*อยากแชร์ประสบการณ์และระบายความรู้สึกครับ เรื่องทั้งหมดมาจากชีวิตจริง แต่ปรับให้ซอฟต์ลง ไม่มีที่ให้ระบายความอัดอั้นทั้งหลาย นอกจากที่นี่ครับ ในเฟสก็ไม่เหมาะด้วย
*ผมเป็นซึมเศร้านะครับ คนเป็นซึมเศร้าอย่าเข้ามาอ่านเลย กลัวจะทำให้ยิ่งรู้สึกไม่ดีไปด้วย
ตอนเป็นเด็ก สมัยที่รายการทีวียังมีแต่สารคดี รายการวิทยาศาสตร์ ข่าวดาราศาสตร์ ข่าวการปล่อยจรวดปล่อยกระสวย อยู่ว่อนผังรายการ เวลาถูกถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เด็กๆรุ่นเดียวกันก็จะตอบว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากเป็นนักบินอวกาศ ความฝันแรกๆของเด็กที่ยังรับรู้โลกผ่านรายการสารคดี
“เป็นทำไมนักวิทยาศาสตร์ เป็นหมอสิ”
ชุดข้อมูลนี้ถูกป้อนกรอกหูเข้ามาตลอดตั้งแต่จำความได้
พอเข้าประถม โดยเฉพาะ ป.1 วิชานึงเนื้อหาเรียนทั้งเทอมแทบจะเขียนใส่ในกระดาษ A4 ได้แค่หน้าเดียวในวันที่ผมยังมีความจำดีกว่านี้ แค่ครั้งเดียวผมก็จำได้ไม่ลืม ข้อสอบก็ไม่เคยผิดซักข้อ แต่ครอบครัวไม่เคยสนใจ เขาแปลกกว่าบ้านอื่นตรงที่ เขาไม่ได้ให้ค่าผลการเรียนที่สูง แต่เขาให้ค่าการตั้งใจเรียน”ในแบบของเขา” (ไม่ใช่แบบปกติ)
ย้อนกลับไปในสมัยพวกเขายังเด็ก ชีวิตความเป็นอยู่ที่มีพ่อแม่ใช้แรงงาน ทำงานหนัก การเรียนหนังสือเป็นการขี้เกียจไม่เอาการเอางานอย่างหนึ่ง พวกเขาแอบอ่านหนังสือ แอบติวหนังสือด้วยความฝันที่จะเป็นมนุษย์เงินเดือน และวาดฝันว่าการเรียนคือหนทางเดียวสู่การเป็นลูกจ้างบริษัท หรือเป็นหมอ ในยุคของเขา คนเรียนตามระบบแบบเดียวกัน เพื่อให้ได้คะแนนสูงที่สุด แล้วคนที่คะแนนสูงที่สุดก็อาจจะโชคดีได้รับเลือกไปทำงาน นั่นคือปี 1960s-1990s เท่าที่ผมรู้มา
การตั้งใจเรียนในแบบของเขา คือการเป็น”เนิร์ด” ในความเข้าใจของคนทั่วไป เขาต้องการให้ผมเป็นเด็กเงียบๆ อ่านหนังสือเรียน ไม่เล่นกับเพื่อน ไม่เล่นกีฬา ไม่เล่นดนตรี ชอบแต่การเรียนวิชาการเท่านั้น โชคยังดีที่สมัยนั้นกวดวิชายังไม่แพร่หลายเท่าไหร่ แต่ในความรับรู้ที่พวกเขาพร่ำบอกคือ
“กวดวิชาคือการลงโทษเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียน จะต้องเรียนหนักกว่าเดิม เรียนจนฟ้ามืด เรียนจนไม่ต้องนอน”
นั่นเป็นสิ่งที่เขาเอามาขู่ผมเสมอๆ
วิชา ป.1 ในตอนนั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าบวกลบ สัตว์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (ว่าด้วยการตั้งคำถามและให้เหตุผล) และภาษาอังกฤษเล็กน้อย
ผมอ่านหนังสือคล่องตั้งแต่อนุบาล และในวันที่ผมยังปกติ เนื้อหาเท่านั้นไม่ยากเกินกว่าการเห็นครั้งเดียวจำได้ตลอด ผมเอาเนื้อหามาทำโจทย์ตามวัยได้ทุกข้อ และเขียนทุกอย่างในกระดาษเปล่าได้ ทำการบ้านได้ สอบได้เต็ม โดยไม่ต้องอ่านหนังสือ(ที่ไม่มีอะไรให้อ่านอีก) และมันเป็นจุดเริ่มต้นของมุมมอง “ขี้เกียจสันหลังยาว” ที่ผมได้รับ
