****คำเตือน กระทู้นี้มีรูปภาพที่อาจจะทำให้ไม่สบายใจ***
สวัสดีค่ะ มีประสบการณ์ชีวิตมาแบ่งบันให้ทุกท่านได้อ่าน เผื่อว่าวันใดมีใครเสริชคำว่า "ตกหลังคา" เราคือเพื่อนกันค่ะ
เท้าความไปถึงวันที่หลังคาบ้านพังทลายลงมาเพราะเราเป็นคนทำ วันที่ 18 ธันวาคม 2563 เพื่อนบ้านโทรมาแจ้งว่า เจ้าแมวน้ำตาลมาก่อกวนความสงบของลูกรักต้นกระบองเพชร ที่เราขุนแดดอยู่ใต้ชายคาบ้าน เราวางไว้บนตู้แอร์ น้องก็มาเกะกะระราน จนลูก ๆ กระบองเพชร ตกลงไปบนหลังคา ด้วยความกลัวว่า กระบองเพชรจะไหม้แดดจนสุก เราเลยเดินกลับมาบ้าน เพื่อจะเก็บน้อง
ตอนมาถึงบ้านทักทายแม่ปกติ เดินขึ้นไป บ้านเราเป็นบ้านที่สามารถเปิดหน้าต่างเพื่อหนีไฟได้ เราเลยเอาทางหนีไฟ ไปปลูกต้นไม้ เรากะว่า เหตุการณ์นี้เราคงไม่ใช้ทางนี้หนีไฟดีกว่า เผื่อว่าจะตกลงมาอีก เมื่อเราเปิดหน้าต่างเราลองเอื้อมมือลงไปหยิบ แต่ก็ไม่ถึง เอาไม้มาเขี่ยก็หยิบไม่ได้ เราเลยตัดสินใจเดินลงไปบนหลังคากระเบื้อง นึกภาพออกกันไหมคะ บ้านตึกแถวสองชั้น สูงเมตรครึ่งจากข้างบนที่เรายืน เราเดินลงไป....
ยังค่ะ
ยังไม่ตกหลังคา เพราะคนสร้างเค้าเอากระเบื้องต่อเกยกันระหว่างบ้านเราและบ้านตรงข้ามทำให้เหมือนเราไปมาหาสู่กันได้ เราก็เดินบนนั้นค่ะ ประมาณ 5 นาที ไล่เก็บต้นไม้ที่กระจายอยู่ น้ำหนักตัวเราก็เบา ทำให้ยังไงก็ไม่พังลงไปแน่ ๆ ตอนนั้นก็ชะล่าใจค่ะ เดินต่อไปอีกแผ่นหนึ่ง แต่แผ่นนั้น มันดันเป็นแผ่นกระเบื้อง(ปลอม) พลาสติก เราก้าวลงไปทีเดียวเองค่ะ ผัวะ!!!! ทะลุลงไปเลย
ตอนหล่นแค่ น่าจะ 2 วินาทีดูจากกล้องวงจรปิด ตอนกำลังหล่นรู้สึกว่ามันนานจนคิดว่า “เราจะดับอย่างไร” แบบ พยายามจะจดจำตอนไม่รู้สึกให้ได้อะไรงี้ค่ะ แต่พอลงไป รู้สึกว่าเสียงดังมาก แล้วก็จุกมาก รู้สึกว่าหลังกระทบอะไรแข็งๆ แล้วก็ม้วนตัวลงมาที่พื้น (ตอนนั้นมีสติจับกระโปรงคลุมตรูดด้วย)
จุกแบบพูดไม่ออก มันแน่นไปหมดเลยค่ะ... แล้วก็หาย หายจุกเลย ตอนนั้นมองเห็นคนรอบๆ มุงเราแน่นมาก (ตรงที่เราหล่นไป เป็นโซนตรอกของตลาด) คนที่จับจ่ายซื้อของร้านตรงข้ามบ้านมามุงกันเสียงคนกรีดร้อง เสียงคนตะโกน เสียงต่างๆ มันดังกลบความจุกและความตกใจ เราพยายามกระเถิบให้ร่างกายได้นั่งดีๆ .. แต่ขามันลากไม่ได้ไม่แน่ใจเพราะอะไร
จนกระทั่งมีน้องผู้ชายที่ยืนตรงหน้าบอกว่า อุ้ย เลือดเต็มเลย เราเลยมองรอบๆ ที่พื้น เลือดเยอะมาก สิ่งที่ตามมาคือเราพยายามมองหาร่างกายเราว่าอะไรกันที่เป็นจุดปล่อยเลือด...
สายตาหยุดที่ขาขวา ที่ลากตัวเองมานั่งไม่ได้ อ้อ... เนื้อที่ใต้เข่าฉีกขาดเป็นรูปปากฉลามเหมือนเป็นงานศิลปะ....เราทำอะไรไม่ได้เพราะเกิดมาไม่เคยเจอแผลของตัวเองใหญ่ขนาดนี้ เราเลยตัดสินใจโกยเนื้อที่ฉีกออก(ไม่ขาดแต่เห็นไขมันใต้ผิวหนัง) โกยมันมาอยู่ที่เดิม แล้วยกขาให้สูงที่สุด เกยกับรถเข็นเล็กที่เราตกลงมาฟาด...
