
จากการดูละครเรื่อง “มนต์รักหนองผักกะแยง” แวปหนึ่งขณะดูอยู่มีป้าย“เพอร์มาเคาเจอร์” โผล่มาในฉากที่นักแสดงกำลังทำสวนผักอยู่ เอ้า!!คุ้นมากเมมโมรีจัดเก็บเรื่องนี้ไว้ในโปรเจคเลย เริ่มสนใจจริงจัง รื้อหาความทรงจำเก่าๆที่ไปร่ำเรียนมา บวกกับข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เรารู้สึกว่าหลักสูตร“เพอร์มาเคาเจอร์”สามารจับต้องได้ นำมาใช้ได้จริงกับพื้นที่ และสามารถนำมาปรับประยุกต์ต่อยอดได้ และพื้นที่จริงที่เรามีอยู่ก็ลงตัวพอดีเลย จึงอยากให้เห็นการนำมาปรับใช้กับพื้นที่จริงของเรา...

เท้าความเมื่อประมาณปลายปี 2562 เราได้มีโอกาสไปศึกษาหลักการ“เพอร์มาเคาเจอร์” ที่อาศรมธรรมชาติ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นอีกหลักสูตรหนึ่งในProgram Yearที่เราเข้าร่วมอยู่ แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะนำมาใช้ในบ้านเราได้ เลยไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าที่ควร #ขอโทษผู้สอนด้วยนะคะเด็กเกเรเริ่มเห็นผลจากการเรียนรู้แล้ว คิดพียงว่าแบบนี่เขาทำที่เมืองนอกนู้นแหละ หลังจากกลับมาที่บ้านก็ได้นำความรู้นั่นมาใช้บ้าง ทิ้งบ้าง ลืมบ้าง คิดได้ก็ลงมือทำ แต่พอศึกษาเข้าจริงๆ ใช้ใจดูอีกที ก็พอมีทางประยุกต์เข้ากับบ้านเราได้นะ ไม่ว่าจะเป็น โคก หนอง นา หรือกระทั่งแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง “เพอร์มาเคาเจอร์” ก็นำมาปรับใช้กันได้
...ที่มาของ“เพอร์มาเคาเจอร์”คือ Bill Mollison วิถีเกษตรยุค 70 ที่เชื่อในระบบนิเวศที่ยั่งยืน เขานิยามคำดังกล่าวไว้ว่ามันคือการออกแบบพื้นที่ที่คำนึงถึงความหลากหลาย ความมั่นคงและระบบนิเวศโดยรวมของเราและสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้เราได้ทั้งอาหาร พลังงาน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากรต่างๆ ซึ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตให้ยั่งยืน และเพราะข้อเสียมากมายจากระบบอุตสาหกรรมนี่แหละ บิลจึงริเริ่มหาแนวทางการพึ่งพาตัวเองโดยไม่สร้างพิษภัยต่อระบบนิเวศโดยรอบ ผ่านความช่วยเหลือของเดวิด โฮล์มเกรน (David Holmgren) พวกเขาทั้งสองร่วมกันคิดวิธีปลูกพืชและทำเกษตรกรรมที่จะสร้างความสมดุล จนในปี 1974 พวกเขาก็ได้นิยามคำว่า “เพอร์มาเคาเจอร์” ขึ้นมาได้สำเร็จ และ 4 ปีต่อมา ทั้งคู่ก็ได้ร่วมกันทำหนังสือ “เพอร์มาเคาเจอร์ วัน” (Permaculture One) เพื่ออธิบายแนวทางเกี่ยวกับการทำเกษตรดังกล่าวเอาไว้ และบิลยังเปิดสถาบันสอนเกี่ยวกับการทำ “เพอร์มาเคาเจอร์” ภายใต้ชื่อ Permaculture Design Course and Certification (PDC) สำหรับสอนคนทั่วโลกที่สนใจในหลักการออกแบบและการปลูกพืชแบบนี้ และปัจจุบันมีคนเข้ามาเรียนแล้วกว่า 3 แสนคนทั่วโลก
“เพอร์มาเคาเจอร์” ส่วนใหญ่จะเน้นการจัดสรรพื้นที่แตกต่างกันไปตามแต่เราจะเลือกรังสรรออกแบบ หลากหลายเทคนิคการออกแบบพื้นที่ ให้เหมาะสมกับพื้นถิ่นหรือพื้นที่ของเรา นอกจากจะทำให้เราได้วัตถุดิบสดสะอาด ปลอดภัยจากสารเคมีมากมายหลายชนิดแล้ว ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศที่สมดุลตามธรรมชาติ
หัวใจหลักของเพอร์มาเคาเจอร์ไม่ว่าจะนำไปใช้ที่ไหน อันดับแรกเลยก็คือการใส่ใจโลก Care of Earth เพราะถ้าไม่มีโลกเราเองไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สองการใส่ใจผู้อื่น Care of People ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตรอบบตัวเรา เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตได้ และสุดท้ายมีความเป็นธรรม Care of Returns หรือ Fair Share การใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด เข้าใจระบบนิเวศ เข้าใจความต้องการของตนเอง เลือกใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็นและคืนสิ่งที่ดีกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เรากระทำ .....

