JJNY : 4in1 'โทนี่'สะเทือนใจ ไทยรับบริจาค│ถอดบทเรียนมัลดีฟส์-เซเชลส์│แพทย์ด่านหน้าร้องนำเข้าmRNA│'ครัวเจ้าพระยา'โบกมือลา

'โทนี่' สะเทือนใจ ไทยมีโรงงานผลิตวัคซีน แต่ต้องรับบริจาค โวมอบอำนาจมา จะเจรจาซื้อให้
https://www.matichon.co.th/politics/news_2802374

 
‘โทนี่’ สะเทือนใจ ไทยมีรง.ผลิตวัคซีน แต่ต้องรับบริจาค โวมอบอำนาจมา จะเจรจาซื้อให้
 
เมื่อเวลา 20.01 น. วันที่ 29 มิถุนายน โทนี วู้ดซัม หรือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมสนทนาในรายการ CARE ClubHouse x CARE Talk ตอน “โทนี่สอนน้อง” พังพินาศกันไปใหญ่ เจ็บได้แต่ไม่จบ ล็อกดาวน์ไปทำไม ถ้าไม่ตรวจเชิงรุก
 
โดยช่วงต้น โทนี่ ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของรัฐบาล ที่มีการประกาศปิดไม่ให้นั่งทานในร้านอาหาร และแคมป์คนงานก่อสร้าง และมองว่า การแก้ปัญหาที่สำคัญ ต้องนำวัคซีนเข้ามา
 
ช่วงตอนหนึ่ง โทนี่ ได้กล่าวว่า รู้สึกสะเทือนใจที่ต้องรับบริจาควัคซีน ทั้งๆ ที่มีโรงงานผลิต โดยว่า
 
“ผมสะเทือนใจนะ รับบริจาคจากที่นั่นที่นี่ อย่างญี่ปุ่นบริจาคแอสตร้าฯให้ เขาเป็นประเทศมีน้ำใจอยู่แล้ว แต่เรามีโรงงานผลิต แม้เรารับจ้างผลิตเหมือนโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไปก็ตาม แต่เรารับบริจาค ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมต้องรับบริจาค มันไม่เท่ อะ
 
“เงินกู้มาเยอะแยะ ทำไมไม่ซื้อวัคซีน คือวัคซีนเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายเรามีภูมิ ต่อสู้ เราต้องอยู่ทั้งชีวิต มันไม่หายไปไหนหรอก เราจะอยู่กับมันได้อย่างไร ถ้ารักษาแล้ว ก็เหมือนไข้หวัดทั่วไป ช่วงนี้วุ่นวายหน่อย แตเราจะเอาอย่างไร กับเศรษฐกิจที่คนตายผ่อนส่ง”
 
ทั้งนี้ ผู้ร่วมการเสวนา ได้ถามว่า หากให้โทนี่ เป็นคนจัดการหาวัคซีน ใช้เวลากี่วัน โทนี่ระบุว่า มอบอำนาจให้ผมดิ จะหาให้ มันอยู่ที่การเจรจา เราเป็นทั้งประเทศ เจรจาซื้อวัคซีนไม่ได้ ไม่รู้จะทำไง ต้องเข้าใจว่าวัคซีน สมมุติเอกชนไปเจรจา แต่รัฐบาลต้องรับรู้ วัคซีนจึงต้องลงบัญชีไว้ทุกอย่าง
 
“ถ้ารัฐบาลไม่รู้จะทำอย่างไร ผมยินดีทำ ว่างอยู่แล้ว งานก็ไม่มีทำ”
 
และยังระบุว่า ตัวหนึ่ง ที่ออกมาใหม่ โนวาแวกซ์ ผมไปคุยกับนักลงทุนสิงคโปร์ เขาบอกดีมาก น่าลงทุน วันนี้เพิ่งผ่าน FDA ของอเมริกา ไปเจรจาแล้ว ใช้ได้เลย สิงคโปร์ไปคุยกันตั้งแต่เริ่มเฟส 3 เริ่มทดลองกับมนุษย์แล้ว
 


“ทีทีบี” ถอดบทเรียนมัลดีฟส์-เซเชลส์ หลังเปิดรับนักท่องเที่ยว พบโควิดระบาดเพิ่มหลายเท่าตัว หวั่นภูเก็ตซ้ำรอย
https://www.matichon.co.th/economy/news_2801660
 
“ทีทีบี” ถอดบทเรียนมัลดีฟส์-เซเชลส์ หลังเปิดรับนักท่องเที่ยว พบโควิดระบาดเพิ่มหลายเท่าตัว หวั่นภูเก็ตซ้ำรอย
 
