คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 29
มีความเห็นดราม่าเยอะ โดยเฉพาะการไปเทียบกับตลาดต่างประเทศแบบไหนถึงจะเรียกว่าเหมาะสม แต่ผมก็ยังยืนยันว่า สมมติฐานของจขกท.ที่ว่ารายได้คนกทม.ไม่สัมพันธ์กับราคาอสังหาเมื่อเทียบกับต่างประเทศก็ยังมีส่วนถูกมากกว่าไม่ถูก โดยเฉพาะถ้าดูที่ระดับผู้มีรายได้ต่ำแบบค่าแรงขั้นต่ำยิ่งจะเกิดช่องว่างอย่างชัดเจน โดยภาพรวมสรุปได้อยู่แล้วว่าราคาอสังหากรุงเทพนั้นค่อนข้างแพงกว่าที่ควรจะเป็นทั้งนี้เป็นเพราะ
1. กรุงเทพเป็นเมืองโตเดี่ยว ทุกอย่างต้องมาอยู่ที่นี่ งานดีๆเงินดีๆก็อยู่ที่นี่หมด ไม่มีเมืองทางเลือก
2. กรุงเทพไม่มีผังเมือง เราจึงมีพื้นที่จำกัดในการพัฒนาโครงการ จะเห็นว่ามีคอนโดสูงๆอยู่ตามถนนใหญ่ แต่เข้าไปในซอยไม่ถึงร้อยเมตรจะพัฒนาโครงการไม่ได้ มีแต่บ้านเดี๋ยวและอาจจะมีชุมชนแออัดด้วยซ้ำในทำเลที่ปากซอยมีคอนโดราคาตรม.ละ 200,000. แถมยังมีหน่วยงานราชการที่มีพื้นที่ในเมืองกว้างขวางใหญ่โตที่ไม่ได้เอามาพัฒนาและซื้อขายเปลี่ยนมือไม่ได้
3. ไม่เคยมี property tax ที่ป้องกันคนมีทุนหนาที่อยากซื้อบ้านที่ 2 ที่ 3 เก็บเอาไว้ ในตปท.(ที่เจริญ) ใครจะมีบ้าน (คอนโด) ที่สองสามคิดหนักกันทั้งนั้นเพราะ property tax แพงมาก แค่บ้านหลังที่หนึ่งที่อยู่กันจริงๆจังก็จ่ายภาษีแพงอยู่แล้ว ทำให้ demand ในตลาดบ้านของเค้าค่อนข้างจะสะท้อนความเป็นจริง ไม่ใช่ที่ลงทุนของคนมีตังค์เหลือ property tax ของแต่ละเมืองแตกต่างกันออกไป แต่อย่างน้อยก็ต้องมี 1.0% ต่อปี บ้านราคา 10 ล้านแปลว่าจ่ายกินเปล่าไปปีละแสน บางครั้งแพงกว่าค่าส่วนกลางคอนโด
4. ไม่มีกฎหมายกีดกันผู้ลงทุนต่างชาติ เช่นกลไกภาษีที่เก็บจากผู้ซื้อต่างชาติ ทำให้นักพัฒนาไทยมีตลาดที่กว้างกว่าแค่ลูกค้าคนไทย และกล้าตั้งราคาสูงๆ บางโครงการแทบจะทำมาเพื่อขายต่างชาติเป็นหลัก กรุงเทพเป็นเมืองที่ใครๆก็ชอบ เวลาทำคอนโดให้ดูหรูออกมาราคา 2-3 แสน คนฮ่องกง สิงคโปร์ ญี๋ปุ่นจะบอกว่าถูกกว่าบ้านเค้าเยอะเลย
เมืองขนาดกลางๆในสหรัฐบ้านราคาสัก 10-15 ล้านบาทถือว่าเป็น american dream home แล้ว ซึ่งรายได้คนระดับกลางเช่นครู พยาบาล ตำรวจ ข้าราชการ สามารถจะเป็นเจ้าของได้เป็นเรื่องปกติ
1. กรุงเทพเป็นเมืองโตเดี่ยว ทุกอย่างต้องมาอยู่ที่นี่ งานดีๆเงินดีๆก็อยู่ที่นี่หมด ไม่มีเมืองทางเลือก