ตอนนั้นทำอะไรไม่ค่อยถูกคิดแค่ว่า ยกขาไว้ให้เยอะที่สุด คนอื่นๆ ก็มองเราอย่างเดียว เราเลยมองบ้าง มองหาว่าอะไรตกลงมาบ้าง.. ไม่มีเลย มือถือ รองเท้า อยู่บนหลังคาหมดทุกสิ่ง... เลยมองไปทางเพื่อนบ้านด้วยสายตาอ้อนวอน
“พี่คะ เรียกรถพยาบาลให้หน่อยค่ะ” เพื่อนบ้านท่านนั้นก็เหมือนจะคลายตกใจ กุลีกุจอเรียกรถพยาบาลให้ มีพี่ผู้ชายท่านหนึ่ง ไม่รู้พี่เค้าหาผ้าพันแผลมาจากไหน มีผ้าก๊อซด้วย พี่เค้าเข้ามาจัดการช่วยเอาผ้ามาพัน มาโปะให้
รูปนี้คือรูปที่โปะแผลแล้ว ไม่นานเลยจริง คนที่มาไวกว่ารถพยาบาล คือแม่ของเราเอง มาจากหน้าตลาด ไวมากกกก เดินมาแล้วก็กรี๊ด... โทรหาพ่อ แล้วก็กรี๊ด (เข้าใจนะ แม่อาจจะแบบ ตกใจมาก ลูกชั้นต้องตายแน่ เพราะเลือดเยอะ.. ลูกคนเดียวด้วย..)
แป๊บนึง ไม่นานเลยค่ะ รถพยาบาลก็มา พร้อมกับตำรวจ รถพยาบาลไม่ได้มาพร้อม พีพีอี เพราะตอนนั้นบ้านเรากำลังจะสงบ (เหตุการณ์ณ์นี้ก่อนที่สมุทรสาครจะระบาด)
ระหว่างนั้น พ่อก็มาพ่อไม่ได้ตกใจมากให้เราเห็น(แต่ในใจคงไม่ไหวเหมือนกัน)
สิ่งที่พ่อถามคำแรกตอนเห็นคือ... ทำไมทำอย่างนี้ล่ะลูก ... เราเลยใช้พ่อให้หยิบมือถือให้... พ่อจะได้ไม่ต้องมอง
สักพัก แฟนเราก็มา หน้าตาแบบ อึ้งมากกกค่ะ เธอคงไม่เคยเจอสภาพนี้ไม่ว่ากับใคร
นี่คือแชทบอกเค้าก่อนมาหาค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พี่ๆ กู้ชีพเข้ามาช่วยยกขึ้นเปล เอาเฝือกอ่อนคอมาดาม.. แล้วก็เข้ารถ เสียงหวอคือดังก้องเลย เข้าใจเลยว่า คนที่อยู่ในรถ ถ้าเค้ามีสติอยู่เหมือนเรา เค้าคงตกใจ เราตาโตอยู่ตลอดเวลา ก่อนเราจะออกมาถึงถนน เราตะโกนบอกแม่ว่า
“ไม่เป็นไรแม่ ไม่เจ็บ กู้ชีพมาแล้ว” คนในตลาดก็ตะโกนว่า “เอออ แม่ได้ยินมั้ย ลูกมันว่างั้น”
สรุปแม่เราเป็นลมไปแล้วค่ะ
ตอนอยู่บนรถ พี่กู้ชีพถามว่าจะไปไหน ระหว่างหัวเฉียว กับเจ้าพระยา เราไม่แน่ใจอะไรเลย แค่คิดว่าเจ้าพระยา รถน่าจะติด หัวเฉียวใกล้บ้าน ขอหัวเฉียวเลยค่ะ รถก็ไปทางหัวเฉียว ไวมากกก น่าจะฝ่าทุกไฟแดงไปเลย ตอนนี้เราไม่กล้าคิดเลยว่าเลือดไหลมากแค่ไหน เพราะเรานอนราบแล้ว ขาก็โดนพันแน่นมาก อาจจะโดนรัดจนเนื้อตายหมดแล้ว... จิตตกไปพักนึง
เข้าไปในห้องฉุกเฉิน คุณพยาบาลสองสามคนก็เข้ามาจัดแจง วัดไข้ มองขา จับๆ แล้วก็เชิญคุณหมอ สักพักพี่บุรุษพยาบาลก็เข้ามา แต่ก็ไม่มีใครทำอะไร เราเริ่มจับเวลา ชั่วโมงกว่าแล้ว แต่ก็ไม่มีใครจับขาเราแก้ผ้าออกสักที... ในห้องฉุกเฉิน ไม่มีคนไข้ที่น่าจะเลือดออกเหมือนเรา เพราะมีข้าง ๆเตียงอีกท่านนึงแต่คุณพยาบาลให้การดูแลแล้ว เราแปลกใจมากว่า.. เรารอได้นานเท่าไรในห้องฉุกเฉิน
อีกประมาณ 20 นาที คุณหมอท่านหนึ่งเดินมาจับขา แล้วถอดผ้าพันแผล ในใจตอนนั้น .. อื้ม เวลานรกมาแล้ว... เพราะเราต้องเจอกับแผล “อันนั้น” ที่เราเพิ่งโกยมันติดเนื้อขาเราไป คุณหมอแกะ เรารู้สึกชา.. ตอนนั้นกระดิกนิ้วอยู่ตลอดเลย แต่มันชามาก... มันคงใกล้ตายกันหมดแล้ว คุณหมอคุยกับคุณพยาบาล อุ้ย.. เลือดๆ (เราคิดถูก เลือดยังไหลเยอะ.. )

