่อนปี พ.ศ. 2530 ละครเวทีที่เขาได้ร่วมมือร่วมใจกับเพื่อน ๆ ในเวลาหนึ่งปีเต็ม เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมั่นและคาดหวังให้เป็นทางเลือกนอกเหนือจากละครโทรทัศน์ที่มักเอาใจท้องตลาด ทว่า สุดท้ายแล้วกลับเป็นไปได้เพียงอุดมการณ์
“ยังเชื่อมั่นว่าละครเวทีคือศาสตร์ของการแสดงที่แท้จริง ยุคนั้นยังไม่มีละครเวทีเท่าไร เราอยากจะทำให้เป็นอาชีพให้ได้ ไม่สน ไม่รับงานอื่น ขอทุนจากธนาคารกสิกรไทย เล่นตามต่างจังหวัดให้เด็กดูฟรี ต่อมาก็ทำบัตร ขายบัตรมาทำต้นทุน ทำสูจิบัตร... สนุกมาก คนดูเต็มแน่นเอี้ยด เล่นกันสิบห้ารอบ ดีใจได้เงินขายบัตร เอามาแบ่งกันสี่ห้าคน ได้มาคนละร้อยยี่สิบบาท หนักหนามากจริง ๆ ได้พบสัจธรรม โอ้โห ทำเต็มที่แล้วไม่รอด มองหน้ากัน ต้องเล่นละครทีวีแล้วว่ะ ต้องรับงาน”
และด้วยความฝัน “อยากทำอาชีพนักแสดงให้ดีอย่างเดียวไปเลย” เขาจึงเริ่มต้นด้วยการสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเอง
“ความจริงอย่างหนึ่งคือ เราต้องเริ่มต้นจากคุณภาพของเราก่อน ทางเดียวที่ดีที่สุดคือเริ่มทำจากตัวเอง ทำให้เห็นว่าผมยังอยู่ได้ สร้างตัวเอง ทำตัวเองให้ยืนอยู่ได้ ให้ความมั่นใจกับตัวเองว่าเราจะไม่ไปทำอาชีพอื่น ต่อสู้ตรงนี้ ยืนอยู่ตรงนี้ มันเป็นเรื่องของคนวัยอย่างผมต่างหากที่จะต้องทำให้เห็นว่ามันมีมากกว่านั้น ช่วยกันประคับประคองวงการนี้ให้มันพร้อม”
(ต่อกรอบล่าง)
ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น : ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ผู้ก้าวเข้ามาและลาจากอย่างศิลปิน
ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ผู้ก้าวเข้ามาและลาจากอย่างศิลปิน
โดย วรา วราภรณ์
หนึ่งปีเต็มแห่งการจากไป ทว่า ภาพจำของศิลปินที่แจ่มชัดทวนกระแสกาลเวลาสำหรับผู้ที่ติดตามผลงานของ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ยังคงมีให้เห็นแพร่หลายและต่อเนื่องด้วยพลังสื่อสังคมออนไลน์ในแต่ละช่องทาง ตัวละครที่ชวนให้หลงรัก น่าเห็นอกเห็นใจ และพาคนหลงใหลผ่านบทบาทการแสดงของเขา ทั้งจากละครเวที ละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องถูกหยิบยกมากล่าวขานถึงด้วยความชื่นชมและรำลึกถึงอยู่เสมอ
และสิ่งที่ผู้เขียนตั้งใจฝากไว้ในบทความสุดท้ายที่เขียนถึง ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ในพื้นที่ “ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น” ก็คือ ทัศนะของเขาที่มีต่ออาชีพนักแสดง ซึ่งเป็นเรื่องน่าประทับใจและก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่อไปโดยแท้จริง
จุดเริ่มต้นจากความรักในอาชีพ
(รับบทกามนิต ในละครโทรทัศน์ช่อง 3 เรื่องกามนิต-วาสิฏฐี)
ภาพจาก https://s359.kapook.com/pagebuilder/3c323903-825f-40a2-85af-6efb151b976a.jpg
