JJNY : 4in1 ชี้โนวาแวกซ์ประสิทธิภาพสูง│แพทย์ชนบททวงแอสตร้าฯหวั่นซิโนแวค│#สภาล่มหลัง ส.ส.พปชร.ไม่แสดงตัว│ศก.พ.ค.หดมากขึ้น

ผลทดลองชี้ วัคซีน ‘โนวาแวกซ์’ ประสิทธิภาพสูง ป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2803392

 
ผลทดลองชี้ วัคซีน ‘โนวาแวกซ์’ ประสิทธิภาพสูง ป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้
 
สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า บริษัทโนวาแวกซ์ ในรัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ผู้ผลิตวัคซีน “โคโวแวกซ์” ป้องกันโควิด-19 เผยแพร่ผลการทดลองในคนระยะที่ 3 ซึ่งระบุว่า วัคซีนที่บริษัทพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 และเชื้อกลายพันธุ์บางตัวได้ รวมทั้งสายพันธุ์เคนท์ หรือ บี.1.1.7 ซึ่งเริ่มต้นระบาดในประเทศอังกฤษ ก่อนแพร่ออกไปทั่วโลก รวมทั้งในสหรัฐอเมริกา ในขณะทำการทดลองอีกด้วย
 
ทั้งนี้ การทดลองดังกล่าวมีขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก โดยมีกลุ่มตัวอย่างวัยผู้ใหญ่รวมทั้งสิ้น 30,000 คน โดยราว 2 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ได้รับวัคซีนโคโวแวกซ์ 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่เหลือได้รับวัคซีนพลาซิโบหรือวัคซีนเปล่า ผลการทดลองพบว่าในกลุ่มตัวอย่างมีผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 77 ราย โดยมีเพียง 14 รายเท่านั้นที่ติดเชื้อหลังได้รับวัคซีนโคโวแวกซ์แล้ว และทั้ง 14 คนอยู่ในวัยหนุ่มทั้งหมด ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ติดเชื้อที่เหลือ เป็นผู้ที่ได้รับพลาซิโบ ไม่ได้รับวัคซีนจริงๆ ทั้งหมด
 
ผลการทดลองดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โคโวแวกซ์ของบริษัทโนวาแวกซ์มีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ราว 90 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ผลการทดลองในคนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าวัคซีนมีความปลอดภัย โดยนายแพทย์ เกรกอรี เอ็ม. เกล็น ประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนาของโนวาแวกซ์ ระบุว่า ผลการทดลองดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่อยู่ในระดับสูงของวัคซีนซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แม้ว่าในระหว่างการทดลองจะมีการแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์หลายสายพันธุ์ขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม โดยทางบริษัทเตรียมตีพิมพ์รายงานการทดลองครั้งนี้ในวารสารวิชาการเพื่อการตรวจสอบของเพื่อนร่วมวิชาชีพต่อไป และเตรียมยื่นขออนุมัติใช้งานในกรณีฉุกเฉินจากทางการสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และประเทศอื่นๆ ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้
 
วัคซีนของบริษัทโนวาแวกซ์เป็นวัคซีนชนิดโปรตีนเบส ใช้เทคนิค “รีคอมบิแนนท์ นาโนพาร์ติเคิล” ในการพัฒนา ซึ่งเป็นเทคนิคการพัฒนาวัคซีนที่เคยใช้กันมาก่อนหน้านี้ โดยใช้วิธีตัดต่อโปรตีนสไปค์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วนำไปเข้ากระบวนการผลิตย่อยออกมาเป็นอนุภาคนาโน โดยต้องใช้ประกอบกับสารเสริมฤทธิ์ แมทริกซ์-เอ็ม (Matrix-M adjuvant) ซึ่งจะฉีดห่างจากการฉีดวัคซีน 3 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดียิ่งขึ้น
 
กระบวนการผลิตวัคซีน รีคอมบิแนนท์ นาโนพาร์ติเคิล นี้จะช้ากว่ากระบวนการผลิตวัคซีนประเภทเอ็มอาร์เอ็นเอ ราว 6 เดือน แต่กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อนและง่ายกว่าการผลิตวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ ทั้งยังให้ประสิทธิภาพป้องกันในทันที ทำให้สามารถเร่งกำลังการผลิตได้ถึง 100 ล้านโดสต่อเดือน หรือกว่า 1,000 ล้านโดสต่อปี นอกจากนั้นยังมีอายุการใช้งานนานกว่า คือไม่จำเป็นต้องแช่แข็ง ก็สามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปี
 
รายงานข่าวระบุว่า โนวาแวกซ์ทำความตกลงกับสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (เอสไอไอ) และทางการเกาหลีใต้เพื่อทำหน้าที่ผลิตวัคซีนโคโวแวกซ์ให้ได้มากที่สุดโดยเร็วที่สุดแล้วอีกด้วย
 

 
แพทย์ชนบทสุดทน ขอทวงแอสตร้าฯ10ล้านโดสต่อเดือนที่หายไป หวั่นซิโนแวคเป็นวัคซีนหลัก
https://www.matichon.co.th/politics/news_2803698
 
