"โทรศัพท์" ฉันเอ่ยเบาๆ กับตัวเอง ก่อนที่จะตบไปที่กระเป๋าหลังของกางเกง
.... บ้าจริง ฉันลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน ...
แสงวับแวม ที่ลอดออกมาจากทางหน้าต่าง ของห้องเก็บอาวุธ ที่ฉันคิดว่ามันน่าจะมาจากกระบอกไฟฉาย ส่องวิบวับอยู่ในห้องนั้น
"มันน่าจะมีสามคน"
ฉันเอ่ยกับตัวเอง เมื่อคิดคำนวณร่างดำๆ ที่ฉันเห็น ในขณะที่กำลังคิดคำนึงอยู่นั้น เจ้าดำ ก็เดินเข้ามาดมๆ ที่เท้าของฉันเบาๆ ทำให้ฉันหันไปมองมัน
"ดำ" ฉันเอ่ยกับมันเบาๆ เอานิ้วชี้จ่อไว้ที่ปากตัวเอง เพื่อบอกมันว่าอย่างส่งเสียงดัง
... มันเป็นหมานะยัยหมอก.. มันคงจะรู้เรื่องหรอก ...
ในขณะที่ฉันพยายามที่จะสื่อสารอยู่กับหมานั้น บานประตูห้องเก็บอาวุธก็เปิดออก ฉันเห็นคนทั้งสามถือกระเป๋าเสื้อผ้า ใบย่อมคนละสองใบ ค่อยๆ ย่องออกมาจากห้องนั้น
เจ้าดำที่มันกระดิกหางดุกดิกให้ฉันอยู่นั้น หันไปจ้องมองร่างดำทั้งสาม ที่ค่อยๆ ย่องลงจากอาคารหลังนั้น ถึงตอนนี้เจ้าดำมันไม่มองเปล่า มันกลับส่งเสียงเห่าดังขึ้น มาทำให้คนทั้งสามในชุดสีดำ ปิดหน้าปิดตา จนแทบมองไม่เห็นใบหน้าของคนทั้งสาม ที่หันมามองที่พุ่มไม้ที่ฉันซ่อนตัวอยู่อย่างพร้อมกัน ทำให้ฉันตะครุบตัวเจ้าดำ และพยายามปิดปากมันไม่ให้ส่งเสียงเห่าขึ้นมาอีก
หากแต่เจ้าดำมันไม่ยอมให้ฉันจับตัวมันกดลงกับพื้น หรือปิดปากมัน มันจึงดิ้นดุกดิก จนหลุดจากมือฉัน และส่งเสียงเห่าไอ้ขโมยทั้งสามคนนั้น ที่กำลังค่อยๆ เดินสืบเท้ามาทางฉัน
ก่อนที่คนทั้งสามจะเดินเข้ามาถึงพุ่มไม้ที่ฉันซ่อนตัวอยู่ เจ้าดำ มันก็ทะลึ่งพรวด ออกไปจากพุ่มไม้ ไปเผชิญหน้ากับไอ้หัวขโมยทั้งสาม อย่างกล้าหาญ และเปิดฉากต่อสู้กับไอ้พวกนั้นด้วยการเห่าเสียงดังลั่น พร้อมกับวิ่งวนไปมา ระหว่างคนทั้งสาม
"โธ่ ไอ้ดำ! " เสียงเรียกชื่อเจ้าดำ ดังมาจากชายหนึ่งในสาม
"ไอ้หมาเวร หยุดเห่าเดี๋ยวนี้นะ"
เสียงเรียกชื่อเจ้าดำ ทำให้ฉันใจหายวาบ อย่างเฉียบพลัน เพราะแน่นอนแล้วว่า หนึ่งในหัวขโมยนั่น ต้องเป็นคนของเกาะหน้า ที่คงเป็นใคร ไปไม่ได้ นอกจากนายทหารราชนาวีไทย แห่งเกาะหน้านั่นเอง เนื่องจากหากเป็นคนนอกเกาะแล้ว คงจะไม่รู้จักชื่อลูกหมาตัวนี้ ที่มันเพิ่งจะมาอยู่อาศัยเกาะหน้า กินข้าวแดงแกงร้อน ของค่ายทหารเกาะหน้า เพียงไม่กี่มื้อ แต่มันก็ยังมีความจงรักภักดี และกตัญญู แก่คนที่ให้ที่อยู่อาศัย ให้ข้าว ให้น้ำกับมัน
"ไอ้ลูกหมา เอ็งหยุดเห่าเดี๋ยวนี้นะ" เสียงอีกคนเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเตะเข้าที่กลางลำตัวของเจ้าดำ ทำให้มันร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะวิ่งหายไปทันที