ไม่ว่าเกรดผมจะดีแค่ไหน นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขามอง ถ้าผมแย้งว่าดี เขาก็บอกว่า “มันดีเพราะโรงเรียนปล่อยเกรดแท้จริงผมไม่เอาไหน ถ้าไม่ดีก็เพราะผมขี้เกียจไม่เอาไหน” (เกรดผมไม่ดีเรื่องเดียวคือดนตรี ที่ในตอนนั้นเค้าให้สอบเล่นเปียโน ซึ่งผมไม่ชอบและไม่มีที่ให้ฝึกเล่น ผมรู้ตัวว่าผมไม่ถนัดดนตรี กีฬา ศิลปะ)
เขาไม่เห็นผมนั่งอ่านหนังสือเรียนคร่ำเคร่ง เขาก็ว่าผมขี้เกียจ จนถึงที่สุดเขาก็ตีด้วยไม้แขวนเสื้อ โยนผมเข้าไปในห้องหนึ่งพร้อมกองหนังสือเรียน (ที่ผมจำได้หมดแล้ว) แล้วล็อคประตูขังไว้จนกว่าเขาจะพอใจพร้อมกับพร่ำบอกว่าสมัยเขา เขาอยากเรียนแค่ไหน เราสบายแค่ไหนที่ได้เรียน
ผมเกลียดการอ่านหนังสือพวกนี้ ในใจผมคิด
แม้ว่าในอีกหลายปีจากนั้นผมยังเรียนได้ดีมาก โดยที่จริงๆแล้วผมอ่านหนังสือเรียน แต่ผมอ่านที่โรงเรียนไม่เกิน 2 รอบ (ตอนเรียน ก่อนสอบ) ผมก็จำได้อยู่แล้ว นอกเวลาผมก็พยายามหาอย่างอื่นทำ อ่านหนังสืออื่น หาอะไรเล่น (ในตอนนั้นยังไม่มีเกม) ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นผมอ่านหนังสือที่บ้าน และการไม่เห็นของเขาก็คือ “ผมไม่เคยอ่านหนังสือเลย” พวกเขาพูด
พวกเขาจะตีอย่างหนัก ถ้าผมไม่เป็นในแบบที่พวกเขาต้องการ ถ้าผมพูดอะไรขัดหู (ซึ่งในตอนนั้นผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าผมพูดอะไรผิด) เขาจะตี และเขาไม่บอกและไม่เคยบอกว่าผมพูดอะไรผิด ผมจึงเลือกจะไม่พูด ถ้าไม่ชัวร์ว่าเขาจะตีไหม และผมก็ไม่ทำอะไร ถ้าผมไม่รู้ว่าเขาจะตีไหม แต่ถ้าหากเขาอารมณ์ไม่ดี ต่อให้ผมนั่งเฉยๆผมก็โดนตีอยู่ดี (ซึ่งผมจะรู้ในอนาคตว่าทำไม)
ผมต้องพยายามทำทุกทางไม่ให้ถูกตี ต้องเป็นเด็กดีในสายตาเขา ด้วยความที่เขาต้องการให้ผมเนิร์ด ผมก็ต้องเนิร์ด ผมไม่เล่นกับเพื่อน (ต่อหน้าครู หรือเพื่อนห้องเดียวกัน) ผมคุยแต่เรื่องที่ค่อนข้างวิชาการ(สำหรับเด็ก) แต่คนก็งงและเบื่อ และผมก็ย่อมได้รับ “การแกล้ง” เป็นผลตอบแทนของการ ไม่เหมือนคนอื่น
(วันนึงหลังจากนั้น ผมจะได้รู้ว่าความคิดของเขาคือเขามองว่าการมีลูกคือเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตทั้งๆที่เค้าเตรียมตัวมาพอสมควร และถ้าไม่มีลูก ชีวิตเขาคงสบายกว่านี้ มีเงินใช้ ไม่ต้องคิดมาก เขาพูดแบบนี้มาจนถึงทุกวันนี้)
ผมโดนแกล้งทุกวันในทุกรูปแบบ โดนดักรุมเกือบ 30 คนบนทางไปห้องสมุดก็เคย โดนทำลายสมุดและอุปกรณ์ต่างๆก็เคย และครูไม่ทำอะไรเลย ซ้ำร้าย ครูหลายคนยังขู่ว่า ถ้าใครมาฟ้องว่าโดนแกล้ง คนฟ้องจะโดนตี
ผมมีที่ปลอดภัยคือหน้าห้องพักครู ที่ที่อะไรก็ตามอยู่ในสายตาครู และนั่นยิ่งทำให้ผม ประหลาด
ผมเคยบอกว่าผมไม่อยากไปโรงเรียน ผมไม่มีความสุขเพราะโดนแกล้งทุกวัน ไม่ใช่ว่าผมไม่สู้ บางครั้งผมก็สู้ และผลของการสู้นั้น ถ้าไม่ถูกยกพวกมารุม ก็ถูกครูตีนั่นเอง แม้ว่าผมจะพูดว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ดังนั้นผมถึงได้แค่ซ่อนตัวหน้าห้องพักครู
พวกเขาไม่มองที่ผมถูกแกล้ง แม้ว่าจะพูดชื่อคนที่แกล้ง เล่าเหตุการณ์แค่ไหน แต่เขามองว่าผมไม่อยากไปโรงเรียน หมายถึงผมไม่อยากเรียน ผมขี้เกียจ ดังนั้นผมก็โดนตีอยู่เรื่อยๆ แล้วบอกว่าสมัยเขาอยากไปโรงเรียนขนาดไหน (เพราะสมัยเขา เวลาไปโรงเรียนคือโอกาสเดียวที่จะได้เรียน ไม่ถูกใช้แรงงาน) จนผมไม่สามารถบอกใครได้อีกว่าผมเจออะไรบ้างที่โรงเรียน เพราะถ้าบอกผมก็อาจจะโดนตีได้
