เรื่องสั้น "ตู้ปันสุข" โดย ญา-ณัฐ

เรื่อง    ตู้ปันสุข
โดย     ญา-ณัฐ

            สกลหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบห้าปี เขาเป็นคนหน้าตาดี มักมีสาวๆสวยๆหลายคนเข้ามาพัวพันอยู่ตลอดเวลา แต่เสียดายที่เขามีภรรยาอยู่แล้ว
            ใครๆก็บอกว่าได้เมียดีเป็นศรีแก่ตัว แต่ถ้าหากได้เมียสวยด้วยแล้วนับว่าโชคดียิ่งกว่าถูกหวยซะอีก แต่เรื่องราวมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพราะสกลได้เมียสวยก็จริงแต่นั่นมันก็สิบปีก่อนตั้งแต่สมัยพบรักใหม่ๆ           ใครๆต่างก็บอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่โชคดีที่ได้เมียสวย แต่ใครจะรู้ว่าเวลาผ่านไปความสวยที่มีมันไม่ได้คงทนถาวรเท่าใดนัก เพราะนับตั้งแต่เธอแต่งงานกับเขามาย่างเข้าปีที่สิบ น้ำหนักตัวของเธอก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นทวีคูณมากเท่ากับจำนวนปีที่เขากับเธอแต่งงานกัน

            นอกเหนือไปจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นดีกรีความเกรี้ยวกราดก็มากขึ้นตามไปด้วย ใครๆต่างก็บอกว่าภรรยาของเขาแสนดีเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นแต่หาใช่ไม่เพราะเวลาเธออยู่กับเขาเธอจะตะคอก ขู่ บังคับเขาทุกอย่าง แม้เขาจะเป็นผู้ชายอกสามศอกก็ตาม แต่เข้าก็ต้อง........... ก็ต้องยอมภรรยาเพราะ

            “ถ้ากูไม่ยอม อีช้างน้ำมันก็ไม่ให้เงินกูนะสิ” เขาเอ่ยเมื่ออยู่ในวงเหล้าที่ปราศจากเมีย คำสารภาพที่เขาใช้เรียกเมียเมื่ออยู่ข้างนอกช่างแตกต่างกับเวลาอยู่ในบ้าน

          “โถ่พี่ กะอีแค่เมียทำไมพี่ไม่สั่งสอนให้หราบจำล่ะ”

          “ไอ้ง่าว ขืนกูไม่ตะคอกมันก็ล้มทับกุนะสิ”

ใครๆต่างก็รู้นิสัยของสกลเป็นอย่างดีว่าเขามีนิสัยขี้ขลาดตาขาว มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกที่เขาจะกลัวเมีย

            ช่วงไวรัสโควิด 2019 ระบาดหนักทำให้การดำเนินชีวิตของหลายต่อหลายคนต่างก็เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่เพียงแต่วิถีชีวิตการทำงานที่เปลี่ยนไปเพราะทุกคนต่างได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั้งตัวของสกลเองก็ตาม

            “กลคะ หนูนาว่าโควิดมันน่ากลัวนะคะ” หนูนาคือชื่อของภรรยาสกล สกลเคยแอบเอาชื่อหนูนาไปล้อเลียนในวงเหล้าว่า “นังหนูยักษ์”
สกลหันมาทางภรรยา

            “น่ากลัวจริงๆนะคุณ ตอนนี้ต่างประเทศมีผู้ป่วยเป็นหมื่นคนเลยนะ”

สกลพยายามทำให้เธอกลัว ดูเธอสีหน้าหวั่นวิตก

            “หนูนากลัวค่ะ หนูนากลัว” หนูนาเบียดกระชิดเข้ามาใกล้สกลจนโซฟาที่นั่งอยู่เอียงกระเท่เร่ไปข้างหน้า หนูนาทำท่ากลัวอันแตกต่างไปจากรูปร่างที่ใหญ่โตเหมือนยักษ์

            สกลต้อง work from home กลับมาทำงานที่บ้าน ส่วนหนูนาก็เช่นกัน เธอบอกเจ้านายว่ากลัวโควิด เจ้านายอนุญาตให้เธอและคนในบริษัทได้หยุดและนำงานกลับมาทำที่บ้าน

            สกลคิดว่าการ work from home มันก็ดีเหมือนกันแต่ว่ามันจะดีมากกว่านี้หากไม่มีภรรยา เพราะทุกเช้าเขาจะต้องตื่น ปั่นจักรยานไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาให้เธอ รวมไปถึงกลับมาทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน อันเป็นหน้าที่รวมไปถึงซ่อมท่อปะปา สายไฟ ถางหญ้า ตัดกิ่งไม้ ล้างถังขยะอันเป็นหน้าที่ที่เขาโดนภรรยาสั่งมาให้ทำเพื่อแลกกับเงินไปทำงาน 100 บาทต่อวันแถมบางวันเธอก็ให้เขาหิ้วปิ่นโตแบกไปกินที่ทำงานพร้อมรับเงิน 100 บาทเอาไว้พร้อมกับบอกเขาว่า “วันนี้หนูนาทำกับข้าวให้สกลไปกินวันนี้ไม่ต้องเอาเงินไปทำงาน” นั่นคือคำตอบของเธอ

            และหยุดอยู่บ้านเธอก็ไม่ให้สกลแตะต้องเงินเลยซักบาทเดียว มันน่าไหมล่ะมีภรรยาแบบนี้มันน่าไหม?

