กษัตริย์และจักรพรรดิ์ในสมัยก่อนนั้นจะเป็นผู้นำทัพไปรบเองแต่เท่าที่เรารู้กันในตอนนี้ประมุขของรัฐนั้นไม่นำทัพเองอีกแล้ว Lyndon B. Johnson ไม่ได้กดทิ้งระเบิดนาปาล์มในเวียดนามและ Queen Elizabeth II ไม่ได้โรยตัวมาจากเฮลิคอปเตอร์ใน Falkland แต่อะไรคือเหตุผลที่ประมุขของรัฐไม่นำทัพเองแล้ว
แต่การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่และเมื่อไหร่ที่กษัตริย์ จักรพรรดิ์ และประมุขของรัฐเลิกนำทัพเองแต่ก่อนจะไปถึงเราต้องทำความเข้าใจว่าทำไมสมัยโบราณถึงยุคกลางกษัตริย์ถึงนำทัพด้วยตนเองเหตุผลคือค่านิยมสมัยก่อนเชื่อว่าผู้ปกครองที่ดีต้องเป็นนักรบที่ดีด้วยแต่เหตุผลที่แท้จริงคืออำนาจของกษัตริย์นั้นมาจากกองทัพการให้อำนาจอันล้นฟ้ากับบุคคลที่มีตำแหน่งใกล้กันหรือญาติตนเองนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนักและตัวกษัตริย์ที่ออกรบก็ทำหน้าที่สั่งการจากมุมสูงอย่างเดียวเพื่อป้องกันการถูกปลงพระชนม์หรือจับตัว
แล้วการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อไหร่และทำไม? ความเชื่อที่ผิดๆคือเพราะการคิดค้นปืนคาบชุดทำให้กษัตริย์เลิกนำทัพแต่ระยะหวังผลปืนคาบชุดนั้นแทบจะไม่ถึง 50 เมตรแต่หลังจากปืนนั้นมีความแม่นยำสูงขึ้นประมุขของรัฐก็ไม่อยู่แนวหน้าอีกต่อไปการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นช่วง 1700-ช่วงปลาย 1800 ยกตัวอย่างเช่นกษัตริย์ยุโรปองค์สุดท้ายที่นำทัพเองคือ King George II ในปี 1743 ที่สมรภูมิ Dettingen และในช่วงสงครามนโปเลียนกษัตริย์ที่นำทัพก็ทำหน้าที่เหมือนมาสคอตของกองทัพเท่านั้นแต่ก็มีข้อยกเว้นเช่นในปี 1934 ที่กษัตริย์ซาอุนำทัพไปรบกับเยเมน ด้วยตนเอง
แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเหตุผลหลักๆคือความเป็นมืออาชีพขึ้นของกองทัพหลังสงคราม 30 ปีช่วงเวลาหลายร้อยปีหลังจากนี้ทำให้เกิดชั้นยศที่ไต่เต้าตามความสามารถและอีกสาเหตุคือประมุขของรัฐนั้นก็อาจจะไม่ใช่นักรบที่ดีนอกจากจะเป็นทหารมาก่อนรวมไปถึงเกมการเมืองที่เสถียรมากขึ้นกว่ายุคก่อนตัวอย่างเช่น King George III นั้นยอมให้ Duke of Wellington มีกองทัพใหญ่โตล้นฟ้าเพราะการสืบสันตติวงศ์นั้นค่อนข้างจะเสถียรแล้วเพราะการปราบดาภิเษกหลังชนะศึกที่ Waterloo นั้นเป็นไปได้ยากมากเมื่อเทียบกับสมัยโรมันเมื่อวันเวลาผ่านไปการที่ประมุขนำทัพไปทัพเดียวแล้วเผด็จศึกก็จบไปสเกลการรบกว้างขึ้นและผู้นำทัพก็เป็นนายพลที่อยู่กับการรบมาทั้งชีวิตและประมุขในสมัยนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นนักรบที่เก่งกาจแล้วแค่เพียงควบคุมการเมืองภายในได้ก็เพียงพอ