พยาบาลถามว่ามึนศีรษะไหม.. เราไม่รู้สึกมึนนะ แต่กลัว เลยบอกคุณพยาบาลว่า ตอนเย็บขอสลบได้ไหมคะ.... คุณพยาบาลยิ้มให้กำลังใจ
“ไม่ได้ค่ะ ต้องมีสติไว้ค่ะ” แล้วก็มาถึงชั้นสุดท้ายของผ้าพันแผล... ลมเย็นๆพัดเข้ามาโดยแผล มันแสบๆ ชาๆ แต่ไม่มาก.. อาจจะเพราะชามากกว่า
“หมอคะ... มันเป็นยังไง”
“มันก็.. แผลฉีกขาดเป็นรอยฟันฉลามเลยครับ เดี๋ยวฉีดยาบาดทะยักก่อนนะ แล้วรอให้คุณหมอมาเย็บ...”
อ้าววววว ไม่ใช่คุณหมอจะทำเลย... (คุณหมอแจ้งว่า แผลใหญ่ต้องห้องผ่าตัดห้องฉุกเฉินทำไม่ได้)
ทุกคนคะ..เราเป็นคนกลัวเข็ม กลัวเจ็บจากการฉีดหรือดูดเลือดจากเข็ม เราไม่เคยอยากตรวจสุขภาพเลย เพราะกลัวการโดนเจาะ จนมาคบกับแฟนคนนี้ เค้าบังคับเราจนได้..
พอมาในห้องนั้น คุณพยาบาลอยากฉีด อยากเจาะอะไร ตอนนั้นเรายอมทุกอย่างเลย เพราะเรากลัวแผลเรามากกว่า ภาพติดตามาก
เรารออีก เกือบ 1 ชั่วโมง รวมแล้ว 2 ชั่วโมงกว่าที่แผลเราเปิดกว้าง... คุณหมอก็ยังไม่มา พ่อเราโทรมาแจ้งว่า รอหน้าห้องฉุกเฉิน ทำไมเรายังไม่ได้ออกมา เราเลยบอกว่า คุณหมอยังไม่ได้เย็บ
ตำรวจมาสอบปากคำพ่อคร่าวๆ ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีใครประทุษร้ายเราหรือไม่ พ่อตอบว่า เราปีนเอง ตกเอง ตำรวจเลยกลับไป...
ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนหมอมาถึงเราน้ำตาไหล... เพราะเรากลัวมาก กลัวต้องตัดขาทิ้ง กลัวการโดนเย็บ ชีวิตนี้ไม่เคยเลยที่ต้องนอนให้น้ำเกลือ.. นี่ก็ไม่นานแล้วที่จะโดนเจาะน้ำเกลือ... อีกอย่าง... มีเลือดอุ่นๆ ไหลอยู่ที่คอด้วย.. น่าจะหัวแตกเพราะตกลงมาแล้วโดนรถเข็นตรงขอบๆ เจาะเข้าพอดี..
และแล้วคุณหมอก็เดินเข้ามา แกมาแบบชุดเขียวๆ แบบ ออกมาจากห้องผ่าตัดเลย... คุณหมอแจ้งว่า ไปเอกซเรย์มาก่อนนะ พี่พยาบาลพาไปห้องเอกซเรย์ ส่องหมดเลย ว่ามีอะไรหักบ้าง ต้องทำก่อนการเย็บเพราะจะได้รู้ว่าเรามีอะไรที่ต้องซ่อมอีกบ้าง
รออีก 10 นาที ผลที่ออกมาไม่มีอะไรหักเลย คุณหมอเลยเข็นเข้าห้องเชือด เป็นห้องผ่าตัดเล็ก (ซึ่งคุณหมอกรุณามากๆ ราคาในการให้บริการมันต่างกัน) คุณหมอถาม ว่าไปทำอะไรอีท่าไหน.. แผลเธอถึงได้น่ากลัวแบบนี้
เราไม่รู้จะอธิบายท่าไหน เลยเอาวิดีโอกล้องวงจรปิดที่เราเพิ่งดูเมื่อกี๊ ให้หมอดู..ระหว่างการทำแผล หมอจะได้เห็นภาพจริง
หมอตาโตเลยค่ะ.. เพราะภาพมันน่ากลัว และหวาดเสียวมาก คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บ้านกำลังกินข้าว แกสะดุ้งเฮือกเลยค่ะ
คุณหมอแจ้งว่า บาดลึก แต่ไม่มีเส้นเอ็นขาด ไม่ลึกถึงกล้ามเนื้อเฉือนไปเพียงชั้นผิวหนังและเนื้อ อีกไม่กี่เซ็นจะถึงแผ่นกล้ามเนื้อ... แล้วแผลอยู่ด้านหน้า จึงผ่านพวกเส้นเอ็นไป ถ้าเป็นข้างหลังเข่า... คงต้องบอกลาการเดิน
คุณหมอฉีดยาชาเข้าที่แผล ประมาณเข็มสอง เราก็เริ่มไม่เจ็บแล้ว แล้วก็พูดคุยระหว่างทำแผลเรื่องต่าง ๆอาชีพ นู่นนี่เพราะท่านคงอยากให้เราไม่โฟกัสที่การเย็บแผล ..