การเร่งกระจายฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนของไทยกำลังให้ความสำคัญ เนื่องจากเชื่อว่า “วัคซีน” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีโอกาสกลับมาพลิกฟื้นได้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งในขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศในโซนยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อิสราเอล รัสเซีย ได้ทยอยฉีดวัคซีนให้ประชากรในประเทศ จนเริ่มมีนักท่องเที่ยวพร้อมออกเดินทาง ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศไทยมีความคาดหวังว่าหากแผนการกระจายวัคซีนดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จะกลับมาเปิดประเทศได้ภายใน 120 วัน โดยเริ่มจาก “โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ” ที่จะดำเนินการวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ เพื่อนำร่องต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจะเป็นโมเดลขยายการเปิดประเทศไปยังจังหวัดท่องเที่ยวหลักอื่น ๆ ต่อไป
 
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามีหลายประเทศดำเนินการฉีดวัคซีนในปริมาณที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ได้แก่ มัลดีฟส์ และเซเชลส์ กลับพบว่ายังมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกใหม่อย่างรุนแรงจนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักลงอีกครั้ง ด้วยเหตุที่ทั้งสองประเทศนี้มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยในหลายมิติ อาทิ สภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะของมัลดีฟส์ และหมู่เกาะเซเชลส์ ที่คล้ายคลึงกับจังหวัดภูเก็ตซึ่งจะเป็นจังหวัดนำร่องในการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
 
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ทำการศึกษาข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อถอดบทเรียนประเทศเหล่านั้น พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และวิเคราะห์ว่าประเทศไทยควรมีการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือสถานการณ์อย่างไร
 
ถอดบทเรียนมัลดีฟส์และเซเชลส์ : หมู่เกาะที่ภูมิประเทศคล้ายภูเก็ต หลังจากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อัตราการติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น พบความเสี่ยงจากการระบาดของสายพันธุ์อื่นนอกประเทศ
 
ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ : ถอดบทเรียนจากมัลดีฟส์ และเซเชลส์
 
การเร่งกระจายฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนของไทยกำลังให้ความสำคัญ เนื่องจากเชื่อว่า “วัคซีน” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีโอกาสกลับมาพลิกฟื้นได้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งในขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศในโซนยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อิสราเอล รัสเซีย ได้ทยอยฉีดวัคซีนให้ประชากรในประเทศ จนเริ่มมีนักท่องเที่ยวพร้อมออกเดินทาง ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศไทยมีความคาดหวังว่า หากแผนการกระจายวัคซีนดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จะกลับมาเปิดประเทศได้ภายใน 120 วัน โดยเริ่มจาก “โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ” ที่จะดำเนินการวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ เพื่อนำร่องต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจะเป็นโมเดลขยายการเปิดประเทศไปยังจังหวัดท่องเที่ยวหลักอื่น ๆ ต่อไป
 
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามีหลายประเทศดำเนินการฉีดวัคซีนในปริมาณที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ได้แก่ มัลดีฟส์ และเซเชลส์ กลับพบว่ายังมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกใหม่อย่างรุนแรงจนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักลงอีกครั้ง ด้วยเหตุที่ทั้งสองประเทศนี้มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยในหลายมิติ อาทิ สภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะของมัลดีฟส์ และหมู่เกาะเซเชลส์ ที่คล้ายคลึงกับจังหวัดภูเก็ตซึ่งจะเป็นจังหวัดนำร่องในการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
 
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ทำการศึกษาข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อถอดบทเรียนประเทศเหล่านั้น พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
 
ถอดบทเรียนมัลดีฟส์และเซเชลส์ : หมู่เกาะที่ภูมิประเทศคล้ายภูเก็ต หลังจากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อัตราการติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น พบความเสี่ยงจากการระบาดของสายพันธุ์อื่นนอกประเทศ
 
เมื่อถอดบทเรียนการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้รับวัคซีนในอัตราฉีดสูงและเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ กรณีหมู่เกาะเซเชลส์ แม้ว่าในปัจจุบันจะมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงถึง 71.5% แต่เมื่อมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในช่วงเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา กลับพบการระบาดของเชื้อเฉลี่ยสูงขึ้น 3.8 เท่าตัว ในช่วงเดือนเมษายน ถึง มิถุนายน ในขณะที่ประเทศมัลดีฟส์ที่มีอัตราการฉีดวัคซีน 58.3% พบการระบาดสูงขึ้นกว่าเดิม 8.2 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน โดยจะเห็นว่าหลังจากเปิดประเทศแล้ว ทั้งสองประเทศยอดนักท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นในสองเดือนแรก แต่ในเดือนที่สามเริ่มพบยอดการติดเชื้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชี้ถึงโอกาสเสี่ยงในการรับเชื้อไวรัสที่แตกต่างจากสายพันธุ์ท้องถิ่น โดยเป็นสิ่งที่ไทยต้องตระหนัก
 