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงเกิดจากเหตุผลดังนี้คือ 1.ความเป็นมืออาชีพของกองทัพ 2.สเกลการรบที่ใหญ่ขึ้น 3.เกมการเมืองที่เสถียรขึ้นมาก 4.ค่านิยมที่เปลี่ยนไป ทำให้บทบาทของประมุขที่ต้องนำทัพเองต้องจบไป
ทำไมประมุขของรัฐไม่นำทัพเองอีกแล้ว
แต่การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่และเมื่อไหร่ที่กษัตริย์ จักรพรรดิ์ และประมุขของรัฐเลิกนำทัพเองแต่ก่อนจะไปถึงเราต้องทำความเข้าใจว่าทำไมสมัยโบราณถึงยุคกลางกษัตริย์ถึงนำทัพด้วยตนเองเหตุผลคือค่านิยมสมัยก่อนเชื่อว่าผู้ปกครองที่ดีต้องเป็นนักรบที่ดีด้วยแต่เหตุผลที่แท้จริงคืออำนาจของกษัตริย์นั้นมาจากกองทัพการให้อำนาจอันล้นฟ้ากับบุคคลที่มีตำแหน่งใกล้กันหรือญาติตนเองนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนักและตัวกษัตริย์ที่ออกรบก็ทำหน้าที่สั่งการจากมุมสูงอย่างเดียวเพื่อป้องกันการถูกปลงพระชนม์หรือจับตัว
แล้วการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อไหร่และทำไม? ความเชื่อที่ผิดๆคือเพราะการคิดค้นปืนคาบชุดทำให้กษัตริย์เลิกนำทัพแต่ระยะหวังผลปืนคาบชุดนั้นแทบจะไม่ถึง 50 เมตรแต่หลังจากปืนนั้นมีความแม่นยำสูงขึ้นประมุขของรัฐก็ไม่อยู่แนวหน้าอีกต่อไปการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นช่วง 1700-ช่วงปลาย 1800 ยกตัวอย่างเช่นกษัตริย์ยุโรปองค์สุดท้ายที่นำทัพเองคือ King George II ในปี 1743 ที่สมรภูมิ Dettingen และในช่วงสงครามนโปเลียนกษัตริย์ที่นำทัพก็ทำหน้าที่เหมือนมาสคอตของกองทัพเท่านั้นแต่ก็มีข้อยกเว้นเช่นในปี 1934 ที่กษัตริย์ซาอุนำทัพไปรบกับเยเมน ด้วยตนเอง
แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเหตุผลหลักๆคือความเป็นมืออาชีพขึ้นของกองทัพหลังสงคราม 30 ปีช่วงเวลาหลายร้อยปีหลังจากนี้ทำให้เกิดชั้นยศที่ไต่เต้าตามความสามารถและอีกสาเหตุคือประมุขของรัฐนั้นก็อาจจะไม่ใช่นักรบที่ดีนอกจากจะเป็นทหารมาก่อนรวมไปถึงเกมการเมืองที่เสถียรมากขึ้นกว่ายุคก่อนตัวอย่างเช่น King George III นั้นยอมให้ Duke of Wellington มีกองทัพใหญ่โตล้นฟ้าเพราะการสืบสันตติวงศ์นั้นค่อนข้างจะเสถียรแล้วเพราะการปราบดาภิเษกหลังชนะศึกที่ Waterloo นั้นเป็นไปได้ยากมากเมื่อเทียบกับสมัยโรมันเมื่อวันเวลาผ่านไปการที่ประมุขนำทัพไปทัพเดียวแล้วเผด็จศึกก็จบไปสเกลการรบกว้างขึ้นและผู้นำทัพก็เป็นนายพลที่อยู่กับการรบมาทั้งชีวิตและประมุขในสมัยนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นนักรบที่เก่งกาจแล้วแค่เพียงควบคุมการเมืองภายในได้ก็เพียงพอ
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงเกิดจากเหตุผลดังนี้คือ 1.ความเป็นมืออาชีพของกองทัพ 2.สเกลการรบที่ใหญ่ขึ้น 3.เกมการเมืองที่เสถียรขึ้นมาก 4.ค่านิยมที่เปลี่ยนไป ทำให้บทบาทของประมุขที่ต้องนำทัพเองต้องจบไป