JJNY : เชื่อมั่นดิ่งสุดเป็นประวัติการณ์│แนะสธ.พูดความจริง วัคซีนไม่พอ│ประเมินหนี้สาธารณะพุ่งเกิน60%│สุทินเผยยื่นแก้รธน.

หอค้าเผย ปชช.ห่วงเตะฝุ่นมากขึ้น-รายได้วูบ ทำเชื่อมั่นดิ่งสุดเป็นประวัติการณ์
https://www.matichon.co.th/economy/news_2768674


 
หอค้าเผย ปชช.ห่วงเตะฝุ่นมากขึ้น-รายได้วูบ ทำเชื่อมั่นดิ่งสุดเป็นประวัติการณ์
 
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์ พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 2,243 คน พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภา​คม อยู่ที่ 44.7 ลดลงจากเดือนเมษายน 2564 ซึ่งอยู่ที่ 46 โดยดัชนีลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในรอบ 272 เดือน หรือต่ำสุดในรอบ 22 ปี 8 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 38.9 ลดลงจาก 40.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 41.3 ลดลงจาก 42.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 53.9 ลดลงจาก 54.7 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลกระทบในการแพระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด ส่งผลให้ดัชนียังปรับตัวลดลงทุกรายการ​
 
สำหรับปัจจัยลบสำคัญที่ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นเดือนพฤษภา​คม ได้แก่ ความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตต่อประชาชนและภาคธุรกิจ การกระจายวัคซีนโควิด-19 ที่ยังไม่แน่อน สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์​ เผยตัวเลขผลิตภัณฑ์​มวลรวม​ของ​ประเทศ​ (จีดีพี)​ ไตรมาสที่ 1/2564 ติดลบ 2.6% และปรับลดคาดการณ์จีดีพี ปี 2564 เหลือ 1.5-2.5% ปัญหาราคาน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้น ความกังวลเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ ความกังวลภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้รายได้ไม่สอคล้องค่าครองชีพ และปัญหาเงินบาทแข็งค่า
 
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่ รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ การฉีดวัคซีนในประเทศเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% การส่งออกเดือนเมษายน ขยายตัว 13% และราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น
 

 
หมอชนบท แนะสธ. พูดความจริง วัคซีนไม่พอ รับจนท.เครียด เจอเพ่งโทษ ห้ามเลื่อนฉีด
https://www.matichon.co.th/politics/news_2768903

แพทย์ชนบท แนะสธ. พูดความจริง วัคซีนไม่พอ รับหน้างานโกลาหน จนท.เครียด เจอเพ่งโทษเลื่อนฉีด 
วันนี้ (10 มิ.ย.) เพจ ชมรมแพทย์ชนบท ได้เผยแพร่ข้อเขียน เรื่อง “ลับลวงพราง วัคซีนโควิด ตอน 9 : 10-06-64” โดยระบุว่า 
 
“วัคซีนไม่พอฉีด เจ้าหน้าที่เครียดมาก เพราะใคร ..ท่านรู้ไหม
 
วัคซีนที่ได้มาหมดแล้ว แต่ห้ามประกาศเลื่อน เจ้าหน้าที่หน้างานเครียด ร้องโฮไปแล้วหลายโรงพยาบาล
วันนี้วันที่ 4 ของการ kick off หลายโรงพยาบาลไม่มีวัคซีนเหลือแล้ว แม้จะพยายามดูดวัคซีนแอสตร้าให้ได้ขวดละ 12 โดส บวกกับซิโนแวคที่เสริมมาแล้วก็ยังไม่พอกับคนที่จองไว้
 
หลายโรงพยาบาลเริ่มท้อใจ เพราะผู้จองวัคซีนกับหมอพร้อมยังเดินทางมาขอฉีดวัคซีนตามนัด แต่ไม่มีวัคซีนให้ฉีด หลายคนยืนยันว่า รมต.บอกว่า วัคซีนพอไง วัคซีนหายไปไหน สร้างแรงกดดันกับเจ้าหน้าที่หน้างานและโอเปอร์เรเตอร์รับโทรศัพท์อย่างมาก จะประกาศเลื่อนนัดออกสื่อก็ไม่ได้เพราะรัฐมนตรีขู่เพ่งโทษเอาไว้
 
อย่างน้อยในสัปดาห์นี้ พบว่า หลายจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคกลาง ได้รับจัดสรรวัคซีนไม่พอสำหรับฉีดให้คนที่จองหมอพร้อม และเชื่อว่า สัปดาห์หน้าจะวิกฤตกว่าสัปดาห์นี้ วัคซีนแอสตร้าที่สยามไบโอไซน์ ผลิตได้จะมาน้อยมาก เขาต้องส่งให้ต่างประเทศด้วย จะมีก็วัคซีนซิโนแวคที่มาประคองแก้ขัดไปก่อน
 
ปัญหานี้ต้องรีบแก้ จริงๆแก้ได้ด้วย 2 วิธีการที่ไม่ยาก
 
1. แก้ไขที่แอป “หมอพร้อม” แทนที่จะส่งข้อความแจ้งเตือนให้ไปฉีดวัคซีนตามนัดเดิมเท่านั้น ก็เปิดช่องให้ทางโรงพยาบาลสามารถเปลี่ยนข้อความได้ด้วย อาทิ เปลี่ยนมาเป็นว่า “โปรดรอการยืนยันจากทางโรงพยาบาล” “หากได้รับจัดสรรวัคซีนเพียงพอ จะติดต่อนัดหมายท่านมาฉีดต่อไป” เช่นนี้ก็จะยุติความโกลาหลลงได้มาก
 