"เฮ้ย เอ็งไปลองดูรอบๆ แถวนี้สิว่า มีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่า เสียงไอ้ลูกหมาเห่าก็ใช้ว่าจะเบาๆ ที่ไหน" คนที่ท่าทางเหมือนจะเป็นหัวหน้าสั่งเสียงเบา แต่หนักแน่น
"คงไม่มีใครหรอก เพราะตอนนี้ทุกคนเหนื่อยจากการฝึกซ้อม คงจะหลับเป็นตายแหละ" ชายอีกคนที่เตะเจ้าดำเอ่ยขึ้น
"ข้าว่าไปกันเถอะ ได้ของมาแค่นี้ก็คงขายได้เงินใช้ไปหลายเดือน" ชายอีกคนเอ่ยขึ้น
"เออ... งั้นก็รีบไป" คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ย ก่อนที่จะเดินนำหน้าคนทั้งสองไป
ฉันเห็นพวกมันทั้งสามเดินห่างออกไป แล้วก็ถอนหายใจยาว แต่ก่อนที่ฉันจะได้หายใจหายคอได้มากกว่านั้น ฉันก็มองเห็น ชายทั้งสามเดินไปหยุดอยู่ที่จักรยานของฉัน ที่วางทิ้งไว้ข้างทาง พวกมันหยุดมองจักรยานนั้นชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งสามจะทิ้งกระเป๋าทั้งหกใบ ลงพื้นพร้อมๆ กัน ก่อนที่จะคว้าปืนสีดำขลับที่เหน็บไว้ที่ด้านหลัง ของแต่ละคน ขึ้นมาถือ แล้วหันมาทางพุ่มไม้ที่ฉันแอบซ่อนอยู่
"คุณนายผู้พัน"
เสียงของคนที่เป็นหัวหน้า เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะสืบเท้าเข้ามาใกล้ หัวใจฉันกระตุกวูบ ก่อนที่ฉันจะเอามืออุดปากตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเอ่ยเสียงใดๆ ออกมา
... ซวยแล้วยัยหมอก ... ทำอย่างไรดีวะ...
"คุณนายผู้พันครับ" เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ฉันมองคนทั้งสามที่สืบเท้าเข้ามาใกล้ๆ มากยิ่งขึ้น จนเกือบจะถึงพุ่มไม้ที่ฉันแอบอยู่ ฉันถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะออกตัววิ่งจากพุ่มไม้นั้น เข้าไปยังป่าละเมาะ ข้างหลังอาคารกองบังคับบัญชาทันที
สิ่งหนึ่งที่ฉันแน่ใจว่า พวกเขาทั้งสามต้องเป็นนายทหารเรือ ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีในการตามล่าคน แต่ฉันยังตัดสินใจวิ่งออกจากพุ่มไม้ เข้าไปในป่าละเมาะ เพราะยังไงเสีย ฉันยังมีทางรอดมากกว่าที่จะนั่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้ ให้ไอ้พวกหัวขโมยมันจับตัวฉันได้
"โธ่โว้ย! ซวยแล้วพวก" เสียงสบถดังไล่หลังฉันมา ก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงฝีเท้าของคนทั้งสามวิ่งตามฉันเข้ามายังป่าละเมาะ
ฉันซุกตัวหลบลงหลังขอนไม้ใหญ่ หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ใจเต้นตึกตักระรัวเร็ว แทบจะหลุดออกมานอกอก หลุบหัวก้มต่ำจ้องมองชายทั้งสาม ที่วิ่งเข้ามาในป่าละเมาะ โชคดีที่เป็นคืนเดือนมืด ทำให้ชายทั้งสามคนมองหาฉันในป่าละเมาะได้อย่างยากลำบาก
"หาให้เจอนะ ถ้ามันหนีไปได้ พวกเราซวยแน่" สิ้นเสียงของคนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น ทำให้คนทั้งสามแยกย้าย กันเดินหาฉันไปคนละทาง
...ซวยอะไรอย่างนี้วะ ยัยหมอกเอ๊ย...