เมื่อผ่านไปหลายปี เขายังคงยืนยันว่าจุดยืนของเขาถูกต้องแล้ว เพราะตัวเขาเองก็เคยได้รับการปฏิบัติไม่ต่างกัน และไม่มีใครรับฟังและที่บ้านเขาก็ไม่แคร์เช่นกัน ผมถามเขาตรงๆว่า แล้วผมต้องเจอแบบเดียวกันหรือ เขาตอบอย่างเลือดเย็นว่า “ก็ใช่ไง”
ชีวิตผมโตมากับการระแวงว่าจะโดนตี ดังนั้นจิตใต้สำนึกผมเลยต้องจำลองพวกเขาขึ้นมาในความคิด ว่าถ้าพูดหรือทำอะไรไป (หรือไม่พูดไม่ทำ) อะไรที่มีโอกาสทำให้ถูกตีได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นการมองโลกในแง่ร้ายของผม
ช่วงที่มีปัญหาเรื่องการเงิน สิ่งที่ผมต้องทำคืออยู่เฉยๆให้เฉยที่สุด เพราะถ้าแม้แต่เดินเสียงดังไป ก็เป็นเหตุผลให้เขาตีได้ เขาเหมือนระบายอารมณ์ด้วยการตีจริงๆ ผมเคยคิด
เขาไม่เคยสร้างความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับการเรียนให้ผมได้เลย ถึงผมจะเคยชอบเรียนก็ตาม และก็ยังถูกถามอยู่เสมอ ว่าเมื่อไหร่จะค้นพบตัวเอง (ผมบอกก่อนว่า คำตอบที่พวกเขาต้องการคือ “อยากเป็นหมอ)
ผมยังสงสัยจนทุกวันนี้ ว่าความเป็นไปได้ที่เราจะค้นพบความชอบและความถนัด มันจะได้มาจากการเรียน8 กลุ่มสาระการเรียนจริงๆหรือ แล้วมันทำยังไง ผมเคยรวบรวมความกล้าถามเขาตรงๆ เขาบอกว่า “ก็ตั้งใจเรียนสิ เรียนไปก็จะรู้เอง ถามอย่างงี้ไม่อยากเรียนใช่มั้ย” แล้วก็ถูกตี
เขาชอบเล่าเรื่องของเด็กที่ไม่ถูกกดดันให้เรียนหนักๆจนชีวิตตกระกำลำบากให้ฟังจนจำได้ขึ้นใจ พวกเขาเรียกพวกนี้ว่า “พ่อแม่รังแกฉัน” พร้อมกับเหน็บแนมเด็กที่พบเห็นทั่วไป หรือเด็กที่มีความสามารถเฉพาะทาง(ที่ไม่ใช่การเรียน) ว่าพวกนี้โตไปก็จะลำบากเพราะไม่ตั้งใจเรียน พ่อแม่รังแกฉันทั้งนั้น และสำหรับผมอะไรที่นอกเหนือจากการเรียนตามอย่างคนอื่นแล้ว อะไรก็ “เป็นไปไม่ได้” ทั้งนั้น
เขาบอกว่าผมไม่ตั้งใจเรียน (วันนั้นการเรียนผมยังดีอยู่) เขาบอกว่าผมต้องไปสอบเข้ามัธยม แล้วเขาก็ให้ไปซื้อหนังสือตะลุยโจทย์มาเล่มนึง ซึ่งผมไม่เคยสอบเข้ามาก่อน ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลยแม้แต่การขึ้นรถเมล์ก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาไม่ให้ผมไป (เขาจะพูดว่าการขึ้นรถเมล์เป็นเรื่องลำบาก เพราะไม่ตั้งใจเรียนถึงไม่มีรถขับ)
(สปอย : อะไรๆที่เขาไม่ชอบเขาก็จะบอกว่าเพราะไม่ตั้งใจเรียน)
ผมรู้ตัวตอนที่ทำโจทย์พวกนี้ว่า ผมไม่ถนัด เลขที่ Advance ขึ้นไป ผมทำไม่ค่อยจะได้เพราะโจทย์พวกนั้นส่วนมากเกินความรู้ ป.6 และผมถูกตีที่ทำสิ่งที่ผมไม่เคยเรียนมาก่อนไม่ได้ ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนว่า การสอบจะใช้ความรู้ที่สูงกว่าระดับที่เด็กเรียนมา และในสมัยนั้น อัตราการสอบเข้ายังคงสูงกว่า 1 ต่อ 10 (สมัยนี้ 1 ต่อ 3) และในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็สอบไม่ติด และนั่นเป็นช่วงเวลาเหวในชีวิตผม