เมื่อมองย้อนกลับมาที่จังหวัดภูเก็ต ในช่วงที่ผ่านมามีความพร้อมเพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยว โดยประชาชนในจังหวัดภูเก็ตได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วกว่า 3.6 แสนคน คิดเป็น 87% ของประชากร และเข็มที่สอง 2.9 แสนคน คิดเป็น 70% ของประชากร ดังนั้น การฟื้นฟูการท่องเที่ยวผ่าน “โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ ซึ่งจังหวัดได้เตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขภายในจังหวัดที่รัดกุมตามแผน เช่น แผนสำรองเรื่องการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมให้กับประชาชนและผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดอยู่ในต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงของนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็มมาแล้วเป็นเวลา 14 วัน จึงสามารถเข้ามาเที่ยวที่ภูเก็ตได้โดยต้องพำนักอยู่ในภูเก็ตเป็นเวลา 14 คืน ก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวสถานที่อื่นในประเทศไทย นอกจากนี้ จะต้องมีการตรวจเชื้อคัดกรองโรคโควิด-19 จำนวน 3 ครั้งในระหว่างอยู่ภูเก็ต และต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน Thailand Plus และแอปหมอชนะ เพื่อให้ติดตาม timeline ได้ รวมถึง การอนุญาตชาวต่างชาติให้เข้ามาท่องเที่ยวจะต้องเป็นกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำและปานกลางตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งคาดว่าในระยะแรก นักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้แก่ เยอรมัน อังกฤษ รัสเซีย ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส ซึ่งประเทศที่นิยมมาภูเก็ตก่อนเกิดการระบาด คิดเป็น 30% ของนักท่องเที่ยวที่มาภูเก็ต
 
ด้วยแนวทางที่ได้เตรียมการไว้ของภาครัฐ เอกชน ความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในพื้นที่ และบทเรียนการเปิดให้ท่องเที่ยวของประเทศอื่น ๆ จะช่วยให้ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เป็นโมเดลตัวอย่างเพื่อปรับใช้พื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ กระบี่ พังงา เชียงใหม่ พัทยา บุรีรัมย์ ช่วยพลิกฟื้นการท่องเที่ยวไทยให้กลับมาอีกครั้ง 



แพทย์ด่านหน้า ล่ารายชื่อ ร้องรัฐบาลนำเข้า วัคซีนโควิด mRNA โดยด่วน
https://www.amarintv.com/news/detail/86708
 
กลุ่มแพทย์ด่านหน้า เปิดแคมเปญ ล่ารายชื่อบุคลากรการแพทย์-ประชาชน ร้องรัฐบาลนำเข้า วัคซีนโควิด mRNA ด่วน ก่อนสถานการณ์วิกฤต
 
วันนี้ (29 มิ.ย.64) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มที่ใช้ชื่อว่า "บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า" ได้เปิดแคมเปญชื่อ ภาคีบุคลากรสาธารณสุข เชิญบุคลากรการแพทย์ และประชาชนที่สนใจ ร่วมลงชื่อเรียกร้องให้นำเข้า mRNA vaccine ด่วน เพื่อกดดันให้รัฐบาลนำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสำหรับทุกคน และทำให้สถานการณ์การติดโควิดในประเทศดีขึ้นได้ โดยในแถลงการณ์ของกลุ่มดังกล่าว ระบุว่า 
 
วิจัยพบ วัคซีนไฟเซอร์ - โมเดอร์นา กระตุ้นภูมิได้นานหลายปี โดยไม่ต้องฉีดซ้ำ
 
เนื่องจากสถานกาณ์การติดเชื้อของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย มีความน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง จำนวนการคนติดเชื้อและการเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ทางบุคคลากรทางการแพทย์มีความเป็นห่วงว่าสถานการณ์อาจจะแย่ลงได้เนื่องจากสายพันธุ์เดลตา มักจะมีการแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ 
 
ในมุมมองทางการแพทย์ ในขณะนี้ประเทศไทยมีจำนวนบุคลากรจำกัด วัสดุอุปกรณ์รวมถึงสถานที่ที่จำเป็นในการรองรับผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วยวิกฤตมีความจำกัด ทางบุคลากรทางการแพทย์ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการเร่งการนำเข้า mRNA วัคซีน ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ในแง่การป้องกันการเสียชีวิต และป้องกันการแพร่ระบาดได้สูง โดยจะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อการควบคุมโรคโควิด-19 
 
ทางกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าขอเรียกร้องให้รัฐบาล รวมถึงองค์การเภสัชกรรมมีการนำเข้า mRNA vaccine (Pfizer และ Moderna) เข้ามาเป็นการเร่งด่วน เพื่อทำการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนต่อไป
 
โดยแนบข้อมูลอ้างอิง กรณีระบุว่าเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงจากงานวิจัย
 
1. Serologcal response to mRNA and inactivated COVID-19 vaccine in healthcare workers in Hong Kong:preliminary results
https://www.hkmj.org/earlyrelease/hkmj219605.htm
 
2. Effectiveness of mRNA COViD-19 vaccines against SAR-CoV-2 infection in a cohort of healthcare personnel
https://academic.oup.com/cid/advance-article/doi/10.1093/cid/ciab361/6253721
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่