2. กรุงเทพไม่มีผังเมือง เราจึงมีพื้นที่จำกัดในการพัฒนาโครงการ จะเห็นว่ามีคอนโดสูงๆอยู่ตามถนนใหญ่ แต่เข้าไปในซอยไม่ถึงร้อยเมตรจะพัฒนาโครงการไม่ได้ มีแต่บ้านเดี๋ยวและอาจจะมีชุมชนแออัดด้วยซ้ำในทำเลที่ปากซอยมีคอนโดราคาตรม.ละ 200,000. แถมยังมีหน่วยงานราชการที่มีพื้นที่ในเมืองกว้างขวางใหญ่โตที่ไม่ได้เอามาพัฒนาและซื้อขายเปลี่ยนมือไม่ได้
3. ไม่เคยมี property tax ที่ป้องกันคนมีทุนหนาที่อยากซื้อบ้านที่ 2 ที่ 3 เก็บเอาไว้ ในตปท.(ที่เจริญ) ใครจะมีบ้าน (คอนโด) ที่สองสามคิดหนักกันทั้งนั้นเพราะ property tax แพงมาก แค่บ้านหลังที่หนึ่งที่อยู่กันจริงๆจังก็จ่ายภาษีแพงอยู่แล้ว ทำให้ demand ในตลาดบ้านของเค้าค่อนข้างจะสะท้อนความเป็นจริง ไม่ใช่ที่ลงทุนของคนมีตังค์เหลือ property tax ของแต่ละเมืองแตกต่างกันออกไป แต่อย่างน้อยก็ต้องมี 1.0% ต่อปี บ้านราคา 10 ล้านแปลว่าจ่ายกินเปล่าไปปีละแสน บางครั้งแพงกว่าค่าส่วนกลางคอนโด
4. ไม่มีกฎหมายกีดกันผู้ลงทุนต่างชาติ เช่นกลไกภาษีที่เก็บจากผู้ซื้อต่างชาติ ทำให้นักพัฒนาไทยมีตลาดที่กว้างกว่าแค่ลูกค้าคนไทย และกล้าตั้งราคาสูงๆ บางโครงการแทบจะทำมาเพื่อขายต่างชาติเป็นหลัก กรุงเทพเป็นเมืองที่ใครๆก็ชอบ เวลาทำคอนโดให้ดูหรูออกมาราคา 2-3 แสน คนฮ่องกง สิงคโปร์ ญี๋ปุ่นจะบอกว่าถูกกว่าบ้านเค้าเยอะเลย
เมืองขนาดกลางๆในสหรัฐบ้านราคาสัก 10-15 ล้านบาทถือว่าเป็น american dream home แล้ว ซึ่งรายได้คนระดับกลางเช่นครู พยาบาล ตำรวจ ข้าราชการ สามารถจะเป็นเจ้าของได้เป็นเรื่องปกติ
สุดยอดความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ทำไมประเทศไทยบ้านและคอนโด ถึงแพงมากไม่สัมพันธ์กับรายได้แบบเมืองนอกเลยล่ะครับ
ในใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ยิ่งเริ่มต้นที่ 5-10 ล้าน น้อยมากกกที่จะเจอบ้านหลัง หรือ คอนโดห้องล่ะ 1 ล้าน - 3 ล้าน
กลับกันมาดูเงินเดือน วุฒิปริญาตรี สตาร์ทที่ 15,000 - 25,000 หรือน้อยกว่านั้น จะมีโอกาเป็นเจ้าของบ้าน หรือ คอนโด แบบสมบูรณ์โดยที่ไม่ต้องผ่อนอย่างต่ำ 10 ปีไหม?? (อันนี้หมายถึงคนส่วนมากนะ)
กลับกันเรามาดู อเมริกา กับ แคนาดา ถ้าหลีกเลี่ยงเมืองใหญ่อย่าง New York, San Francisco, Los Angeles, Toronto และ Vancouver อยู่อย่างประหยัดก็สามารถซื้อบ้านตามรัฐชนบทได้แล้วภายใน 1-5 ปี!!
https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRAeeOVzoTt_dATMLblMcGt8E73PBDjTXpAsQ&usqp=CAU
https://www.epi.org/publication/swa-wages-2019/
รายได้เฉลี่ยคนอเมริกันคือ 40,000 ดอลล่า