ทุกอย่างเปลี่ยนไปเหมือนแสงในโลกดับลง มากกว่า 10 ปีแล้ว ผมไม่เคยหายดีจากอาการพวกนี้อีกเลยผมถูกด่าอย่างรุนแรงทุกวัน ทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนดึก ทุกอย่างเลวร้าย หลายครั้งที่ผมเลือดกำเดาครั้งละมากๆหรืออาเจียนโดยไม่มีสาเหตุ รวมถึงไม่สามารถมีสมาธิเรียนได้เลย ทั้งผลการเรียนตอนนั้นก็ตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และเขาว่าผม “สำออย” และ “ขี้เกียจขึ้น” เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับความคิด“อยากฆ่าตัวตาย” ความคิดที่ผมจะคุ้นเคยกับมันนับแต่นั้น ความคิดที่จะผุดขึ้นมาเป็นพักๆเมื่อเจอปัญหาจนรู้สึกหมดหนทาง
ผมย้ายไปเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งเขาบอกว่าเป็นเหมือนการลงโทษ ที่ซึ่งผมรับรู้ถึงอาการแปลกๆต่างๆแม้แต่ครูประจำชั้นก็รับรู้ และบอกให้ผมไปพบจิตแพทย์
ผมเป็นโรคซึมเศร้าด้วยอายุ 11 ย่าง 12 พร้อมกับต้องกินยาหลายเม็ดต่อวัน ยาที่จะทำให้ผมง่วงนอนทั้งวัน จนนอนได้สูงสุดถึง 25 ชั่วโมง และยังกินได้แบบไม่รู้อิ่มจนน้ำหนักพุ่งกระฉูดกว่า 30 กิโล ผมไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะยา และพวกเขาก็ยังคงมองว่าผมแค่ขี้เกียจขึ้นไปอีกขั้น
หลังจากนั้นหลายๆอย่างจะเกิดขึ้น และเปลี่ยนไปบ้าง หลังจากย้ายโรงเรียนอีก มีอะไรหลายๆอย่างเข้ามาในชีวิต การได้เห็นโลกภายนอกมากกว่าที่เขาจัดหามาให้และการมาถึงของอินเทอร์เน็ต ทำให้ผมรู้โลกภายนอกมากกว่าที่เคยเป็นอย่างมาก
สิ่งหนึ่งที่ผมเริ่มได้เห็นคือ เพื่อการเป็นเด็กดีของเขา ผมสูญเสียจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ไปอย่างถาวร รวมถึงอะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนวิชาการ ผมไม่รู้ว่าควรเตะลูกบอลที่อยู่บนพื้นยังไงด้วยซ้ำให้มันโดนลูก ผมไม่รู้ว่าพู่กันจับยังไง ผมจำไม่ได้ว่า ความสุข มันเป็นยังไง ผมรู้แต่การเรียน และเรียน และเรียน
ช่วงหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อผมค้นพบว่าการหนีมาอยู่โรงเรียนนานๆเพื่อนั่งทำการบ้านและทำอย่างอื่นทำให้ผมอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถถอนยาได้จนหมด ในวันที่ผมมีไฟในการเรียนมากที่สุดผมสามารถเรียนตั้งแต่เช้าจนมืด 7 วันต่อสัปดาห์ได้ แต่ไม่ว่าผมจะเรียนหนักมากแค่ไหน ผลการเรียนก็คงที่ เหมือนลิมิตจะอยู่เท่านั้นจริงๆ แต่ผมได้รู้ว่า ผมไม่ถนัดฟิสิกส์ และการคำนวณซับซ้อนเอาเสียเลย ซึ่งความพยายามทำโจทย์แค่ไหน ผมทำได้อย่างมากแค่การจำสูตรและแทนค่าแบบง่ายๆ ซึ่งมันไม่พอสำหรับการสอบให้ติดคณะแพทย์ และ safe place ของผมหมดไปเมื่อผมจบ ม.6
“อย่าสอนปลาปีนต้นไม้” แต่สำหรับพวกเขา ที่ปลาปีนต้นไม้ไม่ได้ เพราะปลาขี้เกียจและไม่อ่านหนังสือสอนปีนต้นไม้ให้มากพอ แม้ว่าปลาขึ้นบกสุดท้ายก็ตาย เขาก็หลับตาและบอกว่าไม่เคยมีปลาที่ตายเพราะพยายามปีนต้นไม้
คนที่เคยเห็นกระทู้ของผมมาก่อนคงทราบว่าสุดท้ายผมไปเรียนที่อังกฤษพร้อมกับปัญหาโรคซึมเศร้าที่ยังตามไปรังควานอยู่ และกำเริบขึ้นในช่วงหนึ่ง แต่ผมคงไม่พูดถึงในกระทู้นี้ (พ่อแม่”ไม่ใช่”คนจ่ายค่าเทอมครับ)