ในขณะที่ฉันกำลังบ่นบ้าอยู่คนเดียว ฉันก็ได้ยินเสียงรถดังแว่วๆ มาแต่ไกล
"หมอก... ม่านหมอก..." เสียงคุ้นดังมาจากชายป่าละเมาะ ด้านอาคารกองบัญชาการ
เสียงที่ดังขึ้นราวกับเสียงสวรรค์ ทำให้ฉันถอนหายใจยาวออกมา และยิ้มกว้างออกมาได้ ฉันค่อยเงยหน้ามองตรงไปยังเงาดำๆ ของร่างใหญ่ ที่คุ้นตายิ่งนัก ที่ก้าวยาวๆ เข้ามาในเขตป่าละเมาะ
ก่อนที่ฉันจะดีดตัวลุกขึ้นยืน ฉันก็ได้ยินเสียงฝ่าเท้าเหยียบลงที่กิ่งไม้ข้างๆ ตัวฉัน ทำให้ฉันหันไปมอง เงาดำที่ยืนค้ำหัวของฉัน และก่อนที่ฉันจะทำอะไร มือใหญ่ของเขา ก็กระชากผมของฉัน ทำให้ฉันผุดลุกขึ้นยืนตามแรงกระชาก อย่างรวดเร็ว ความเจ็บจากแรงดึงและกระชากผม แปลบปลาบแล่นปราดขึ้นหัวสมอง ผสมความตกใจฉันจึงหวีดร้องสุดเสียง
"มานี่กับกูเดี๋ยวนี้ อีนี่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง" เสียงของชายคนนั้น ที่กระชากผมฉันจนหนังหัว แทบจะหลุดออกจากกะโหลกศีรษะของฉัน ติดมือมันไป
"หมอก" เสียงของจักรินทร์ดังขึ้น หลังจากที่เขามองมาทางฉัน ที่ถูกจิกหัวลากหลุนๆ ตามชายคนนั้นไป ได้ไม่เท่าไหร่ ฉันก็ขาขวิดล้มลงบนพื้นหญ้า
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ"
เสียงของผู้พันหมอเอ่ย ก่อนที่จะยกปืนขึ้นพร้อมยิง จ่อปากกระบอกปืน ไปที่ร่างดำในเงามืด ทำให้ร่างใหญ่นั้นหยุดอยู่กับที่ ก่อนที่มันจะก้มตัวลงนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ฉัน เพื่อเอาตัวฉันเป็นเกาะบังลูกกระสุนให้มัน
"แกหนีไม่พ้นหรอก ปล่อยผู้หญิงไปซะ และยอมให้จับซะดีๆ "
ผู้พันหมอสั่ง เสียงเด็ดขาดดังลั่น แต่แทนที่มันจะทำตามคำสั่ง ไอ้หัวขโมยอีกสองราย กลับเดินสืบเท้าเข้ามาใกล้ ในมือถือปืนจ้องไปยังผู้พันหมอ อย่างไม่เกรงกลัว ฉันหายใจเข้าปอดอย่างขัดๆ เพราะใจระทึกกับเหตุการณ์รอบตัวเอง ฉันหันหน้าไปสบดวงตาคมที่มองมายังฉัน แม้ในความมืดสลัว ฉันมองเห็นสีหน้า และแววตาที่เป็นกังวล และห่วงใยฉันแทบขาดใจ
"ผู้พันหมอปล่อยพวกเราไปดีๆ ดีกว่า" คนที่ยังนั่งยองๆ อยู่ข้างฉันเอ่ยขึ้น
"อย่าให้ถึงกับเลือดตก ยางออกกันเลยนะผู้พัน"
ฉันหันไปมอง คนที่ดูเหมือนกับเป็นหัวหน้า ที่นั่งยองๆ ใกล้ๆ ฉัน ค่อยๆ ยืดตัวลุกขึ้น เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือบ่า และหงายปืนในมือขึ้น คล้ายๆ ว่าจะขอเดินจากไปอย่างสันติ หากแต่ผู้พันหมอที่ยืนอยู่อีกข้าง ยังคงจ้องปากกระบอกปืนไปยังชายคนนั้น อย่างไม่ลดละ
"นายทหารที่ทำความผิด จะต้องถูกลงโทษ"
สิ้นเสียงของผู้พันหมอ ที่เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ แต่หนักแน่น ทำให้ฉันเห็นชายคนนั้น ขยับแขนและกลับปืนขึ้นส่องปากกระบอกปืนไปทาง... สามีของฉัน!... และในวินาที ที่ฉันเห็นแสงไฟ สว่างวาบออกจากปากกระบอกปืนของมัน ที่ส่องไปหาจักรินทร์นั้น ทำให้หัวใจฉันไหววาบ