ถ้าเขาไม่ได้คลุกคลีกับศิลปะการแสดงทั้งใน “ละคอนถาปัด” และละครของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง คงจะเป็นชื่อของนายช่างสถาปนิกหรือใครสักคนในวงการอื่นที่ไม่ใช่วงการแสดงของไทย แต่เพราะเหตุการณ์เป็นตรงกันข้าม ชื่อของเขาจึงปรากฏอยู่ในวงการศิลปินนักแสดงชาวไทยและอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน แม้ในวันที่เหลือเพียงภาพและเสียงที่ถูกบันทึกไว้ด้วยระบบเทคโนโลยีในโลกการแสดง
เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากเรียนวิชาสถาปัตย์ฯไปแล้วสามปี เขาก็รู้ตัวว่าไม่อยากเป็นสถาปนิกเลย
“งานหลักของสถาปนิกคือการโน้มน้าวใจคน สร้างแรงจูงใจเรื่องรสนิยมให้คน ซึ่งผมรู้ว่าผมทำไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากทำ ทั้งที่ผมก็พยายามจะหาเหตุผลในการที่จะเป็นสถาปนิกด้วยเพราะว่าผมไม่มีใจให้มันอีกแล้ว”
ผู้เขียนอ่านบทสัมภาษณ์ของเขาหลายครั้ง ตั้งแต่ในช่วงสิบปีแรกในวงการจนกระทั่งถึงวันที่กลายเป็นนักแสดงรุ่นอาวุโส เมื่อมีโอกาสเขาก็ยังคงยืนยันมาตลอดว่าตั้งใจเลือกอาชีพนักแสดง ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คืออาจารย์ผู้สอนเขานั่นเอง
“จริง ๆ แล้วผมรักงานสถาปัตย์นะ แต่ถ้าจะให้ใช้มาประกอบวิชาชีพนี้โดยตรง มันเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถทำอาชีพนี้ได้...อาจารย์กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา (อดีตอาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย-เสียชีวิตแล้ว) บอกว่าผมเป็นนักแสดงดีกว่า อย่ามาเป็นสถาปนิกเลย เหตุผลคือ ที่เรียนมายังไงมันก็อยู่ในหัวของเรา ถ้าไปทำกิจกรรมด้านอื่น มันก็ทำให้สังคมเรากว้างขึ้น ผมเลยหันไปอีกทางหนึ่ง แล้วตัวเราก็รักงานแบบนี้ด้วย”
เขาใช้คำว่า “รัก” กับอาชีพการแสดงมาโดยตลอด และแท้ที่จริงคำนี้ก็เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ไม่เคยหันหลังให้วงการแสดง
เมื่อก้าวแรกบนถนนสายนักแสดงสร้างการยอมรับและทำให้เขามั่นใจ เขาจึงยังคงก้าวต่อไปบนถนนสายนี้ด้วยความมุ่งมั่น จริงจัง และจริงใจ การแสดงสำหรับศรัณยูจึงเป็นงาน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องให้ความสำคัญ และเป็นที่มาของการเลือกรับงานโดยไม่เน้นปริมาณ
“ผมเห็นว่างานนี้เป็นอาชีพที่เราจะต้องทำตลอดไป เพราะฉะนั้นผมไม่คิดว่าช่วงเวลามันจะมีช่วงเดียว...ก็เลยตั้งใจจะทำงานแต่ละชิ้นให้เต็มที่ และมีเวลาพักผ่อน มีเวลาที่จะศึกษา ทำความเข้าใจหรือพัฒนาตัวเองมากขึ้น ถ้าคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องทำเงินทำทอง ก็กลายเป็นไม่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่เราทำ กลับไปคิดถึงผลประโยชน์มากกว่า ผลประโยชน์มันควรจะได้ต่อเมื่อเราทุ่มเทกับมัน และมันเป็นผลงานของเรา”