ข้อมูลก็แน่นแล้ว เราเลยเอามาลองปรับใช้ในพื้นที่ ครอบครัวเราน่าจะทำเกษตรตั้งแต่บรรพบุรุษเลยจึงเห็นแทบทุกกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเกษตรทั้งแบบที่ยังไม่ใช่4.0 มีการใช้เครื่องมือแบบโบราณทำนาอยู่ และพัฒนามาถึงปัจจุบัน แต่พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้เป็นมรดกตกทอด แต่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพ่อกับแม่เรา ประมาณ6ไร่ทำทั้งที่พักและทำไร่ทำสวนในที่เดียวกัน ขอออกตัวก่อนว่าอาจจะทำไม่ได้สมบูรณ์แบบทั้งหมด แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะสภาพพื้นที่ไร่ของเราเน้นการปลูกข้าว(นาปี)เป็นหลัก เนื่องจากค่อนข้างแห้งแล้งรอฝนตกต้องตามฤดูกาล มีเลี้ยงวัวด้วยจึงมีสวนหญ้าเพื่อให้พอเพียงต่อการกินของวัวทั้งปี ที่สำคัญที่สุดคือด่านของแม่จ้า จะทำอะไรปรับปรุงพื้นที่ตรงไหนต้องผ่านการอนุมัติก่อนนะจ๊ะ นอกเสียจากว่าช่วงที่แม่ไม่อยู่บ้านแล้วแอบทำกัน เดี๋ยวมาเล่าว่ามีวีรกรรมอะไรบ้างที่แอบทำ ภาระกิจนั้นจะสำเร็จหรือไม่
เพอร์มาเคาเจอร์ ละเมอ จนเจอเธอ
1. Observe and Interact สังเกต สำรวจ และทำงานกับธรรมชาติ ให้ทุกอย่างเป็นไปตามทำธรรมชาติ และทำงานของมันเอง เริ่มจากเราสังเกตปัจจัยทางธรรมชาติของพื้นที่ เพื่อนำมาออกแบบให้เกิดความเหมาะสม สร้างความเข้าใจพื้นฐานของพื้นที่เพื่อให้ในอนาคตสามารถปรับปรุงและพัฒนาต่อได้ สามารถนำไปใช้วางแผนการออกแบบพื้นที่ปลูกผักสวนครัว พืชผัก ผลไม้ เลี้ยงสัตว์ ทำที่อยู่อาศัย รวมถึงการดูแลรักษาพื้นที่เกษตร เพื่อจะพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่
เราเริ่มเดินสำรวจพื้นที่ว่ามีอะไรบ้าง ดูแลสังเกตการดำเนินไปตามธรรมชาติของสิ่งต่างๆในไร่
หน้าแล้งก็แห้งเหี่ยวโรยรา
หน้าฝนก็เขียวขจี
หน้าหนาวหลังเก็บเกี่ยว
เก็บเกี่ยวเสร็จเตรียมแปลงปลูกผักหน้าหนาว
ข้าวสีทองอร่ามเต็มทุ่งนา
-ต้นมะม่วงใหญ่เป็นที่พักของเหล่าเจ้าไก่วันรุ่นวัยคะนองที่สามารถออกหากินเองได้แล้ว ถ้าเขาใช้พำนักพักนอนเขาก็จะถ่ายลงมาใต้ต้นมะม่วงก็กลายเป็นปุ๋ยเอื้อเฟื้อกันไป บางต้นก็มีรังมดแดงเลี้ยงไว้กินไข่มดแดง
-ดูทิศทางลม ดูแสงแดด สร้างที่พัก ปลูกต้นไม้กินได้ ใช้สอยได้ หรือประดับสวยงามตามมีตามเกิด ต้องใช้คำนี้เพราะเราไม่ได้วางแผนตั้งแต่แรกว่าจะทำอะไรตรงไหน แต่ก่อนที่พักอยู่มุมนี้ผ่านไป5ปีหรือ10ปีอยากจะย้ายไปอีกที่หนึ่ง เคลื่อนย้ายลำบากแต่จำเป็นต้องทำเพราะเป็นไม้ผุพังและไม่มิดชิดเท่าที่ควร แต่ต้นไม้ที่ปลูกใกล้ๆให้ร่มเงาไม่สามารถย้ายได้แล้วเพราะเขาจะโตขึ้นเรื่อยๆเคลื่อนย้ายก็ลำบาก ที่เราเสียดายมากๆคือต้นกันเกราที่ปลูกไว้เหนือลม ใกล้ที่พัก ซึ่งช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมเขาจะออกดอกส่งกลิ่นหอมยามค่ำคืนช่วงให้นอนหลับไหลผ่อนคลายสบายใจมาก