และก่อนที่ฉันจะคิดอะไรไปได้มากกว่านั้น มือของฉันที่จับท่อนไม้ ที่อยู่ใกล้มือไว้นานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ฉันขาขวิด ลื่นไถลล้มลงกับพื้นหญ้า แต่ฉันไม่มีเวลาที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ นอกจาก.. จับท่อนไม้นั้นแน่นด้วยสองมือ และลุกพรวดขึ้น สวิงท่อนไม้ในมือ เสยเข้าไปยังคาง และครึ่งปาก ครึ่งจมูกของชายคนที่เหนี่ยวไกปืน ที่ส่งลูกกระสุนออกไปได้ไม่ถึงชั่วอึดใจ
ส่งให้ร่างของชายคนนั้นหงายเงิบล้มตึงไปทันที จากนั้นเสียงปืนก็ระรัวดังลั่นไปทั่วป่า ราวกับเสียงประทัดในวัตรุษจีน ทำให้ฉันทรุดตัวลงนอนราบไปกับพื้นทันที
"หมอก"
เสียงเรียกชื่อฉันของจักรินทร์ ที่ปรี่เข้ามานั่งใกล้ ก่อนที่คว้าตัวฉัน ที่นอนราบไปกับพื้น เอามือทั้งสองข้างปิดหัวไว้ ขึ้นกอดรัดอย่างเป็นห่วง เมื่อเสียงปืนที่ยิงต่อสู้กัน ได้เงียบสงบลง
"คุณจักร" ฉันเอ่ยชื่อเขา ก่อนที่จะโผกอดเขาแน่นขึ้นไปอีก
"คุณเป็นอย่างไรบ้าง ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่" เขาถามน้ำเสียงหายเป็นระยะๆ ด้วยความเป็นห่วงฉัน
"ฉันโอเคค่ะ ไม่เป็นอะไร แล้วคุณล่ะคะ" ฉันดันตัวเขาออก ก่อนที่จะเอามือลูบหน้า ลูบหลังเขาไปมา
"ฉันเห็นไอ้บ้านั่นมันยิงคุณนี่คะ"
"ผมไม่เป็นอะไรหรอก ผมหลบลูกระสุนได้ แต่.. ไอ้บ้า.. ที่คุณว่า คุณซัดมันซะหน้าเละไปเลย" คนพูดยังมีกระจิดกระใจ หัวเราะในคอหึๆ ก่อนที่จะพยักหน้าให้หันหันหลังไปมอง
ฉันหันหลังไปมองตามที่ผู้พันหมอ พยักพเยิดให้ดู จึงเห็นไอ้บ้า ไอ้ขี้ขโมย ที่บังอาจยิงปืนใส่... สามีของฉัน... นั่งรวมกันอยู่กับพรรคพวกอีกสองคน ที่ตอนนี้มีจ่าพร้อย และนายทหารอีกสองสามนาย ช่วยกันเอาที่รัด รัดข้อมือของทั้งสามหัวขโมยนั้น มีผู้กองพันวา ยืนคอยกำกับอยู่ โดยที่หัวขโมยทั้งสามนั้นได้ถูกปลดผ้าปิดหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าของคนทั้งสาม ที่หนึ่งในนั้น มีใบหน้ามีเลือดไหลจากใบหน้า จมูก และปากไม่หยุด
"คุณหมอกนี่เท่น่าดูเลยนะครับ ผมนี่โชคดีที่มาทันเวลา ได้เห็นตอนที่คุณหมอก ลุกขึ้นมาฟาดหน้าไอ้นั่นพอดี" ผู้กองพันวาเดินเข้ามาส่งยิ้มให้ฉัน หลังจากที่คุณสามีค่อยๆ พยุงฉันลุกขึ้น
"นั่งสิผู้กอง ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจริงๆ นี่ถ้าไม่เห็นกับตา ก็คงจะไม่เชื่อ ถ้าจะมีใครมาเล่าให้ผมฟัง เพราะเท่าที่ผมรับราชการมา ไม่เคยเห็นคุณนายผู้พันคนไหน เด็ดเท่าคุณนายผู้พันหมออีกแล้วครับ" จ่าพร้อยเดินมาสมทบ และเอ่ยชมฉันตรงๆ ก่อนที่ทั้งสองจะขอตัวกลับไปจัดการ พาหัวขโมยทั้งสามเดินออกจากป่าละเมาะไป
เล่ห์รักหัวใจ ตกกระไดพลอยโจน ตอนที่ 19
.... บ้าจริง ฉันลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน ...