“หมอ...หนูกลัว”ทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกแล้วแต่ก็กลัว
“กลัวแล้วหล่นลงมาทำไม ไม่ต้องกลัว หมอจะเย็บละเนี่ย”
หมอเอาน้ำเกลือหลายลิตรราด ล้างแผลค่ะ ตอนหมอขัด(คิดว่าขัดเพราะมีแรงกระชากเบาๆ หมอบอกว่า สกปรกมากเลยแผลเนี่ย เหมือนหมอต้องจิกเอาฝุ่นอะไรออกให้หมด ตอนนั้น เจ็บมากกกกก เพราะเนื้อเยื่อบางอย่างมันมีเส้นประสาท แล้วไม่ได้โดนยาชา... รู้สึกถึงแผ่นหนังแผ่นใหญ่ๆ โดยกระชาก (ไม่แรง) มันเจ็บจนสะดุ้งหลายรอบ
จนหมอตัดสินใจ เริ่มเย็บ ก็เริ่มคุยเรื่องต้นไม้ อาชีพ โควิด ทำไปทำมา คุณหมอก็บอกว่า ดีนะที่พูดเก่ง เลยไม่หลับ หมออยากให้ไม่หลับนะ เราก็เริ่มพูดอีกค่ะ ว่าแม่ต้องห่วงแน่เลย บลาๆ เราก็กลัวเหมือนกัน ในหนังหลายคนก็มีแบบสลบไปก็มี .. แต่เรารู้สึกแค่ อีกนิดเดียว จะเสร็จแล้ว
พอเย็บเสร็จ คุณหมอแจ้งว่า โอเค เสร็จ 36 เข็ม เบาๆ.. เราเลยบอกหมอว่า หมอคะ... มีที่หัวด้วย...
หมอบอก อ้าววววว มาๆๆๆๆ แกก็ล้างๆๆ แล้วฉีดยาชา แล้วเย็บ 7 เข็ม เบาๆ
พี่พยาบาลเข็นเราออกมา ถามแม่ ว่าให้กลับเลยไหมคะ... ตอนนั้นเราก็แบบ.. กลับยังไงง่า ไม่กล้าลุกด้วยซ้ำ.. กลัวแผลฉีก แม่บอกเลยค่ะ ไม่ได้ค่ะให้นอนค่ะ อยู่นี่ไปเลยค่ะ
บ้านเราตัดสินใจถูกมากค่ะที่ให้เรานอนโรงพยาบาล เพราะเรื่องราวการตกหลังคา ทำให้เกิดภาพต่างๆ นี้ไว้เตือนใจเราเสมอค่ะ “ความตายอยู่แค่เอื้อม”
คืนที่ 1 คุณพยาบาลเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเจาะน้ำเกลือให้ยาฆ่าเชื้อ เราก็หลับเลยค่ะ อาจจะเพราะเพลียมาก ข้าวก็กินๆ ไปอย่างนั้น กลางดึก คุณพยาบาลแจ้งว่า มีไข้นะคะ แต่ก็ไม่มาก พยาบาลเข้ามาเป็นระยะ จากนั้นกลางดึกคุณหมอมาเปิดแผล คุณหมอแจ้งว่า โอเคเลย แผลสวยมากเลย น่าจะกลับบ้านได้พรุ่งนี้เลยนะ
ภาพแผลวันแรกค่ะ สวยมากเลยหมอบอก (เราไม่รู้หรอกเราไม่กล้ามอง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เช้าวันรุ่งขึ้น หมอมาเปิดแผล .. หน้าแกเฉยๆ แล้วก็บอกว่ายังไงอยากกลับไหม เราบอกว่าไม่ค่ะ ขออยู่ก่อน.. เพราะต้องทำแผลทุกวันหนูทำไม่ไหว
กลางวันนั้นเพื่อนมาเยี่ยมค่ะ พาลูกน้อยมาเยี่ยมลูกน้อยบอกว่า เหม็น.. ป้าขาเหม็น... เราก็รู้สึกนะว่าทำไมมีกลิ่น
แฟนเราบอกว่า เพราะเท้าแฟนเหม็น... แต่เราว่าไม่ใช่ เรารู้สึกว่าขาเราเองที่เหม็น ..