ต้นมะพร้าวบดบังกระท่อมน้อยของรจนา
กอไผแตกหน่อดีมาก ขยับไม่ได้เลย
มะพร้าวต้นนี้คนอยู่กลางไร่ เพราะกำลังแตกหน่องามเชียว
-แปลงผัก ของแม่ก็จะมีกระจัดกระจายตามพื้นที่ต่างๆแล้วแต่ท่านอยากจะปลูกเลยจ้า อันนี้ห้ามแตะต้องเด็ดขาด อยู่ตรงไหนคือตรงนั้นนะจ๊ะ รั้วรอบของชิด มีตาข่ายกั้นเป็นแนว ห้ามไก่ตัวใดย่างกายเข้ามาไม่งั้นได้กินไก่ย่างเป็นแน่
ผักสะระแหน่บนคอนโดของเขา
สวนผักกระจัดกระจายตามแต่แม่จะต้องการ
ข้างบนเป็นถั่ว ข้างล่างฟักทอง ผสมกันไป
ข้างกองฟางก็มาจ้า ทุกที่คือแปลงผัก
-สระน้ำ นี่เป็นวีรกรรมแรกตอนที่แม่ไม่อยู่พ่อก็ให้รถมาขุดดินเป็นบ่อน้ำเลยจ้า ลักษณะก็ยาวๆเหมือนคลองประมาณ30เมตร กว้าง3เมตร ลึก1แมตรหรือ2เมตรจำไม่ค่อยได้ มีน้ำปริ่มๆเล็กน้อย น้ำก็ใส ดินรอบๆก็เป็นทรายขาวถือว่าดี ส่วนดินที่ขุดก็แปะๆเป็นคูรอบๆคลองพอดี พ่อก็ปลูกกล้วย ต้นยางนา และหญ้าให้วัว และตอนนี้ก็มีปลาในคลองด้วยนะจ๊ะ ซึ่งเป็นปลาธรรมชาติไม่ได้เลี้ยงดูปูเสื่ออะไรมากมายได้รำจากการสีข้าวก็โยนๆให้น้องกินได้ และยังได้รับความอนุเคราะห์จากเพื่อนสาวส่งปลาตะเพียนที่เพาะพันธุ์คัดคุณภาพดีมาให้ถึง200ตัวเลย ถือว่าภาระกิจนี้ผ่านนะคะแม่บ่นช่วงแรกๆแต่ก็ยอมรับได้แล้วในตอนนี้
เรื่องน้ำนี่สำคัญมากๆในการทำเกษตร ถ้าไม่มีน้ำพืชผลก็จะไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ดังนั้นการจัดการน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาตินี้ขาดไม่ได้เลยหมั่นดูและสำรวจน้ำในแต่ละฤดูกาลหาวิธีจัดเก็บน้ำให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ป ปลาตากลม
มีน้ำ มีปลา หนูจ๋าชอบเล่นน้ำ
-คอกสัตว์ สิ่งไหนคงทนแข็งแรงเคลื่อนย้ายไม่ได้ก็อยู่ที่เดิม สิ่งไหนปรับปรุงหรือสร้างเพิ่มก็ต้องเป็นประโยชน์จริงๆ สามารถใช้งานได้จริง ไม่เป็นสิ่งกีดขวางหรือทับซ้อนกิจกรรมของกันและกัน
บ้านของไก่ที่กำลังฟักตัวอยู่
คอกวัว ที่เล็กกว่าวัว
*กิจกรรมของกันและกันในที่นี้หมายถึง กิจกรรมของแต่ละคนในบ้านนะคะ เช่น สวนผักของแม่ สวนหญ้าของพ่อ ต้นไม้ที่ปลูกใหม่ของน้องสาว เล้าไก่ของพี่สาว อะไรประมาณนี้ หากตกลงกันได้ก็โอเค
นอกจากจะมีพื้นที่ที่สวยงาม มีพืชผัดสด มีปลา ไก่ เลี้ยงไว้กินเองอีกด้วย สุขภาพกายดี สุขภาพจิตแจ่มใสกันถ้วนหน้า
ข้าวอินทรีย์ ปลูกเอง เก็บเกี่ยวเอง
ข้าว ปลา อากหาร ผลผลิตจากฟาร์ม
กินอิ่ม นอนหลับ สบายใจ
ปล.เดี๋ยวเพอร์มาเคาเจอร์ข้อต่อไปจะตามมา
เราไม่เพ้อเจ้อ แต่ เพอร์มาเคาเจอร์