แสงวับแวม ที่ลอดออกมาจากทางหน้าต่าง ของห้องเก็บอาวุธ ที่ฉันคิดว่ามันน่าจะมาจากกระบอกไฟฉาย ส่องวิบวับอยู่ในห้องนั้น
"มันน่าจะมีสามคน"
ฉันเอ่ยกับตัวเอง เมื่อคิดคำนวณร่างดำๆ ที่ฉันเห็น ในขณะที่กำลังคิดคำนึงอยู่นั้น เจ้าดำ ก็เดินเข้ามาดมๆ ที่เท้าของฉันเบาๆ ทำให้ฉันหันไปมองมัน
"ดำ" ฉันเอ่ยกับมันเบาๆ เอานิ้วชี้จ่อไว้ที่ปากตัวเอง เพื่อบอกมันว่าอย่างส่งเสียงดัง
... มันเป็นหมานะยัยหมอก.. มันคงจะรู้เรื่องหรอก ...
ในขณะที่ฉันพยายามที่จะสื่อสารอยู่กับหมานั้น บานประตูห้องเก็บอาวุธก็เปิดออก ฉันเห็นคนทั้งสามถือกระเป๋าเสื้อผ้า ใบย่อมคนละสองใบ ค่อยๆ ย่องออกมาจากห้องนั้น
เจ้าดำที่มันกระดิกหางดุกดิกให้ฉันอยู่นั้น หันไปจ้องมองร่างดำทั้งสาม ที่ค่อยๆ ย่องลงจากอาคารหลังนั้น ถึงตอนนี้เจ้าดำมันไม่มองเปล่า มันกลับส่งเสียงเห่าดังขึ้น มาทำให้คนทั้งสามในชุดสีดำ ปิดหน้าปิดตา จนแทบมองไม่เห็นใบหน้าของคนทั้งสาม ที่หันมามองที่พุ่มไม้ที่ฉันซ่อนตัวอยู่อย่างพร้อมกัน ทำให้ฉันตะครุบตัวเจ้าดำ และพยายามปิดปากมันไม่ให้ส่งเสียงเห่าขึ้นมาอีก
หากแต่เจ้าดำมันไม่ยอมให้ฉันจับตัวมันกดลงกับพื้น หรือปิดปากมัน มันจึงดิ้นดุกดิก จนหลุดจากมือฉัน และส่งเสียงเห่าไอ้ขโมยทั้งสามคนนั้น ที่กำลังค่อยๆ เดินสืบเท้ามาทางฉัน
ก่อนที่คนทั้งสามจะเดินเข้ามาถึงพุ่มไม้ที่ฉันซ่อนตัวอยู่ เจ้าดำ มันก็ทะลึ่งพรวด ออกไปจากพุ่มไม้ ไปเผชิญหน้ากับไอ้หัวขโมยทั้งสาม อย่างกล้าหาญ และเปิดฉากต่อสู้กับไอ้พวกนั้นด้วยการเห่าเสียงดังลั่น พร้อมกับวิ่งวนไปมา ระหว่างคนทั้งสาม
"โธ่ ไอ้ดำ! " เสียงเรียกชื่อเจ้าดำ ดังมาจากชายหนึ่งในสาม
"ไอ้หมาเวร หยุดเห่าเดี๋ยวนี้นะ"
เสียงเรียกชื่อเจ้าดำ ทำให้ฉันใจหายวาบ อย่างเฉียบพลัน เพราะแน่นอนแล้วว่า หนึ่งในหัวขโมยนั่น ต้องเป็นคนของเกาะหน้า ที่คงเป็นใคร ไปไม่ได้ นอกจากนายทหารราชนาวีไทย แห่งเกาะหน้านั่นเอง เนื่องจากหากเป็นคนนอกเกาะแล้ว คงจะไม่รู้จักชื่อลูกหมาตัวนี้ ที่มันเพิ่งจะมาอยู่อาศัยเกาะหน้า กินข้าวแดงแกงร้อน ของค่ายทหารเกาะหน้า เพียงไม่กี่มื้อ แต่มันก็ยังมีความจงรักภักดี และกตัญญู แก่คนที่ให้ที่อยู่อาศัย ให้ข้าว ให้น้ำกับมัน
"ไอ้ลูกหมา เอ็งหยุดเห่าเดี๋ยวนี้นะ" เสียงอีกคนเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเตะเข้าที่กลางลำตัวของเจ้าดำ ทำให้มันร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะวิ่งหายไปทันที
"เฮ้ย เอ็งไปลองดูรอบๆ แถวนี้สิว่า มีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่า เสียงไอ้ลูกหมาเห่าก็ใช้ว่าจะเบาๆ ที่ไหน" คนที่ท่าทางเหมือนจะเป็นหัวหน้าสั่งเสียงเบา แต่หนักแน่น