เย็น คุณพยาบาลมาเปิดแผลทำแผลให้ปกติ เราบอกว่า มันเหม็นๆ ไหมคะ... คุณพยาบาลบอกว่า..ขอบๆ มีสีดำๆ เดี๋ยวแจ้งคุณหมอให้มาดู
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอคุณหมอเห็นแผล.... คุณหมอบอกว่า ติดเชื้อ... คืนนี้ให้นอนต่อ ถ้าให้ยาฆ่าเชื้อถูกโรค ก็จะหยุดลาม.....
นี่คือภาพแผลเริ่มเปลี่ยนสี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เรานอนให้ยาฆ่าเชื้ออยู่อีกสองวัน แผลที่เน่าของเรา เริ่มหยุดส่งกลิ่น วันแรกเลวร้ายที่สุด เหลือเกินจะทนกับกลิ่นได้... เราร้องไห้ในใจ.. ไม่อยากให้แฟนรู้ว่าจริง ๆ เรากลัวมาก
พอขาเราหยุดส่งกลิ่น ก็เข้าวันที่ 4 ... คุณหมอแจ้งว่า อยู่ต่อไปก่อน หมออยากให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อเพิ่ม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
****ประสบการณ์ชีวิตหลังตกหลังคา****
สวัสดีค่ะ มีประสบการณ์ชีวิตมาแบ่งบันให้ทุกท่านได้อ่าน เผื่อว่าวันใดมีใครเสริชคำว่า "ตกหลังคา" เราคือเพื่อนกันค่ะ
เท้าความไปถึงวันที่หลังคาบ้านพังทลายลงมาเพราะเราเป็นคนทำ วันที่ 18 ธันวาคม 2563 เพื่อนบ้านโทรมาแจ้งว่า เจ้าแมวน้ำตาลมาก่อกวนความสงบของลูกรักต้นกระบองเพชร ที่เราขุนแดดอยู่ใต้ชายคาบ้าน เราวางไว้บนตู้แอร์ น้องก็มาเกะกะระราน จนลูก ๆ กระบองเพชร ตกลงไปบนหลังคา ด้วยความกลัวว่า กระบองเพชรจะไหม้แดดจนสุก เราเลยเดินกลับมาบ้าน เพื่อจะเก็บน้อง
ตอนมาถึงบ้านทักทายแม่ปกติ เดินขึ้นไป บ้านเราเป็นบ้านที่สามารถเปิดหน้าต่างเพื่อหนีไฟได้ เราเลยเอาทางหนีไฟ ไปปลูกต้นไม้ เรากะว่า เหตุการณ์นี้เราคงไม่ใช้ทางนี้หนีไฟดีกว่า เผื่อว่าจะตกลงมาอีก เมื่อเราเปิดหน้าต่างเราลองเอื้อมมือลงไปหยิบ แต่ก็ไม่ถึง เอาไม้มาเขี่ยก็หยิบไม่ได้ เราเลยตัดสินใจเดินลงไปบนหลังคากระเบื้อง นึกภาพออกกันไหมคะ บ้านตึกแถวสองชั้น สูงเมตรครึ่งจากข้างบนที่เรายืน เราเดินลงไป....
ยังค่ะ
ยังไม่ตกหลังคา เพราะคนสร้างเค้าเอากระเบื้องต่อเกยกันระหว่างบ้านเราและบ้านตรงข้ามทำให้เหมือนเราไปมาหาสู่กันได้ เราก็เดินบนนั้นค่ะ ประมาณ 5 นาที ไล่เก็บต้นไม้ที่กระจายอยู่ น้ำหนักตัวเราก็เบา ทำให้ยังไงก็ไม่พังลงไปแน่ ๆ ตอนนั้นก็ชะล่าใจค่ะ เดินต่อไปอีกแผ่นหนึ่ง แต่แผ่นนั้น มันดันเป็นแผ่นกระเบื้อง(ปลอม) พลาสติก เราก้าวลงไปทีเดียวเองค่ะ ผัวะ!!!! ทะลุลงไปเลย
ตอนหล่นแค่ น่าจะ 2 วินาทีดูจากกล้องวงจรปิด ตอนกำลังหล่นรู้สึกว่ามันนานจนคิดว่า “เราจะดับอย่างไร” แบบ พยายามจะจดจำตอนไม่รู้สึกให้ได้อะไรงี้ค่ะ แต่พอลงไป รู้สึกว่าเสียงดังมาก แล้วก็จุกมาก รู้สึกว่าหลังกระทบอะไรแข็งๆ แล้วก็ม้วนตัวลงมาที่พื้น (ตอนนั้นมีสติจับกระโปรงคลุมตรูดด้วย)
รูปนี้คือรูปที่โปะแผลแล้ว ไม่นานเลยจริง คนที่มาไวกว่ารถพยาบาล คือแม่ของเราเอง มาจากหน้าตลาด ไวมากกกก เดินมาแล้วก็กรี๊ด... โทรหาพ่อ แล้วก็กรี๊ด (เข้าใจนะ แม่อาจจะแบบ ตกใจมาก ลูกชั้นต้องตายแน่ เพราะเลือดเยอะ.. ลูกคนเดียวด้วย..)