เหตุผลข้อหนึ่งที่งานแสดงภาพยนตร์ของเขามีน้อยกว่าละครโทรทัศน์ก็คือ ข้อเสนอที่ไม่ชัดเจน
“ที่ผมรับเล่นหนังน้อย เพราะว่าสมัยนึงมีคนมาติดต่อว่าเล่นหนังให้หน่อยนะ จะเอาค่าตัวเท่าไร เราจะเปิดกล้องประมาณช่วงนี้ ชื่อเรื่องยังไม่มี ถ้าตกลงเล่นแล้วจะเขียนบทให้ สมัยนั้นมันเป็นอย่างนี้ฮะ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะรับได้ยังไง ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไรเลยไม่รับ พอไม่รับในลักษณะนี้หลาย ๆ เรื่อง ก็พูดกันปากต่อปากว่าไอ้เด็กคนนี้มันหยิ่ง มันไม่เล่นหนัง มันห่วงค่าตัว อะไรแบบนี้…ตอนหลังเล่นละครเป็นงานประจำ เวลาที่จะปลีกไปเล่นหนังก็ไม่ค่อยมี”
พร้อมกับที่มีความรักในอาชีพ เขาก็ยังมีความคาดหวังกับอาชีพนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งค่อนข้างจะเป็นสิ่งที่สวนทางกับความเป็นไปของวงการแสดงเมืองไทย
“อุดมคติตัวผมเองคืออยากทำอาชีพนักแสดงให้เป็นอาชีพที่จริงจัง มั่นคง เรามั่นคงในตัวเองว่าเราคือนักแสดง เราต้องทำทุกอย่างที่เราจะยืนอยู่ได้...อยากให้อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่มั่นคงยั่งยืน ในสังคมบ้านเรา อาชีพนี้จะถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่ยั่งยืน ทุกคนที่มาทำอาชีพนี้เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะไปทำมาหากินอย่างอื่น... บ้านเราที่เป็นอยู่ ดาราแก่แล้วไม่มีใครเหลียวแล แต่ตัวเองมองว่ามันเป็นอาชีพ ๆ หนึ่ง”
ดังนั้น ในทัศนะของเขาเมื่อวัยสามสิบต้น ๆ จึงมองว่าต้องให้ความสำคัญกับบทบาทของนักแสดงอาวุโสด้วย
“ตอนคุณอ่ายุยี่สิบ คุณเพิ่งเล่นหนัง อยู่ในวงการได้ปีเดียว แต่เมื่ออายุสามสิบ คุณอยู่ในวงการนี้มาสิบปี เมื่ออายุสามสิบต่างหากที่คุณต้องเก่งขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น พร้อมจะทำอะไรได้เยอะแยะ แต่สังคมกลับตัดเขาให้ไปทำอย่างอื่น อาชีพนี้เลยกลายเป็นทางผ่าน...ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมาเป็นพระเอกตลอด แต่เขาน่าจะมีบทบาท เรื่องราวของคนในวัยพ่อวัยแม่ ซึ่งเป็นบทบาทที่น่าสนใจและสำคัญ”
และเขาก็เป็นนักแสดงอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์มากไปกว่าทักษะความสามารถ ทั้งที่คุณลักษณะเด่นข้อหนึ่งของเขาในการเข้าสู่วงการแสดงก็คือ ความพร้อมเรื่องรูปร่างหน้าตา
“ผมก็เป็นเหมือนพ่อค้าคนหนึ่ง สินค้าที่ตัวเองเอามาขายคือการแสดง ถ้าคนจะชื่นชมและศรัทธา ก็น่าจะมองที่ผลงานการแสดงเหล่านี้ว่าแสดงดีหรือไม่ดีมากกว่าที่จะดูว่าคนนี้หล่อ ผมขอเป็นคนดี ดีกว่าเป็นคนหล่อนะ