"คงไม่มีใครหรอก เพราะตอนนี้ทุกคนเหนื่อยจากการฝึกซ้อม คงจะหลับเป็นตายแหละ" ชายอีกคนที่เตะเจ้าดำเอ่ยขึ้น
"ข้าว่าไปกันเถอะ ได้ของมาแค่นี้ก็คงขายได้เงินใช้ไปหลายเดือน" ชายอีกคนเอ่ยขึ้น
"เออ... งั้นก็รีบไป" คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ย ก่อนที่จะเดินนำหน้าคนทั้งสองไป
ฉันเห็นพวกมันทั้งสามเดินห่างออกไป แล้วก็ถอนหายใจยาว แต่ก่อนที่ฉันจะได้หายใจหายคอได้มากกว่านั้น ฉันก็มองเห็น ชายทั้งสามเดินไปหยุดอยู่ที่จักรยานของฉัน ที่วางทิ้งไว้ข้างทาง พวกมันหยุดมองจักรยานนั้นชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งสามจะทิ้งกระเป๋าทั้งหกใบ ลงพื้นพร้อมๆ กัน ก่อนที่จะคว้าปืนสีดำขลับที่เหน็บไว้ที่ด้านหลัง ของแต่ละคน ขึ้นมาถือ แล้วหันมาทางพุ่มไม้ที่ฉันแอบซ่อนอยู่
"คุณนายผู้พัน"
เสียงของคนที่เป็นหัวหน้า เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะสืบเท้าเข้ามาใกล้ หัวใจฉันกระตุกวูบ ก่อนที่ฉันจะเอามืออุดปากตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเอ่ยเสียงใดๆ ออกมา
... ซวยแล้วยัยหมอก ... ทำอย่างไรดีวะ...
"คุณนายผู้พันครับ" เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ฉันมองคนทั้งสามที่สืบเท้าเข้ามาใกล้ๆ มากยิ่งขึ้น จนเกือบจะถึงพุ่มไม้ที่ฉันแอบอยู่ ฉันถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะออกตัววิ่งจากพุ่มไม้นั้น เข้าไปยังป่าละเมาะ ข้างหลังอาคารกองบังคับบัญชาทันที
สิ่งหนึ่งที่ฉันแน่ใจว่า พวกเขาทั้งสามต้องเป็นนายทหารเรือ ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีในการตามล่าคน แต่ฉันยังตัดสินใจวิ่งออกจากพุ่มไม้ เข้าไปในป่าละเมาะ เพราะยังไงเสีย ฉันยังมีทางรอดมากกว่าที่จะนั่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้ ให้ไอ้พวกหัวขโมยมันจับตัวฉันได้
"โธ่โว้ย! ซวยแล้วพวก" เสียงสบถดังไล่หลังฉันมา ก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงฝีเท้าของคนทั้งสามวิ่งตามฉันเข้ามายังป่าละเมาะ
ฉันซุกตัวหลบลงหลังขอนไม้ใหญ่ หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ใจเต้นตึกตักระรัวเร็ว แทบจะหลุดออกมานอกอก หลุบหัวก้มต่ำจ้องมองชายทั้งสาม ที่วิ่งเข้ามาในป่าละเมาะ โชคดีที่เป็นคืนเดือนมืด ทำให้ชายทั้งสามคนมองหาฉันในป่าละเมาะได้อย่างยากลำบาก
"หาให้เจอนะ ถ้ามันหนีไปได้ พวกเราซวยแน่" สิ้นเสียงของคนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น ทำให้คนทั้งสามแยกย้าย กันเดินหาฉันไปคนละทาง
...ซวยอะไรอย่างนี้วะ ยัยหมอกเอ๊ย...