แป๊บนึง ไม่นานเลยค่ะ รถพยาบาลก็มา พร้อมกับตำรวจ รถพยาบาลไม่ได้มาพร้อม พีพีอี เพราะตอนนั้นบ้านเรากำลังจะสงบ (เหตุการณ์ณ์นี้ก่อนที่สมุทรสาครจะระบาด)
ระหว่างนั้น พ่อก็มาพ่อไม่ได้ตกใจมากให้เราเห็น(แต่ในใจคงไม่ไหวเหมือนกัน)
สิ่งที่พ่อถามคำแรกตอนเห็นคือ... ทำไมทำอย่างนี้ล่ะลูก ... เราเลยใช้พ่อให้หยิบมือถือให้... พ่อจะได้ไม่ต้องมอง
สักพัก แฟนเราก็มา หน้าตาแบบ อึ้งมากกกค่ะ เธอคงไม่เคยเจอสภาพนี้ไม่ว่ากับใคร
นี่คือแชทบอกเค้าก่อนมาหาค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พี่ๆ กู้ชีพเข้ามาช่วยยกขึ้นเปล เอาเฝือกอ่อนคอมาดาม.. แล้วก็เข้ารถ เสียงหวอคือดังก้องเลย เข้าใจเลยว่า คนที่อยู่ในรถ ถ้าเค้ามีสติอยู่เหมือนเรา เค้าคงตกใจ เราตาโตอยู่ตลอดเวลา ก่อนเราจะออกมาถึงถนน เราตะโกนบอกแม่ว่า
“ไม่เป็นไรแม่ ไม่เจ็บ กู้ชีพมาแล้ว” คนในตลาดก็ตะโกนว่า “เอออ แม่ได้ยินมั้ย ลูกมันว่างั้น”
สรุปแม่เราเป็นลมไปแล้วค่ะ
ตอนอยู่บนรถ พี่กู้ชีพถามว่าจะไปไหน ระหว่างหัวเฉียว กับเจ้าพระยา เราไม่แน่ใจอะไรเลย แค่คิดว่าเจ้าพระยา รถน่าจะติด หัวเฉียวใกล้บ้าน ขอหัวเฉียวเลยค่ะ รถก็ไปทางหัวเฉียว ไวมากกก น่าจะฝ่าทุกไฟแดงไปเลย ตอนนี้เราไม่กล้าคิดเลยว่าเลือดไหลมากแค่ไหน เพราะเรานอนราบแล้ว ขาก็โดนพันแน่นมาก อาจจะโดนรัดจนเนื้อตายหมดแล้ว... จิตตกไปพักนึง
เข้าไปในห้องฉุกเฉิน คุณพยาบาลสองสามคนก็เข้ามาจัดแจง วัดไข้ มองขา จับๆ แล้วก็เชิญคุณหมอ สักพักพี่บุรุษพยาบาลก็เข้ามา แต่ก็ไม่มีใครทำอะไร เราเริ่มจับเวลา ชั่วโมงกว่าแล้ว แต่ก็ไม่มีใครจับขาเราแก้ผ้าออกสักที... ในห้องฉุกเฉิน ไม่มีคนไข้ที่น่าจะเลือดออกเหมือนเรา เพราะมีข้าง ๆเตียงอีกท่านนึงแต่คุณพยาบาลให้การดูแลแล้ว เราแปลกใจมากว่า.. เรารอได้นานเท่าไรในห้องฉุกเฉิน
อีกประมาณ 20 นาที คุณหมอท่านหนึ่งเดินมาจับขา แล้วถอดผ้าพันแผล ในใจตอนนั้น .. อื้ม เวลานรกมาแล้ว... เพราะเราต้องเจอกับแผล “อันนั้น” ที่เราเพิ่งโกยมันติดเนื้อขาเราไป คุณหมอแกะ เรารู้สึกชา.. ตอนนั้นกระดิกนิ้วอยู่ตลอดเลย แต่มันชามาก... มันคงใกล้ตายกันหมดแล้ว คุณหมอคุยกับคุณพยาบาล อุ้ย.. เลือดๆ (เราคิดถูก เลือดยังไหลเยอะ.. )
พยาบาลถามว่ามึนศีรษะไหม.. เราไม่รู้สึกมึนนะ แต่กลัว เลยบอกคุณพยาบาลว่า ตอนเย็บขอสลบได้ไหมคะ.... คุณพยาบาลยิ้มให้กำลังใจ
“ไม่ได้ค่ะ ต้องมีสติไว้ค่ะ” แล้วก็มาถึงชั้นสุดท้ายของผ้าพันแผล... ลมเย็นๆพัดเข้ามาโดยแผล มันแสบๆ ชาๆ แต่ไม่มาก.. อาจจะเพราะชามากกว่า
“หมอคะ... มันเป็นยังไง”
“มันก็.. แผลฉีกขาดเป็นรอยฟันฉลามเลยครับ เดี๋ยวฉีดยาบาดทะยักก่อนนะ แล้วรอให้คุณหมอมาเย็บ...”