ชมรมแพทย์ชนบท โพสต์เฟซบุ๊กทวงแอสตร้าเซนเนก้า 10 ล้านโดสต่อเดือน ที่หายไป หวั่นได้ซิโนแวคเป็นวัคซีนหลักของประเทศ เปรียบเหมือนได้เสื้อเกราะบาง บุคลากรแพทย์-คนไทย ไม่โอเค จี้ “อนุทิน” จัดการปัญหา
 
วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ชมรมแพทย์ชนบท เผยแพร่บทความซีรีส์ ลับลวงพราง วัคซีนโควิด ตอน 17 : 30-06-64 เรื่อง มาตรการทวงคืนสัญญา แอสตร้า 10 ล้านโดสต่อเดือนที่หายไป ข้อความดังนี้…
 
รัฐบาลและ ศบค.แถลงชัดเจน พร้อมให้ความหวังกับประชาชนคนไทยมาตลอดว่า สยามไบโอไซน์คือความมั่นคงด้านวัคซีนโควิดของประเทศ เราสั่งจองแอสตร้าในปี 2564 มีแผนการฉีดแอสตร้าที่เป็นวัคซีนหลัก แบ่งเป็นมิถุนายน 6 ล้านโดส แล้วหลังจากนั้นนับแต่กรกฎาคมเป็นต้นไปเดือนละ 10 ล้านโดส โดยมีซิโนแวคเป็นวัคซีนเสริม 3-5 ล้านโดส รอจนไตรมาส 4 ตุลาคมเป็นต้นไป จึงได้ไฟเซอร์โมเดิร์นนามาฉีดเพิ่ม
 
แต่แล้วกลับกลายเป็นว่า แอสตร้าสยามไบโอไซน์สามารถส่งมอบให้รัฐบาลไทยในเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไปเพียงสัปดาห์ละ 1 ล้านโดส รวมเดือนละ 4 ล้านโดสเท่านั้น
 
หากประเทศไทยได้แอสตร้าสยามไบโอไซน์เพียงเดือนละ 4 ล้านโดส เราจะมีซิโนแวคเป็นวัคซีนหลักของประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะอาจต้องนำเข้าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 6-10 ล้านโดสแทน ได้เสื้อเกราะบางมาใส่แทนเสื้อเกราะหนาปานกลางอย่างแอสตร้า แบบนี้บุคลากรทางการแพทย์และคนไทยไม่โอเคนะครับ
 
รัฐบาลพยายามแก้เกมส์ขาดแคลนวัคซีนแอสตร้าและ mRNA ด้วยการจัดหาวัคซีนบริจาคมาสมทบ เช่นขอบริจาคแอสตร้าญี่ปุ่นเข้ามาเสริม ขอของสหรัฐเข้ามาเสริม แต่นั่นคือของบริจาค ไว้เสริม ไม่ควรนำมานับเป็นวัคซีนหลักในระบบที่มีจองและการวางแผนสั่งซื้อตามสัญญาการจองวัคซีนไว้
 
ถึงเวลาแล้วที่รองนายกอนุทินในฐานะประธานคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติต้องประชุมเพื่อจัดการปัญหานี้
 
เพราะแอสตร้าสยามไบโอไซน์ทำให้การจัดหาวัคซีนปั่นป่วนมาก จำนวนที่ผลิตได้เดือนละ 15 ล้านโดส ทางบริษัทแม่เขาจะกันไว้ส่งมอบให้ประเทศอื่น ๆ ด้วย จึงทำให้สัดส่วนวัคซีนของสยามไบโอไซน์ที่ผลิตได้ จะส่งมอบให้รัฐบาลไทยประมาณ 25-30% เท่านั้น ที่เหลือต้องส่งออก และดูเหมือนวันรัฐบาลจะไม่กล้าไปต่อรองหรือใช้เครื่องมือทางกฎหมายใด ๆ ในการทำให้ประเทศไทยได้วัคซีนแอสตร้า 10 ล้านโดสต่อเดือนตามที่เคยคุยโวไว้เลย
 
ชมรมแพทย์ชนบทและเครือข่ายผู้ติดตามเรื่องการบริหารจัดการวัคซีน จึงเห็นว่า รัฐบาลมีหน้าที่ต้องทำทุกวิถีทางให้ประเทศไทยได้รับการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าจากสยามไบโอไซน์ที่ 10 ล้านโดสต่อเดือนตามที่เคยรัฐบาลเคยกล่าวอ้างไว้ให้ได้ นี่คือเป้าหมายที่ต้องทำให้ได้ แล้วค่อยจัดหาซิโนแวคมาเสริม 5 ล้านโดสให้ครบเดือนละ 15 ล้านโดสเป็นอย่างน้อย
 
ดังนั้นวิธีการตามกฎหมายที่ทำได้ก็คือ อาศัยอำนาจตาม พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561
 