ในขณะที่ฉันกำลังบ่นบ้าอยู่คนเดียว ฉันก็ได้ยินเสียงรถดังแว่วๆ มาแต่ไกล
"หมอก... ม่านหมอก..." เสียงคุ้นดังมาจากชายป่าละเมาะ ด้านอาคารกองบัญชาการ
เสียงที่ดังขึ้นราวกับเสียงสวรรค์ ทำให้ฉันถอนหายใจยาวออกมา และยิ้มกว้างออกมาได้ ฉันค่อยเงยหน้ามองตรงไปยังเงาดำๆ ของร่างใหญ่ ที่คุ้นตายิ่งนัก ที่ก้าวยาวๆ เข้ามาในเขตป่าละเมาะ
ก่อนที่ฉันจะดีดตัวลุกขึ้นยืน ฉันก็ได้ยินเสียงฝ่าเท้าเหยียบลงที่กิ่งไม้ข้างๆ ตัวฉัน ทำให้ฉันหันไปมอง เงาดำที่ยืนค้ำหัวของฉัน และก่อนที่ฉันจะทำอะไร มือใหญ่ของเขา ก็กระชากผมของฉัน ทำให้ฉันผุดลุกขึ้นยืนตามแรงกระชาก อย่างรวดเร็ว ความเจ็บจากแรงดึงและกระชากผม แปลบปลาบแล่นปราดขึ้นหัวสมอง ผสมความตกใจฉันจึงหวีดร้องสุดเสียง
"มานี่กับกูเดี๋ยวนี้ อีนี่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง" เสียงของชายคนนั้น ที่กระชากผมฉันจนหนังหัว แทบจะหลุดออกจากกะโหลกศีรษะของฉัน ติดมือมันไป
"หมอก" เสียงของจักรินทร์ดังขึ้น หลังจากที่เขามองมาทางฉัน ที่ถูกจิกหัวลากหลุนๆ ตามชายคนนั้นไป ได้ไม่เท่าไหร่ ฉันก็ขาขวิดล้มลงบนพื้นหญ้า
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ"
เสียงของผู้พันหมอเอ่ย ก่อนที่จะยกปืนขึ้นพร้อมยิง จ่อปากกระบอกปืน ไปที่ร่างดำในเงามืด ทำให้ร่างใหญ่นั้นหยุดอยู่กับที่ ก่อนที่มันจะก้มตัวลงนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ฉัน เพื่อเอาตัวฉันเป็นเกาะบังลูกกระสุนให้มัน
"แกหนีไม่พ้นหรอก ปล่อยผู้หญิงไปซะ และยอมให้จับซะดีๆ "
ผู้พันหมอสั่ง เสียงเด็ดขาดดังลั่น แต่แทนที่มันจะทำตามคำสั่ง ไอ้หัวขโมยอีกสองราย กลับเดินสืบเท้าเข้ามาใกล้ ในมือถือปืนจ้องไปยังผู้พันหมอ อย่างไม่เกรงกลัว ฉันหายใจเข้าปอดอย่างขัดๆ เพราะใจระทึกกับเหตุการณ์รอบตัวเอง ฉันหันหน้าไปสบดวงตาคมที่มองมายังฉัน แม้ในความมืดสลัว ฉันมองเห็นสีหน้า และแววตาที่เป็นกังวล และห่วงใยฉันแทบขาดใจ
"ผู้พันหมอปล่อยพวกเราไปดีๆ ดีกว่า" คนที่ยังนั่งยองๆ อยู่ข้างฉันเอ่ยขึ้น
"อย่าให้ถึงกับเลือดตก ยางออกกันเลยนะผู้พัน"
ฉันหันไปมอง คนที่ดูเหมือนกับเป็นหัวหน้า ที่นั่งยองๆ ใกล้ๆ ฉัน ค่อยๆ ยืดตัวลุกขึ้น เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือบ่า และหงายปืนในมือขึ้น คล้ายๆ ว่าจะขอเดินจากไปอย่างสันติ หากแต่ผู้พันหมอที่ยืนอยู่อีกข้าง ยังคงจ้องปากกระบอกปืนไปยังชายคนนั้น อย่างไม่ลดละ
"นายทหารที่ทำความผิด จะต้องถูกลงโทษ"
สิ้นเสียงของผู้พันหมอ ที่เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ แต่หนักแน่น ทำให้ฉันเห็นชายคนนั้น ขยับแขนและกลับปืนขึ้นส่องปากกระบอกปืนไปทาง... สามีของฉัน!... และในวินาที ที่ฉันเห็นแสงไฟ สว่างวาบออกจากปากกระบอกปืนของมัน ที่ส่องไปหาจักรินทร์นั้น ทำให้หัวใจฉันไหววาบ