2. การให้ข่าวของผู้บริหารระดับสูงที่ควรบอกความจริง ไม่ใช่บอกว่า วัคซีนพอ โดยเอายอดภาพรวมเดือนมิถุนายนมาชี้แจงกับสื่อกับประชาชน แต่นั่นคือยอดที่จะมาสิ้นเดือน ไม่ใช่ยอดในมือวันนี้ ความจริงคือปัจจุบันหลายพื้นที่วัคซีนไม่พอ ทำให้ประชาชนบางส่วนไปกดดันกับโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เขาเครียดจนเริ่มไม่ไหวกันแล้ว
 
ขอให้ รมต.เพียงแค่เปลี่ยนวิธีพูด แทนที่จะยืนยันว่า “วัคซีนมีพอ ไม่มีการเลื่อน” ก็พูดใหม่ว่า “วัคซีนในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้มาน้อยกว่ายอดที่ควรจะได้รับ พื้นที่ที่มียอดจองมากต้องมีการเลื่อนฉีดออกไป วัคซีนส่วนหนึ่งต้องเอาไปใช้ในพื้นที่ระบาดสูงด้วย โรงพยาบาลสามารถทำความเข้าใจบอกเลื่อนประชาชนได้ เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจ” แบบนี้ทำเป็นไหม และอย่าลืมสั่งปรับแก้แอปหมอพร้อมให้เหมาะกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปด้วย เท่านี้ทุกอย่างจะดีขึ้น
 
การสื่อสารให้ประชาชนรู้ความจริงเท่านั้น ที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและแก้ปัญหาความโกลาหลของวัคซีนที่มีไม่พอ”
  
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=4722113514482435&id=142436575783508
 

 
กสิกรไทย ประเมินหนี้สาธารณะ พุ่งเกิน 60% ชี้ฉีดวัคซีนเร็ว ปลายปีเศรษฐกิจฟื้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_2768743

กสิกรไทย ประเมินหนี้สาธารณะ พุ่งเกิน 60% ชี้ฉีดวัคซีนเร็ว ปลายปีเศรษฐกิจฟื้น
 
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ประมาณการเศรษฐกิจดังกล่าว อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่คาดว่าการระบาดในระลอกที่ 3 จะบรรเทาลงในช่วงเดือน ก.ค. โดยได้รวมผลบวกจากทิศทางการส่งออกที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการภาครัฐที่กำลังจะทยอยออกมาทั้งโครงการคนละครึ่งเฟส 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้แล้ว ขณะที่คาดว่าการเร่งกระจายฉีดวัคซีนจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ ซึ่งหากเร่งฉีดได้ในปริมาณที่มากพอกับการสร้างความเชื่อมั่นของครัวเรือนและธุรกิจ คงทำให้ภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 มีทิศทางที่เร่งตัวขึ้นอย่างมาก และเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้า
 
นอกจากเรื่องวัคซีนและการควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสแล้ว ภาครัฐยังต้องเตรียมรับมือกับอีก 4 โจทย์สำคัญ ได้แก่ ภาระทางการคลัง เงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน และต้นทุนธุรกิจที่กำลังเพิ่มขึ้น อันทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น
 
นางสาวณัฐพรกล่าวว่า ในระยะสั้น การขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นและการขยายเพดานหนี้สาธารณะยังไม่น่าจะเป็นประเด็น โดยคงจะเห็นระดับหนี้สาธารณะที่เกิน 60% ภายในปี 2565 แต่ในระยะกลาง หากยังมีการขาดดุลการคลังในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อาจจะนำมาสู่ประเด็นความเชื่อมั่นทางภาคการคลังของไทย ด้านโจทย์เงินเฟ้อไทยที่เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะเป็นปัจจัยชั่วคราวและคงไม่ทำให้ กนง.เปลี่ยนท่าทีนโยบายดอกเบี้ย แต่เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว มาในจังหวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว อีกทั้งหากเศรษฐกิจสหรัฐ เติบโตได้ดีก็จะทำให้เฟดส่งสัญญาณถอยออกจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย ซึ่งสุดท้ายแล้ว จะนำมาสู่ต้นทุนทางการเงิน ผ่านอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกรวมถึงไทย กดดันภาคธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มดีขึ้น
 
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า เพิ่มเติมโจทย์เรื่องหนี้ภาคครัวเรือนจากผลสำรวจความคิดเห็นหลังมีโควิดรอบ 3 ว่า สถานการณ์หนี้รายย่อยถดถอยลง โดยมีกลุ่มเปราะบางที่เผชิญทั้งปัญหารายได้ลด ค่าใช้จ่ายไม่ลด และภาระหนี้สูงเกินกว่า 50% ต่อรายได้ เพิ่มขึ้นจาก 10.8% ในโควิดรอบ 2 มาที่ 22.1% ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นและน่าจะแตะระดับ 90% ต่อจีดีพีภายในปีนี้ จะมีผลให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องกลับมาดูแลอย่างจริงจัง หลังผ่านโควิดรอบนี้
 
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า คือ การปรับขึ้นของต้นทุนหรือราคาสินค้า กระทบต่อธุรกิจซื้อมาขายไป ในช่วงเวลาที่โควิดฉุดกำลังซื้อและตลาดมีการแข่งขันสูง ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี โดยประเมินเบื้องต้นว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น 1% จะกระทบค้าปลีก เอสเอ็มอี ประมาณ 23,600-23,800 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ประกอบการเผชิญข้อจำกัดในการผลักภาระไปให้กับผู้บริโภค ขณะที่มาตรการรัฐมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ในทางตรงข้าม หากเศรษฐกิจดี ปัญหาหรือผลกระทบนี้ คงมีขนาดที่ลดลง ทั้งนี้ต้องติดตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังจากนี้ ซึ่งจะมีผลต่อเส้นทางการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกในช่วงที่เหลือของปี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่