มาตรา 18(2) ที่ระบุว่า รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมีอำนาจ “กำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีนไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องเหมาะสมกับสัดส่วนการใช้วัคซีนภายในประเทศ” ฉะนั้น รัฐบาลจึงสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าจากสยามไบโอไซน์ได้ โดยควรกำหนดให้ส่งออกได้ไม่เกิน 1 ใน 3 ที่ผลิตได้ ก็จะทำให้ประเทศไทยมีวัคซีนแอสตร้าฉีดในประเทศไทย 10 ล้านโดสต่อเดือนตามเป้าเดิม เดินหน้าการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้อย่างมั่นใจ
 
หนทางนี้สดใสและง่ายที่สุดแล้ว คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติส่วนใหญ่เขาก็เห็นด้วยแล้ว จึงหวังว่ารัฐบาลและ รมต.สาธารณสุขจะรีบดำเนินการ และทำทุกวิถีทาง ให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านวัคซีน อย่างน้อยก็จากแอสตร้าสยามไบโอไซน์ ไม่ใช่จากซิโนแวคที่ควรเป็นวัคซีนเสริมเท่านั้น
 
ประชาชนรอดูอยู่ ชี้ช่องกันขนาดนี้แล้ว อย่ารีรอเลยครับนายกประยุทธ์และรองนายกอนุทิน
 
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=4780124978681288&id=142436575783508
 

 
#สภาล่ม พุ่งที่ 1 ทวีต หลัง ส.ส.พปชร. ไม่แสดงตน ฝ่ายค้านไล่ ไม่ประชุมก็ยุบสภาเลย
https://www.matichon.co.th/politics/news_2803837

จากกรณีที่ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรล่ม โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยในเวลา 11.57 น. นายชวนได้เปิดให้สมาชิกเข้ามาแสดงตน เพื่อเข้าสู่วาระการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.วัตถุอันตราย (ฉบับที่…) พ.ศ. ปรากฏว่ามีสมาชิกแสดงตนเพียง 206 คน ซึ่งจะครบองค์ประชุมต้องมีสมาชิก 242 คน ทำให้ไม่ครบองค์ประชุม ประธานสภาต้องสั่งปิดการประชุมทันที
 
โดยพบว่า ส.ส.ซีกรัฐบาล มีส.ส.พลังประชารัฐ แสดงตนเพียง 9 คน จากส.ส. 120 คน เช่นเดียวกับภูมิใจไทย ที่มีส.ส.แสดงตน 8 คน จาก 61 คน พรรคประชาธิปัตย์ มีผู้แสดงตน 37 คนจาก 48 คน ทั้งนี้ ส.ส.หลายคนอยู่ในห้องประชุม มีการพูดอภิปราย แต่ไม่ยอมแสดงตนก่อนลงมติ

ทั้งนี้ ประชาชนในโลกออนไลน์ ต่างแสดงความไม่พอใจในกรณีดังกล่าว ติด #สภาล่ม เพื่อร่วมถกเถียงในประเด็นดังกล่าว จนขึ้นเป็นอันดับ 1 เทรนด์ในทวิตเตอร์ประเทศไทย โดยหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดถึงล่ม ในเมื่อมี ส.ส.นั่งอยู่ในสภา และเป็นช่วงที่ประชาชนกำลังลำบากจากสถานการณ์โควิด-19

หลายความเห็นกล่าวว่า หาก ส.ส.ไม่อยากทำงานแล้ว ควรจะยุบสภาเสีย เพื่อไม่ให้เสียภาษีของประชาชนต่อไป โดยหลายคนยังว่า ส.ส.ไม่เข้าประชุมยังได้รับเงินเดือน แต่ประชาชนนั้น ไม่มีเงินแล้ว อีกด้วย

ขณะที่ ทวิตเตอร์ของกลุ่มการเมืองต่างๆ ก็ต่างออกมากล่าวถึงกรณีดังกล่าว

ส.ส.ฟากฝ่ายค้านหลายคน ยังออกมาระบุว่า ว่าหากไม่พร้อม ก็ควรจะเลือกตั้งใหม่ อาทิ วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.ก้าวไกล ที่กล่าวว่า 

“ที่จริงองค์ประชุมมาครบนะคะ แต่องค์ประชุมส่วนใหญ่เป็นฝ่ายค้าน

รัฐบาลไม่พร้อมที่ประชุม พอรู้ว่าคนของตัวเองมาไม่พอ ก็เลือกที่จะทำให้การประชุมในวันนี้ล่ม เพราะถึงโหวตไปฝ่ายตัวเองก็โหวตแพ้ เนื่องจาก ส.ส.ขาดประชุมเยอะ

ถ้าไม่พร้อมทำงานก็เลือกตั้งใหม่ ดีกว่านะ
#ประชุมสภา #ยุบสภา”
 
https://twitter.com/MaisonWanvipa/status/1410103558230315008
https://twitter.com/RangsimanRome/status/1410107694548090881
https://twitter.com/PheuThaiParty/status/1410120897038409731
https://twitter.com/MFPThailand/status/1410108377326243844
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่