จากการดูละครเรื่อง “มนต์รักหนองผักกะแยง” แวปหนึ่งขณะดูอยู่มีป้าย“เพอร์มาเคาเจอร์” โผล่มาในฉากที่นักแสดงกำลังทำสวนผักอยู่ เอ้า!!คุ้นมากเมมโมรีจัดเก็บเรื่องนี้ไว้ในโปรเจคเลย เริ่มสนใจจริงจัง รื้อหาความทรงจำเก่าๆที่ไปร่ำเรียนมา บวกกับข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เรารู้สึกว่าหลักสูตร“เพอร์มาเคาเจอร์”สามารจับต้องได้ นำมาใช้ได้จริงกับพื้นที่ และสามารถนำมาปรับประยุกต์ต่อยอดได้ และพื้นที่จริงที่เรามีอยู่ก็ลงตัวพอดีเลย จึงอยากให้เห็นการนำมาปรับใช้กับพื้นที่จริงของเรา...
เท้าความเมื่อประมาณปลายปี 2562 เราได้มีโอกาสไปศึกษาหลักการ“เพอร์มาเคาเจอร์” ที่อาศรมธรรมชาติ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นอีกหลักสูตรหนึ่งในProgram Yearที่เราเข้าร่วมอยู่ แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะนำมาใช้ในบ้านเราได้ เลยไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าที่ควร #ขอโทษผู้สอนด้วยนะคะเด็กเกเรเริ่มเห็นผลจากการเรียนรู้แล้ว คิดพียงว่าแบบนี่เขาทำที่เมืองนอกนู้นแหละ หลังจากกลับมาที่บ้านก็ได้นำความรู้นั่นมาใช้บ้าง ทิ้งบ้าง ลืมบ้าง คิดได้ก็ลงมือทำ แต่พอศึกษาเข้าจริงๆ ใช้ใจดูอีกที ก็พอมีทางประยุกต์เข้ากับบ้านเราได้นะ ไม่ว่าจะเป็น โคก หนอง นา หรือกระทั่งแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง “เพอร์มาเคาเจอร์” ก็นำมาปรับใช้กันได้
...ที่มาของ“เพอร์มาเคาเจอร์”คือ Bill Mollison วิถีเกษตรยุค 70 ที่เชื่อในระบบนิเวศที่ยั่งยืน เขานิยามคำดังกล่าวไว้ว่ามันคือการออกแบบพื้นที่ที่คำนึงถึงความหลากหลาย ความมั่นคงและระบบนิเวศโดยรวมของเราและสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้เราได้ทั้งอาหาร พลังงาน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากรต่างๆ ซึ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตให้ยั่งยืน และเพราะข้อเสียมากมายจากระบบอุตสาหกรรมนี่แหละ บิลจึงริเริ่มหาแนวทางการพึ่งพาตัวเองโดยไม่สร้างพิษภัยต่อระบบนิเวศโดยรอบ ผ่านความช่วยเหลือของเดวิด โฮล์มเกรน (David Holmgren) พวกเขาทั้งสองร่วมกันคิดวิธีปลูกพืชและทำเกษตรกรรมที่จะสร้างความสมดุล จนในปี 1974 พวกเขาก็ได้นิยามคำว่า “เพอร์มาเคาเจอร์” ขึ้นมาได้สำเร็จ และ 4 ปีต่อมา ทั้งคู่ก็ได้ร่วมกันทำหนังสือ “เพอร์มาเคาเจอร์ วัน” (Permaculture One) เพื่ออธิบายแนวทางเกี่ยวกับการทำเกษตรดังกล่าวเอาไว้ และบิลยังเปิดสถาบันสอนเกี่ยวกับการทำ “เพอร์มาเคาเจอร์” ภายใต้ชื่อ Permaculture Design Course and Certification (PDC) สำหรับสอนคนทั่วโลกที่สนใจในหลักการออกแบบและการปลูกพืชแบบนี้ และปัจจุบันมีคนเข้ามาเรียนแล้วกว่า 3 แสนคนทั่วโลก
“เพอร์มาเคาเจอร์” ส่วนใหญ่จะเน้นการจัดสรรพื้นที่แตกต่างกันไปตามแต่เราจะเลือกรังสรรออกแบบ หลากหลายเทคนิคการออกแบบพื้นที่ ให้เหมาะสมกับพื้นถิ่นหรือพื้นที่ของเรา นอกจากจะทำให้เราได้วัตถุดิบสดสะอาด ปลอดภัยจากสารเคมีมากมายหลายชนิดแล้ว ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศที่สมดุลตามธรรมชาติ