อยากแชร์ประสบการณ์ในบ้าน ระบายความรู้สึกในชีวิตครับ ขอแค่ได้พื้นที่ระบายครับ
*ผมเป็นซึมเศร้านะครับ คนเป็นซึมเศร้าอย่าเข้ามาอ่านเลย กลัวจะทำให้ยิ่งรู้สึกไม่ดีไปด้วย
ตอนเป็นเด็ก สมัยที่รายการทีวียังมีแต่สารคดี รายการวิทยาศาสตร์ ข่าวดาราศาสตร์ ข่าวการปล่อยจรวดปล่อยกระสวย อยู่ว่อนผังรายการ เวลาถูกถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เด็กๆรุ่นเดียวกันก็จะตอบว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากเป็นนักบินอวกาศ ความฝันแรกๆของเด็กที่ยังรับรู้โลกผ่านรายการสารคดี
“เป็นทำไมนักวิทยาศาสตร์ เป็นหมอสิ”
ชุดข้อมูลนี้ถูกป้อนกรอกหูเข้ามาตลอดตั้งแต่จำความได้
พอเข้าประถม โดยเฉพาะ ป.1 วิชานึงเนื้อหาเรียนทั้งเทอมแทบจะเขียนใส่ในกระดาษ A4 ได้แค่หน้าเดียวในวันที่ผมยังมีความจำดีกว่านี้ แค่ครั้งเดียวผมก็จำได้ไม่ลืม ข้อสอบก็ไม่เคยผิดซักข้อ แต่ครอบครัวไม่เคยสนใจ เขาแปลกกว่าบ้านอื่นตรงที่ เขาไม่ได้ให้ค่าผลการเรียนที่สูง แต่เขาให้ค่าการตั้งใจเรียน”ในแบบของเขา” (ไม่ใช่แบบปกติ)
ย้อนกลับไปในสมัยพวกเขายังเด็ก ชีวิตความเป็นอยู่ที่มีพ่อแม่ใช้แรงงาน ทำงานหนัก การเรียนหนังสือเป็นการขี้เกียจไม่เอาการเอางานอย่างหนึ่ง พวกเขาแอบอ่านหนังสือ แอบติวหนังสือด้วยความฝันที่จะเป็นมนุษย์เงินเดือน และวาดฝันว่าการเรียนคือหนทางเดียวสู่การเป็นลูกจ้างบริษัท หรือเป็นหมอ ในยุคของเขา คนเรียนตามระบบแบบเดียวกัน เพื่อให้ได้คะแนนสูงที่สุด แล้วคนที่คะแนนสูงที่สุดก็อาจจะโชคดีได้รับเลือกไปทำงาน นั่นคือปี 1960s-1990s เท่าที่ผมรู้มา
การตั้งใจเรียนในแบบของเขา คือการเป็น”เนิร์ด” ในความเข้าใจของคนทั่วไป เขาต้องการให้ผมเป็นเด็กเงียบๆ อ่านหนังสือเรียน ไม่เล่นกับเพื่อน ไม่เล่นกีฬา ไม่เล่นดนตรี ชอบแต่การเรียนวิชาการเท่านั้น โชคยังดีที่สมัยนั้นกวดวิชายังไม่แพร่หลายเท่าไหร่ แต่ในความรับรู้ที่พวกเขาพร่ำบอกคือ
“กวดวิชาคือการลงโทษเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียน จะต้องเรียนหนักกว่าเดิม เรียนจนฟ้ามืด เรียนจนไม่ต้องนอน”
นั่นเป็นสิ่งที่เขาเอามาขู่ผมเสมอๆ
วิชา ป.1 ในตอนนั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าบวกลบ สัตว์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (ว่าด้วยการตั้งคำถามและให้เหตุผล) และภาษาอังกฤษเล็กน้อย
ผมอ่านหนังสือคล่องตั้งแต่อนุบาล และในวันที่ผมยังปกติ เนื้อหาเท่านั้นไม่ยากเกินกว่าการเห็นครั้งเดียวจำได้ตลอด ผมเอาเนื้อหามาทำโจทย์ตามวัยได้ทุกข้อ และเขียนทุกอย่างในกระดาษเปล่าได้ ทำการบ้านได้ สอบได้เต็ม โดยไม่ต้องอ่านหนังสือ(ที่ไม่มีอะไรให้อ่านอีก) และมันเป็นจุดเริ่มต้นของมุมมอง “ขี้เกียจสันหลังยาว” ที่ผมได้รับ
ไม่ว่าเกรดผมจะดีแค่ไหน นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขามอง ถ้าผมแย้งว่าดี เขาก็บอกว่า “มันดีเพราะโรงเรียนปล่อยเกรดแท้จริงผมไม่เอาไหน ถ้าไม่ดีก็เพราะผมขี้เกียจไม่เอาไหน” (เกรดผมไม่ดีเรื่องเดียวคือดนตรี ที่ในตอนนั้นเค้าให้สอบเล่นเปียโน ซึ่งผมไม่ชอบและไม่มีที่ให้ฝึกเล่น ผมรู้ตัวว่าผมไม่ถนัดดนตรี กีฬา ศิลปะ)