และก่อนที่ฉันจะคิดอะไรไปได้มากกว่านั้น มือของฉันที่จับท่อนไม้ ที่อยู่ใกล้มือไว้นานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ฉันขาขวิด ลื่นไถลล้มลงกับพื้นหญ้า แต่ฉันไม่มีเวลาที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ นอกจาก.. จับท่อนไม้นั้นแน่นด้วยสองมือ และลุกพรวดขึ้น สวิงท่อนไม้ในมือ เสยเข้าไปยังคาง และครึ่งปาก ครึ่งจมูกของชายคนที่เหนี่ยวไกปืน ที่ส่งลูกกระสุนออกไปได้ไม่ถึงชั่วอึดใจ
ส่งให้ร่างของชายคนนั้นหงายเงิบล้มตึงไปทันที จากนั้นเสียงปืนก็ระรัวดังลั่นไปทั่วป่า ราวกับเสียงประทัดในวัตรุษจีน ทำให้ฉันทรุดตัวลงนอนราบไปกับพื้นทันที
"หมอก"
เสียงเรียกชื่อฉันของจักรินทร์ ที่ปรี่เข้ามานั่งใกล้ ก่อนที่คว้าตัวฉัน ที่นอนราบไปกับพื้น เอามือทั้งสองข้างปิดหัวไว้ ขึ้นกอดรัดอย่างเป็นห่วง เมื่อเสียงปืนที่ยิงต่อสู้กัน ได้เงียบสงบลง
"คุณจักร" ฉันเอ่ยชื่อเขา ก่อนที่จะโผกอดเขาแน่นขึ้นไปอีก
"คุณเป็นอย่างไรบ้าง ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่" เขาถามน้ำเสียงหายเป็นระยะๆ ด้วยความเป็นห่วงฉัน
"ฉันโอเคค่ะ ไม่เป็นอะไร แล้วคุณล่ะคะ" ฉันดันตัวเขาออก ก่อนที่จะเอามือลูบหน้า ลูบหลังเขาไปมา
"ฉันเห็นไอ้บ้านั่นมันยิงคุณนี่คะ"
"ผมไม่เป็นอะไรหรอก ผมหลบลูกระสุนได้ แต่.. ไอ้บ้า.. ที่คุณว่า คุณซัดมันซะหน้าเละไปเลย" คนพูดยังมีกระจิดกระใจ หัวเราะในคอหึๆ ก่อนที่จะพยักหน้าให้หันหันหลังไปมอง
ฉันหันหลังไปมองตามที่ผู้พันหมอ พยักพเยิดให้ดู จึงเห็นไอ้บ้า ไอ้ขี้ขโมย ที่บังอาจยิงปืนใส่... สามีของฉัน... นั่งรวมกันอยู่กับพรรคพวกอีกสองคน ที่ตอนนี้มีจ่าพร้อย และนายทหารอีกสองสามนาย ช่วยกันเอาที่รัด รัดข้อมือของทั้งสามหัวขโมยนั้น มีผู้กองพันวา ยืนคอยกำกับอยู่ โดยที่หัวขโมยทั้งสามนั้นได้ถูกปลดผ้าปิดหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าของคนทั้งสาม ที่หนึ่งในนั้น มีใบหน้ามีเลือดไหลจากใบหน้า จมูก และปากไม่หยุด
"คุณหมอกนี่เท่น่าดูเลยนะครับ ผมนี่โชคดีที่มาทันเวลา ได้เห็นตอนที่คุณหมอก ลุกขึ้นมาฟาดหน้าไอ้นั่นพอดี" ผู้กองพันวาเดินเข้ามาส่งยิ้มให้ฉัน หลังจากที่คุณสามีค่อยๆ พยุงฉันลุกขึ้น
"นั่งสิผู้กอง ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจริงๆ นี่ถ้าไม่เห็นกับตา ก็คงจะไม่เชื่อ ถ้าจะมีใครมาเล่าให้ผมฟัง เพราะเท่าที่ผมรับราชการมา ไม่เคยเห็นคุณนายผู้พันคนไหน เด็ดเท่าคุณนายผู้พันหมออีกแล้วครับ" จ่าพร้อยเดินมาสมทบ และเอ่ยชมฉันตรงๆ ก่อนที่ทั้งสองจะขอตัวกลับไปจัดการ พาหัวขโมยทั้งสามเดินออกจากป่าละเมาะไป