“ผมไม่อยากให้ค่านิยมของงานแสดงมันมีแค่นี้ ผมก็เลยอยู่ตรงนี้โดยไม่คิดกลัวว่าวันหนึ่งถ้าเราแต่งงานแล้ว เราไม่หล่อแล้ว เราหัวล้านแล้ว เราไม่สามารถจะอยู่ในอาชีพนี้ได้ ถึงตรงนั้นผมอาจจะหาบทเล่นที่เข้ากับตัวเองในสมัยนั้น เล่นเป็นตัวละครที่อายุห้าสิบปี มีผลงานในลักษณะนั้นออกมา บางทีผมชอบเล่น คือ บทของตัวละครที่มีความสำคัญกับเรื่อง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระเอก แต่หมายความว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ เพราะตัวละครตัวนี้ทำให้เกิด หรือตัวละครตัวนี้เป็นตัวรับผลที่เกิดจากเรื่องนี้ เพราะว่าตัวละครทั้งหมดจะมีความลึกของตัวละคร จะมีความรู้สึกนึกคิดที่ไปได้กับธีมของเรื่อง มันจะไม่ใช่ตัวละครลอย ๆ ที่โผล่มา”
หลักคิดนี้เป็นหลักการที่สอดรับกับการแสดงที่เขารักที่สุด และเคยมีความพยายามที่จะยึดเป็นอาชีพมาแล้ว นั่นคือละครเวที
“ละครเวทีเป็นงานแสดงที่ธุรกิจเข้าไปปะปนอยู่น้อยที่สุด คือพระเอกนางเอกไม่จำเป็นต้องเป็นคนหนุ่มคนสาวเอ๊าะ ๆ เสมอ เพราะเราไม่ได้ขายกันตรงนั้น แบบฝรั่งที่เขาเปิดโอกาสให้คนแก่ ๆ เล่นบทพระเอกนั่นแหละ เป็นงานที่สนองความเป็นนักแสดงจริง ๆ โดยไม่มีเรื่องราวของอายุเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้ายังมีไฟอยู่ ก็แสดงได้ทุกเมื่อ จะหมดโอกาสเมื่อหมดไฟ หรือขึ้นไปยืนบนเวทีแล้วยืนหรือเดินไม่ไหวเท่านั้น”
ด้วยความพยายามของคนหนุ่มในยุคก่อนปี พ.ศ. 2530 ละครเวทีที่เขาได้ร่วมมือร่วมใจกับเพื่อน ๆ ในเวลาหนึ่งปีเต็ม เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมั่นและคาดหวังให้เป็นทางเลือกนอกเหนือจากละครโทรทัศน์ที่มักเอาใจท้องตลาด ทว่า สุดท้ายแล้วกลับเป็นไปได้เพียงอุดมการณ์
“ยังเชื่อมั่นว่าละครเวทีคือศาสตร์ของการแสดงที่แท้จริง ยุคนั้นยังไม่มีละครเวทีเท่าไร เราอยากจะทำให้เป็นอาชีพให้ได้ ไม่สน ไม่รับงานอื่น ขอทุนจากธนาคารกสิกรไทย เล่นตามต่างจังหวัดให้เด็กดูฟรี ต่อมาก็ทำบัตร ขายบัตรมาทำต้นทุน ทำสูจิบัตร... สนุกมาก คนดูเต็มแน่นเอี้ยด เล่นกันสิบห้ารอบ ดีใจได้เงินขายบัตร เอามาแบ่งกันสี่ห้าคน ได้มาคนละร้อยยี่สิบบาท หนักหนามากจริง ๆ ได้พบสัจธรรม โอ้โห ทำเต็มที่แล้วไม่รอด มองหน้ากัน ต้องเล่นละครทีวีแล้วว่ะ ต้องรับงาน”
และด้วยความฝัน “อยากทำอาชีพนักแสดงให้ดีอย่างเดียวไปเลย” เขาจึงเริ่มต้นด้วยการสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเอง
“ความจริงอย่างหนึ่งคือ เราต้องเริ่มต้นจากคุณภาพของเราก่อน ทางเดียวที่ดีที่สุดคือเริ่มทำจากตัวเอง ทำให้เห็นว่าผมยังอยู่ได้ สร้างตัวเอง ทำตัวเองให้ยืนอยู่ได้ ให้ความมั่นใจกับตัวเองว่าเราจะไม่ไปทำอาชีพอื่น ต่อสู้ตรงนี้ ยืนอยู่ตรงนี้ มันเป็นเรื่องของคนวัยอย่างผมต่างหากที่จะต้องทำให้เห็นว่ามันมีมากกว่านั้น ช่วยกันประคับประคองวงการนี้ให้มันพร้อม”
(ต่อกรอบล่าง)