เขาไม่เห็นผมนั่งอ่านหนังสือเรียนคร่ำเคร่ง เขาก็ว่าผมขี้เกียจ จนถึงที่สุดเขาก็ตีด้วยไม้แขวนเสื้อ โยนผมเข้าไปในห้องหนึ่งพร้อมกองหนังสือเรียน (ที่ผมจำได้หมดแล้ว) แล้วล็อคประตูขังไว้จนกว่าเขาจะพอใจพร้อมกับพร่ำบอกว่าสมัยเขา เขาอยากเรียนแค่ไหน เราสบายแค่ไหนที่ได้เรียน
ผมเกลียดการอ่านหนังสือพวกนี้ ในใจผมคิด
แม้ว่าในอีกหลายปีจากนั้นผมยังเรียนได้ดีมาก โดยที่จริงๆแล้วผมอ่านหนังสือเรียน แต่ผมอ่านที่โรงเรียนไม่เกิน 2 รอบ (ตอนเรียน ก่อนสอบ) ผมก็จำได้อยู่แล้ว นอกเวลาผมก็พยายามหาอย่างอื่นทำ อ่านหนังสืออื่น หาอะไรเล่น (ในตอนนั้นยังไม่มีเกม) ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นผมอ่านหนังสือที่บ้าน และการไม่เห็นของเขาก็คือ “ผมไม่เคยอ่านหนังสือเลย” พวกเขาพูด
พวกเขาจะตีอย่างหนัก ถ้าผมไม่เป็นในแบบที่พวกเขาต้องการ ถ้าผมพูดอะไรขัดหู (ซึ่งในตอนนั้นผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าผมพูดอะไรผิด) เขาจะตี และเขาไม่บอกและไม่เคยบอกว่าผมพูดอะไรผิด ผมจึงเลือกจะไม่พูด ถ้าไม่ชัวร์ว่าเขาจะตีไหม และผมก็ไม่ทำอะไร ถ้าผมไม่รู้ว่าเขาจะตีไหม แต่ถ้าหากเขาอารมณ์ไม่ดี ต่อให้ผมนั่งเฉยๆผมก็โดนตีอยู่ดี (ซึ่งผมจะรู้ในอนาคตว่าทำไม)
ผมต้องพยายามทำทุกทางไม่ให้ถูกตี ต้องเป็นเด็กดีในสายตาเขา ด้วยความที่เขาต้องการให้ผมเนิร์ด ผมก็ต้องเนิร์ด ผมไม่เล่นกับเพื่อน (ต่อหน้าครู หรือเพื่อนห้องเดียวกัน) ผมคุยแต่เรื่องที่ค่อนข้างวิชาการ(สำหรับเด็ก) แต่คนก็งงและเบื่อ และผมก็ย่อมได้รับ “การแกล้ง” เป็นผลตอบแทนของการ ไม่เหมือนคนอื่น
(วันนึงหลังจากนั้น ผมจะได้รู้ว่าความคิดของเขาคือเขามองว่าการมีลูกคือเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตทั้งๆที่เค้าเตรียมตัวมาพอสมควร และถ้าไม่มีลูก ชีวิตเขาคงสบายกว่านี้ มีเงินใช้ ไม่ต้องคิดมาก เขาพูดแบบนี้มาจนถึงทุกวันนี้)
ผมโดนแกล้งทุกวันในทุกรูปแบบ โดนดักรุมเกือบ 30 คนบนทางไปห้องสมุดก็เคย โดนทำลายสมุดและอุปกรณ์ต่างๆก็เคย และครูไม่ทำอะไรเลย ซ้ำร้าย ครูหลายคนยังขู่ว่า ถ้าใครมาฟ้องว่าโดนแกล้ง คนฟ้องจะโดนตี
ผมมีที่ปลอดภัยคือหน้าห้องพักครู ที่ที่อะไรก็ตามอยู่ในสายตาครู และนั่นยิ่งทำให้ผม ประหลาด
ผมเคยบอกว่าผมไม่อยากไปโรงเรียน ผมไม่มีความสุขเพราะโดนแกล้งทุกวัน ไม่ใช่ว่าผมไม่สู้ บางครั้งผมก็สู้ และผลของการสู้นั้น ถ้าไม่ถูกยกพวกมารุม ก็ถูกครูตีนั่นเอง แม้ว่าผมจะพูดว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ดังนั้นผมถึงได้แค่ซ่อนตัวหน้าห้องพักครู
พวกเขาไม่มองที่ผมถูกแกล้ง แม้ว่าจะพูดชื่อคนที่แกล้ง เล่าเหตุการณ์แค่ไหน แต่เขามองว่าผมไม่อยากไปโรงเรียน หมายถึงผมไม่อยากเรียน ผมขี้เกียจ ดังนั้นผมก็โดนตีอยู่เรื่อยๆ แล้วบอกว่าสมัยเขาอยากไปโรงเรียนขนาดไหน (เพราะสมัยเขา เวลาไปโรงเรียนคือโอกาสเดียวที่จะได้เรียน ไม่ถูกใช้แรงงาน) จนผมไม่สามารถบอกใครได้อีกว่าผมเจออะไรบ้างที่โรงเรียน เพราะถ้าบอกผมก็อาจจะโดนตีได้