            สกลปั่นจักรยานออกมาจากบ้าน เขาไม่ลืมตัวที่จะสวมแมสผ้าปิดปากก่อนออกจากบ้านมาตามนโยบายของภาครัฐที่เร่งบอกให้ประชาชนทุกคนช่วยกันป้องกัน

            บรรยากาศในยามเช้าดีเหลือเกิน เขาสังเกตุว่าผู้คนออกมาตอนเช้าน้อยลงกว่าวันก่อนและทุกคนต่างก็สวมหน้ากากป้องกันโรคด้วยกันทุกคน

            “เอาแบบเดิมหรือคะคุณสกล” แม่ค้าร้องถามเมื่อสกลปั่นจักรยานมาถึงหน้าร้าน

            “เอาแบบเดิมครับแม่ค้า” สกลบอก

            “คุณสกลคะ ตอนนี้ทางหมู่บ้านเขามีตู้ปันสุขมาตั้ง หากมีสิ่งของมาร่วมบริจาคแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นก็ได้นะคะ” แม่ค้าขายน้ำเต้าหู้บอก
            สกลมองดูตู้ปันสุขที่แม่ค้าบอก

            “มันคือตู้แบ่งปันสิ่งของค่ะ” แม่ค้าพลางอมยิ้ม

สกลพยักหน้าพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าเพราะเขาเคยดูต่างประเทศที่มีตู้แบ่งปันนหนังสือก็คงคล้ายๆกันเพราะตู้ปันสุขก็คงจะให้ประชาชนนำของกินของใช้ในชีวิตประจำวันมาแบ่งปันกัน หากใครเดือดร้อนก็แบ่งกันไป หากใครมีก็นำมาแบ่งปัน สกลคิดว่ามันก็คงเป็นโครงการที่ดีแบบหนึ่งเช่นกัน เพราะโครงการแบบนี้นอกจากจะเป็นผู้รับเรามิได้เป็นผู้ให้อีกด้วย

            เมื่อสกลรู้ว่ามีตู้ปันสุขตอนแรกเขากะว่าจะซื้อของกับพวกอาหารแบ่งนำไปใส่ไว้ในตู้ แต่เมื่อเขามองดูเงินในกระเป๋าของตัวเองแล้วสกลก็คิดว่าสถาการณ์ตอนนี้คงยังไม่เหมาะที่จะไปบริจาคให้ใครเพราะเงินในมือตอนนี้ภรรยาให้มาแค่สามสิบบาท พอดีกับซื้อน้ำเต้าหู้สองถุงกับปาท่องโก๋เท่านั้น
            สกลปั่นจักรยานกลับมาบ้าน เขาส่งน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ให้กับภรรยาก่อนที่เขาจะเดินเลี่ยงไปหลังครัวโกยมาม่ากับปลากระป๋องที่พอมีอยู่ออกมา เขาหยิบมันใส่ลงไปในถุงผ้าก่อนจะค่อยๆย่องออกมาจากหลังครัว แอบมองเห็นภรรยานั่งดูทีวีพร้อมกับกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋อยู่ สกลเดินตัวลีบออกมาเดินช้าๆในมือของตัวเองมีถุงผ้าที่ใส่พวกมาม่ากับปลากระป๋องเอาไว้เกือบจะเดินพ้นประตูแล้วเชียวเท้าเจ้ากรรมเดินไปชนถังขยะใบจิ๋วที่วางเอาไว้ ของเทกระจัดกระจายออกมาเต็มพื้นไปหมด สกลคิดในใจ “ชิพหายแล้ว” ไม่ทันขาดคำเพราะภรรยาของเขาร้องทัก

            “กล นั่นถืออะไรออกไป” สกลหน้าซีดขึ้นมาทันทีเพราะกลัวว่าภรรยาจะจับได้

            “คือผมจะเอาของไป”

            “ต๊ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่าบอกนะว่าจะเอามาม่ากับปลากระป๋องไป”

สกลแทบจะเอามืออุดหูเพราะว่าเขาเองกลัวแทบจะเยี่ยวราด

            “คือว่า….” สกลพูดติดอ่าง

            “ไปบริจาค” ภรรยาพูดเสียงดัง ภาพในมโนความคิดของเขาคิดว่าคงโดนภรรยาเอ็ดตะโรเป็นแน่

            “โถ่ กลคะ ทำไมไม่บอก” และน้ำเสียงหวานๆของภรรยาของเธอก็เอ่ยต่อไป

            “ตอนแรกหนูนาก็มีความคิดจะเอาไปบริจาค นี่ในไลน์กลุ่มหมู่บ้านเขาลงภาพตู้ปันสุข หนูนาว่าจะให้กลเอาไปร่วมแบ่งปันค่ะ” ในขณะที่เธอพูดเหมือนสวรรค์มาโปรดเขาจนได้ ไม่คิด่าภรรยาจะใจดีขนาดนี้ใครจะไปคิด

            “คุณพูดจริงหรือหนูนา”

            “แหมทำอย่างกับหนูนาเป็นคนใจไม้ใส้ระกำไปได้”

หนูนาภรรยาของสกลเดินเข้ามาประชิดแหวกถุงผ้าดูก่อนจะเดินไปหยิบของมาเพิ่ม ทำเอาสกลแปลกใจเป็นอย่างมาก

            “คุณไปกับผมสิ เอาของไปแบ่งปัน” สกลบอกภรรยาก่อนจะพากันออกไปให้ภรรยานั่งซ้อนท้ายจักรยาน มันเหมือนภาพโรแมนติกจริงๆแต่ปั่นไปได้ไม่พ้นหน้าบ้าน จักรยานยางแตกเสียก่อน ทั้งสองคนต้องจอดเอาไว้และเดินออกไปที่ตู้ปันสุข

จบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่