หัวใจหลักของเพอร์มาเคาเจอร์ไม่ว่าจะนำไปใช้ที่ไหน อันดับแรกเลยก็คือการใส่ใจโลก Care of Earth เพราะถ้าไม่มีโลกเราเองไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สองการใส่ใจผู้อื่น Care of People ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตรอบบตัวเรา เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตได้ และสุดท้ายมีความเป็นธรรม Care of Returns หรือ Fair Share การใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด เข้าใจระบบนิเวศ เข้าใจความต้องการของตนเอง เลือกใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็นและคืนสิ่งที่ดีกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เรากระทำ .....
ข้อมูลก็แน่นแล้ว เราเลยเอามาลองปรับใช้ในพื้นที่ ครอบครัวเราน่าจะทำเกษตรตั้งแต่บรรพบุรุษเลยจึงเห็นแทบทุกกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเกษตรทั้งแบบที่ยังไม่ใช่4.0 มีการใช้เครื่องมือแบบโบราณทำนาอยู่ และพัฒนามาถึงปัจจุบัน แต่พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้เป็นมรดกตกทอด แต่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพ่อกับแม่เรา ประมาณ6ไร่ทำทั้งที่พักและทำไร่ทำสวนในที่เดียวกัน ขอออกตัวก่อนว่าอาจจะทำไม่ได้สมบูรณ์แบบทั้งหมด แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะสภาพพื้นที่ไร่ของเราเน้นการปลูกข้าว(นาปี)เป็นหลัก เนื่องจากค่อนข้างแห้งแล้งรอฝนตกต้องตามฤดูกาล มีเลี้ยงวัวด้วยจึงมีสวนหญ้าเพื่อให้พอเพียงต่อการกินของวัวทั้งปี ที่สำคัญที่สุดคือด่านของแม่จ้า จะทำอะไรปรับปรุงพื้นที่ตรงไหนต้องผ่านการอนุมัติก่อนนะจ๊ะ นอกเสียจากว่าช่วงที่แม่ไม่อยู่บ้านแล้วแอบทำกัน เดี๋ยวมาเล่าว่ามีวีรกรรมอะไรบ้างที่แอบทำ ภาระกิจนั้นจะสำเร็จหรือไม่
เพอร์มาเคาเจอร์ ละเมอ จนเจอเธอ
1. Observe and Interact สังเกต สำรวจ และทำงานกับธรรมชาติ ให้ทุกอย่างเป็นไปตามทำธรรมชาติ และทำงานของมันเอง เริ่มจากเราสังเกตปัจจัยทางธรรมชาติของพื้นที่ เพื่อนำมาออกแบบให้เกิดความเหมาะสม สร้างความเข้าใจพื้นฐานของพื้นที่เพื่อให้ในอนาคตสามารถปรับปรุงและพัฒนาต่อได้ สามารถนำไปใช้วางแผนการออกแบบพื้นที่ปลูกผักสวนครัว พืชผัก ผลไม้ เลี้ยงสัตว์ ทำที่อยู่อาศัย รวมถึงการดูแลรักษาพื้นที่เกษตร เพื่อจะพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่
เราเริ่มเดินสำรวจพื้นที่ว่ามีอะไรบ้าง ดูแลสังเกตการดำเนินไปตามธรรมชาติของสิ่งต่างๆในไร่
นอกจากจะมีพื้นที่ที่สวยงาม มีพืชผัดสด มีปลา ไก่ เลี้ยงไว้กินเองอีกด้วย สุขภาพกายดี สุขภาพจิตแจ่มใสกันถ้วนหน้า