เมื่อผ่านไปหลายปี เขายังคงยืนยันว่าจุดยืนของเขาถูกต้องแล้ว เพราะตัวเขาเองก็เคยได้รับการปฏิบัติไม่ต่างกัน และไม่มีใครรับฟังและที่บ้านเขาก็ไม่แคร์เช่นกัน ผมถามเขาตรงๆว่า แล้วผมต้องเจอแบบเดียวกันหรือ เขาตอบอย่างเลือดเย็นว่า “ก็ใช่ไง”
ชีวิตผมโตมากับการระแวงว่าจะโดนตี ดังนั้นจิตใต้สำนึกผมเลยต้องจำลองพวกเขาขึ้นมาในความคิด ว่าถ้าพูดหรือทำอะไรไป (หรือไม่พูดไม่ทำ) อะไรที่มีโอกาสทำให้ถูกตีได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นการมองโลกในแง่ร้ายของผม
ช่วงที่มีปัญหาเรื่องการเงิน สิ่งที่ผมต้องทำคืออยู่เฉยๆให้เฉยที่สุด เพราะถ้าแม้แต่เดินเสียงดังไป ก็เป็นเหตุผลให้เขาตีได้ เขาเหมือนระบายอารมณ์ด้วยการตีจริงๆ ผมเคยคิด
เขาไม่เคยสร้างความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับการเรียนให้ผมได้เลย ถึงผมจะเคยชอบเรียนก็ตาม และก็ยังถูกถามอยู่เสมอ ว่าเมื่อไหร่จะค้นพบตัวเอง (ผมบอกก่อนว่า คำตอบที่พวกเขาต้องการคือ “อยากเป็นหมอ)
ผมยังสงสัยจนทุกวันนี้ ว่าความเป็นไปได้ที่เราจะค้นพบความชอบและความถนัด มันจะได้มาจากการเรียน8 กลุ่มสาระการเรียนจริงๆหรือ แล้วมันทำยังไง ผมเคยรวบรวมความกล้าถามเขาตรงๆ เขาบอกว่า “ก็ตั้งใจเรียนสิ เรียนไปก็จะรู้เอง ถามอย่างงี้ไม่อยากเรียนใช่มั้ย” แล้วก็ถูกตี
เขาชอบเล่าเรื่องของเด็กที่ไม่ถูกกดดันให้เรียนหนักๆจนชีวิตตกระกำลำบากให้ฟังจนจำได้ขึ้นใจ พวกเขาเรียกพวกนี้ว่า “พ่อแม่รังแกฉัน” พร้อมกับเหน็บแนมเด็กที่พบเห็นทั่วไป หรือเด็กที่มีความสามารถเฉพาะทาง(ที่ไม่ใช่การเรียน) ว่าพวกนี้โตไปก็จะลำบากเพราะไม่ตั้งใจเรียน พ่อแม่รังแกฉันทั้งนั้น และสำหรับผมอะไรที่นอกเหนือจากการเรียนตามอย่างคนอื่นแล้ว อะไรก็ “เป็นไปไม่ได้” ทั้งนั้น
เขาบอกว่าผมไม่ตั้งใจเรียน (วันนั้นการเรียนผมยังดีอยู่) เขาบอกว่าผมต้องไปสอบเข้ามัธยม แล้วเขาก็ให้ไปซื้อหนังสือตะลุยโจทย์มาเล่มนึง ซึ่งผมไม่เคยสอบเข้ามาก่อน ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลยแม้แต่การขึ้นรถเมล์ก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาไม่ให้ผมไป (เขาจะพูดว่าการขึ้นรถเมล์เป็นเรื่องลำบาก เพราะไม่ตั้งใจเรียนถึงไม่มีรถขับ)
(สปอย : อะไรๆที่เขาไม่ชอบเขาก็จะบอกว่าเพราะไม่ตั้งใจเรียน)
ผมรู้ตัวตอนที่ทำโจทย์พวกนี้ว่า ผมไม่ถนัด เลขที่ Advance ขึ้นไป ผมทำไม่ค่อยจะได้เพราะโจทย์พวกนั้นส่วนมากเกินความรู้ ป.6 และผมถูกตีที่ทำสิ่งที่ผมไม่เคยเรียนมาก่อนไม่ได้ ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนว่า การสอบจะใช้ความรู้ที่สูงกว่าระดับที่เด็กเรียนมา และในสมัยนั้น อัตราการสอบเข้ายังคงสูงกว่า 1 ต่อ 10 (สมัยนี้ 1 ต่อ 3) และในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็สอบไม่ติด และนั่นเป็นช่วงเวลาเหวในชีวิตผม