อ้าววววว ไม่ใช่คุณหมอจะทำเลย... (คุณหมอแจ้งว่า แผลใหญ่ต้องห้องผ่าตัดห้องฉุกเฉินทำไม่ได้)
ทุกคนคะ..เราเป็นคนกลัวเข็ม กลัวเจ็บจากการฉีดหรือดูดเลือดจากเข็ม เราไม่เคยอยากตรวจสุขภาพเลย เพราะกลัวการโดนเจาะ จนมาคบกับแฟนคนนี้ เค้าบังคับเราจนได้..
พอมาในห้องนั้น คุณพยาบาลอยากฉีด อยากเจาะอะไร ตอนนั้นเรายอมทุกอย่างเลย เพราะเรากลัวแผลเรามากกว่า ภาพติดตามาก
เรารออีก เกือบ 1 ชั่วโมง รวมแล้ว 2 ชั่วโมงกว่าที่แผลเราเปิดกว้าง... คุณหมอก็ยังไม่มา พ่อเราโทรมาแจ้งว่า รอหน้าห้องฉุกเฉิน ทำไมเรายังไม่ได้ออกมา เราเลยบอกว่า คุณหมอยังไม่ได้เย็บ
ตำรวจมาสอบปากคำพ่อคร่าวๆ ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีใครประทุษร้ายเราหรือไม่ พ่อตอบว่า เราปีนเอง ตกเอง ตำรวจเลยกลับไป...
ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนหมอมาถึงเราน้ำตาไหล... เพราะเรากลัวมาก กลัวต้องตัดขาทิ้ง กลัวการโดนเย็บ ชีวิตนี้ไม่เคยเลยที่ต้องนอนให้น้ำเกลือ.. นี่ก็ไม่นานแล้วที่จะโดนเจาะน้ำเกลือ... อีกอย่าง... มีเลือดอุ่นๆ ไหลอยู่ที่คอด้วย.. น่าจะหัวแตกเพราะตกลงมาแล้วโดนรถเข็นตรงขอบๆ เจาะเข้าพอดี..
และแล้วคุณหมอก็เดินเข้ามา แกมาแบบชุดเขียวๆ แบบ ออกมาจากห้องผ่าตัดเลย... คุณหมอแจ้งว่า ไปเอกซเรย์มาก่อนนะ พี่พยาบาลพาไปห้องเอกซเรย์ ส่องหมดเลย ว่ามีอะไรหักบ้าง ต้องทำก่อนการเย็บเพราะจะได้รู้ว่าเรามีอะไรที่ต้องซ่อมอีกบ้าง
รออีก 10 นาที ผลที่ออกมาไม่มีอะไรหักเลย คุณหมอเลยเข็นเข้าห้องเชือด เป็นห้องผ่าตัดเล็ก (ซึ่งคุณหมอกรุณามากๆ ราคาในการให้บริการมันต่างกัน) คุณหมอถาม ว่าไปทำอะไรอีท่าไหน.. แผลเธอถึงได้น่ากลัวแบบนี้
เราไม่รู้จะอธิบายท่าไหน เลยเอาวิดีโอกล้องวงจรปิดที่เราเพิ่งดูเมื่อกี๊ ให้หมอดู..ระหว่างการทำแผล หมอจะได้เห็นภาพจริง
หมอตาโตเลยค่ะ.. เพราะภาพมันน่ากลัว และหวาดเสียวมาก คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บ้านกำลังกินข้าว แกสะดุ้งเฮือกเลยค่ะ
คุณหมอแจ้งว่า บาดลึก แต่ไม่มีเส้นเอ็นขาด ไม่ลึกถึงกล้ามเนื้อเฉือนไปเพียงชั้นผิวหนังและเนื้อ อีกไม่กี่เซ็นจะถึงแผ่นกล้ามเนื้อ... แล้วแผลอยู่ด้านหน้า จึงผ่านพวกเส้นเอ็นไป ถ้าเป็นข้างหลังเข่า... คงต้องบอกลาการเดิน
คุณหมอฉีดยาชาเข้าที่แผล ประมาณเข็มสอง เราก็เริ่มไม่เจ็บแล้ว แล้วก็พูดคุยระหว่างทำแผลเรื่องต่าง ๆอาชีพ นู่นนี่เพราะท่านคงอยากให้เราไม่โฟกัสที่การเย็บแผล ..