ทุกอย่างเปลี่ยนไปเหมือนแสงในโลกดับลง มากกว่า 10 ปีแล้ว ผมไม่เคยหายดีจากอาการพวกนี้อีกเลยผมถูกด่าอย่างรุนแรงทุกวัน ทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนดึก ทุกอย่างเลวร้าย หลายครั้งที่ผมเลือดกำเดาครั้งละมากๆหรืออาเจียนโดยไม่มีสาเหตุ รวมถึงไม่สามารถมีสมาธิเรียนได้เลย ทั้งผลการเรียนตอนนั้นก็ตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และเขาว่าผม “สำออย” และ “ขี้เกียจขึ้น” เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับความคิด“อยากฆ่าตัวตาย” ความคิดที่ผมจะคุ้นเคยกับมันนับแต่นั้น ความคิดที่จะผุดขึ้นมาเป็นพักๆเมื่อเจอปัญหาจนรู้สึกหมดหนทาง
ผมย้ายไปเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งเขาบอกว่าเป็นเหมือนการลงโทษ ที่ซึ่งผมรับรู้ถึงอาการแปลกๆต่างๆแม้แต่ครูประจำชั้นก็รับรู้ และบอกให้ผมไปพบจิตแพทย์
ผมเป็นโรคซึมเศร้าด้วยอายุ 11 ย่าง 12 พร้อมกับต้องกินยาหลายเม็ดต่อวัน ยาที่จะทำให้ผมง่วงนอนทั้งวัน จนนอนได้สูงสุดถึง 25 ชั่วโมง และยังกินได้แบบไม่รู้อิ่มจนน้ำหนักพุ่งกระฉูดกว่า 30 กิโล ผมไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะยา และพวกเขาก็ยังคงมองว่าผมแค่ขี้เกียจขึ้นไปอีกขั้น
หลังจากนั้นหลายๆอย่างจะเกิดขึ้น และเปลี่ยนไปบ้าง หลังจากย้ายโรงเรียนอีก มีอะไรหลายๆอย่างเข้ามาในชีวิต การได้เห็นโลกภายนอกมากกว่าที่เขาจัดหามาให้และการมาถึงของอินเทอร์เน็ต ทำให้ผมรู้โลกภายนอกมากกว่าที่เคยเป็นอย่างมาก
สิ่งหนึ่งที่ผมเริ่มได้เห็นคือ เพื่อการเป็นเด็กดีของเขา ผมสูญเสียจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ไปอย่างถาวร รวมถึงอะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนวิชาการ ผมไม่รู้ว่าควรเตะลูกบอลที่อยู่บนพื้นยังไงด้วยซ้ำให้มันโดนลูก ผมไม่รู้ว่าพู่กันจับยังไง ผมจำไม่ได้ว่า ความสุข มันเป็นยังไง ผมรู้แต่การเรียน และเรียน และเรียน
ช่วงหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อผมค้นพบว่าการหนีมาอยู่โรงเรียนนานๆเพื่อนั่งทำการบ้านและทำอย่างอื่นทำให้ผมอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถถอนยาได้จนหมด ในวันที่ผมมีไฟในการเรียนมากที่สุดผมสามารถเรียนตั้งแต่เช้าจนมืด 7 วันต่อสัปดาห์ได้ แต่ไม่ว่าผมจะเรียนหนักมากแค่ไหน ผลการเรียนก็คงที่ เหมือนลิมิตจะอยู่เท่านั้นจริงๆ แต่ผมได้รู้ว่า ผมไม่ถนัดฟิสิกส์ และการคำนวณซับซ้อนเอาเสียเลย ซึ่งความพยายามทำโจทย์แค่ไหน ผมทำได้อย่างมากแค่การจำสูตรและแทนค่าแบบง่ายๆ ซึ่งมันไม่พอสำหรับการสอบให้ติดคณะแพทย์ และ safe place ของผมหมดไปเมื่อผมจบ ม.6
“อย่าสอนปลาปีนต้นไม้” แต่สำหรับพวกเขา ที่ปลาปีนต้นไม้ไม่ได้ เพราะปลาขี้เกียจและไม่อ่านหนังสือสอนปีนต้นไม้ให้มากพอ แม้ว่าปลาขึ้นบกสุดท้ายก็ตาย เขาก็หลับตาและบอกว่าไม่เคยมีปลาที่ตายเพราะพยายามปีนต้นไม้
คนที่เคยเห็นกระทู้ของผมมาก่อนคงทราบว่าสุดท้ายผมไปเรียนที่อังกฤษพร้อมกับปัญหาโรคซึมเศร้าที่ยังตามไปรังควานอยู่ และกำเริบขึ้นในช่วงหนึ่ง แต่ผมคงไม่พูดถึงในกระทู้นี้ (พ่อแม่”ไม่ใช่”คนจ่ายค่าเทอมครับ)