“หมอ...หนูกลัว”ทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกแล้วแต่ก็กลัว
“กลัวแล้วหล่นลงมาทำไม ไม่ต้องกลัว หมอจะเย็บละเนี่ย”
หมอเอาน้ำเกลือหลายลิตรราด ล้างแผลค่ะ ตอนหมอขัด(คิดว่าขัดเพราะมีแรงกระชากเบาๆ หมอบอกว่า สกปรกมากเลยแผลเนี่ย เหมือนหมอต้องจิกเอาฝุ่นอะไรออกให้หมด ตอนนั้น เจ็บมากกกกก เพราะเนื้อเยื่อบางอย่างมันมีเส้นประสาท แล้วไม่ได้โดนยาชา... รู้สึกถึงแผ่นหนังแผ่นใหญ่ๆ โดยกระชาก (ไม่แรง) มันเจ็บจนสะดุ้งหลายรอบ
จนหมอตัดสินใจ เริ่มเย็บ ก็เริ่มคุยเรื่องต้นไม้ อาชีพ โควิด ทำไปทำมา คุณหมอก็บอกว่า ดีนะที่พูดเก่ง เลยไม่หลับ หมออยากให้ไม่หลับนะ เราก็เริ่มพูดอีกค่ะ ว่าแม่ต้องห่วงแน่เลย บลาๆ เราก็กลัวเหมือนกัน ในหนังหลายคนก็มีแบบสลบไปก็มี .. แต่เรารู้สึกแค่ อีกนิดเดียว จะเสร็จแล้ว
พอเย็บเสร็จ คุณหมอแจ้งว่า โอเค เสร็จ 36 เข็ม เบาๆ.. เราเลยบอกหมอว่า หมอคะ... มีที่หัวด้วย...
หมอบอก อ้าววววว มาๆๆๆๆ แกก็ล้างๆๆ แล้วฉีดยาชา แล้วเย็บ 7 เข็ม เบาๆ
พี่พยาบาลเข็นเราออกมา ถามแม่ ว่าให้กลับเลยไหมคะ... ตอนนั้นเราก็แบบ.. กลับยังไงง่า ไม่กล้าลุกด้วยซ้ำ.. กลัวแผลฉีก แม่บอกเลยค่ะ ไม่ได้ค่ะให้นอนค่ะ อยู่นี่ไปเลยค่ะ
บ้านเราตัดสินใจถูกมากค่ะที่ให้เรานอนโรงพยาบาล เพราะเรื่องราวการตกหลังคา ทำให้เกิดภาพต่างๆ นี้ไว้เตือนใจเราเสมอค่ะ “ความตายอยู่แค่เอื้อม”
คืนที่ 1 คุณพยาบาลเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเจาะน้ำเกลือให้ยาฆ่าเชื้อ เราก็หลับเลยค่ะ อาจจะเพราะเพลียมาก ข้าวก็กินๆ ไปอย่างนั้น กลางดึก คุณพยาบาลแจ้งว่า มีไข้นะคะ แต่ก็ไม่มาก พยาบาลเข้ามาเป็นระยะ จากนั้นกลางดึกคุณหมอมาเปิดแผล คุณหมอแจ้งว่า โอเคเลย แผลสวยมากเลย น่าจะกลับบ้านได้พรุ่งนี้เลยนะ
ภาพแผลวันแรกค่ะ สวยมากเลยหมอบอก (เราไม่รู้หรอกเราไม่กล้ามอง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เช้าวันรุ่งขึ้น หมอมาเปิดแผล .. หน้าแกเฉยๆ แล้วก็บอกว่ายังไงอยากกลับไหม เราบอกว่าไม่ค่ะ ขออยู่ก่อน.. เพราะต้องทำแผลทุกวันหนูทำไม่ไหว
กลางวันนั้นเพื่อนมาเยี่ยมค่ะ พาลูกน้อยมาเยี่ยมลูกน้อยบอกว่า เหม็น.. ป้าขาเหม็น... เราก็รู้สึกนะว่าทำไมมีกลิ่น
แฟนเราบอกว่า เพราะเท้าแฟนเหม็น... แต่เราว่าไม่ใช่ เรารู้สึกว่าขาเราเองที่เหม็น ..
เย็น คุณพยาบาลมาเปิดแผลทำแผลให้ปกติ เราบอกว่า มันเหม็นๆ ไหมคะ... คุณพยาบาลบอกว่า..ขอบๆ มีสีดำๆ เดี๋ยวแจ้งคุณหมอให้มาดู
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอคุณหมอเห็นแผล.... คุณหมอบอกว่า ติดเชื้อ... คืนนี้ให้นอนต่อ ถ้าให้ยาฆ่าเชื้อถูกโรค ก็จะหยุดลาม.....
นี่คือภาพแผลเริ่มเปลี่ยนสี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เรานอนให้ยาฆ่าเชื้ออยู่อีกสองวัน แผลที่เน่าของเรา เริ่มหยุดส่งกลิ่น วันแรกเลวร้ายที่สุด เหลือเกินจะทนกับกลิ่นได้... เราร้องไห้ในใจ.. ไม่อยากให้แฟนรู้ว่าจริง ๆ เรากลัวมาก
พอขาเราหยุดส่งกลิ่น ก็เข้าวันที่ 4 ... คุณหมอแจ้งว่า อยู่ต่อไปก่อน หมออยากให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อเพิ่ม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้