หอค้าเผย ปชช.ห่วงเตะฝุ่นมากขึ้น-รายได้วูบ ทำเชื่อมั่นดิ่งสุดเป็นประวัติการณ์
https://www.matichon.co.th/economy/news_2768674
หอค้าเผย ปชช.ห่วงเตะฝุ่นมากขึ้น-รายได้วูบ ทำเชื่อมั่นดิ่งสุดเป็นประวัติการณ์
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน นาย
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์ พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 2,243 คน พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ 44.7 ลดลงจากเดือนเมษายน 2564 ซึ่งอยู่ที่ 46 โดยดัชนีลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในรอบ 272 เดือน หรือต่ำสุดในรอบ 22 ปี 8 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 38.9 ลดลงจาก 40.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 41.3 ลดลงจาก 42.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 53.9 ลดลงจาก 54.7 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลกระทบในการแพระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด ส่งผลให้ดัชนียังปรับตัวลดลงทุกรายการ
สำหรับปัจจัยลบสำคัญที่ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นเดือนพฤษภาคม ได้แก่ ความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตต่อประชาชนและภาคธุรกิจ การกระจายวัคซีนโควิด-19 ที่ยังไม่แน่อน สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 1/2564 ติดลบ 2.6% และปรับลดคาดการณ์จีดีพี ปี 2564 เหลือ 1.5-2.5% ปัญหาราคาน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้น ความกังวลเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ ความกังวลภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้รายได้ไม่สอคล้องค่าครองชีพ และปัญหาเงินบาทแข็งค่า
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่ รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ การฉีดวัคซีนในประเทศเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% การส่งออกเดือนเมษายน ขยายตัว 13% และราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น
หมอชนบท แนะสธ. พูดความจริง วัคซีนไม่พอ รับจนท.เครียด เจอเพ่งโทษ ห้ามเลื่อนฉีด
https://www.matichon.co.th/politics/news_2768903
แพทย์ชนบท แนะสธ. พูดความจริง วัคซีนไม่พอ รับหน้างานโกลาหน จนท.เครียด เจอเพ่งโทษเลื่อนฉีด
วันนี้ (10 มิ.ย.) เพจ ชมรมแพทย์ชนบท ได้เผยแพร่ข้อเขียน เรื่อง “ลับลวงพราง วัคซีนโควิด ตอน 9 : 10-06-64” โดยระบุว่า
“วัคซีนไม่พอฉีด เจ้าหน้าที่เครียดมาก เพราะใคร ..ท่านรู้ไหม
วัคซีนที่ได้มาหมดแล้ว แต่ห้ามประกาศเลื่อน เจ้าหน้าที่หน้างานเครียด ร้องโฮไปแล้วหลายโรงพยาบาล
วันนี้วันที่ 4 ของการ kick off หลายโรงพยาบาลไม่มีวัคซีนเหลือแล้ว แม้จะพยายามดูดวัคซีนแอสตร้าให้ได้ขวดละ 12 โดส บวกกับซิโนแวคที่เสริมมาแล้วก็ยังไม่พอกับคนที่จองไว้
หลายโรงพยาบาลเริ่มท้อใจ เพราะผู้จองวัคซีนกับหมอพร้อมยังเดินทางมาขอฉีดวัคซีนตามนัด แต่ไม่มีวัคซีนให้ฉีด หลายคนยืนยันว่า รมต.บอกว่า วัคซีนพอไง วัคซีนหายไปไหน สร้างแรงกดดันกับเจ้าหน้าที่หน้างานและโอเปอร์เรเตอร์รับโทรศัพท์อย่างมาก จะประกาศเลื่อนนัดออกสื่อก็ไม่ได้เพราะรัฐมนตรีขู่เพ่งโทษเอาไว้
อย่างน้อยในสัปดาห์นี้ พบว่า หลายจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคกลาง ได้รับจัดสรรวัคซีนไม่พอสำหรับฉีดให้คนที่จองหมอพร้อม และเชื่อว่า สัปดาห์หน้าจะวิกฤตกว่าสัปดาห์นี้ วัคซีนแอสตร้าที่สยามไบโอไซน์ ผลิตได้จะมาน้อยมาก เขาต้องส่งให้ต่างประเทศด้วย จะมีก็วัคซีนซิโนแวคที่มาประคองแก้ขัดไปก่อน
ปัญหานี้ต้องรีบแก้ จริงๆแก้ได้ด้วย 2 วิธีการที่ไม่ยาก
1. แก้ไขที่แอป “หมอพร้อม” แทนที่จะส่งข้อความแจ้งเตือนให้ไปฉีดวัคซีนตามนัดเดิมเท่านั้น ก็เปิดช่องให้ทางโรงพยาบาลสามารถเปลี่ยนข้อความได้ด้วย อาทิ เปลี่ยนมาเป็นว่า “โปรดรอการยืนยันจากทางโรงพยาบาล” “หากได้รับจัดสรรวัคซีนเพียงพอ จะติดต่อนัดหมายท่านมาฉีดต่อไป” เช่นนี้ก็จะยุติความโกลาหลลงได้มาก
2. การให้ข่าวของผู้บริหารระดับสูงที่ควรบอกความจริง ไม่ใช่บอกว่า วัคซีนพอ โดยเอายอดภาพรวมเดือนมิถุนายนมาชี้แจงกับสื่อกับประชาชน แต่นั่นคือยอดที่จะมาสิ้นเดือน ไม่ใช่ยอดในมือวันนี้ ความจริงคือปัจจุบันหลายพื้นที่วัคซีนไม่พอ ทำให้ประชาชนบางส่วนไปกดดันกับโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เขาเครียดจนเริ่มไม่ไหวกันแล้ว
ขอให้ รมต.เพียงแค่เปลี่ยนวิธีพูด แทนที่จะยืนยันว่า “วัคซีนมีพอ ไม่มีการเลื่อน” ก็พูดใหม่ว่า “วัคซีนในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้มาน้อยกว่ายอดที่ควรจะได้รับ พื้นที่ที่มียอดจองมากต้องมีการเลื่อนฉีดออกไป วัคซีนส่วนหนึ่งต้องเอาไปใช้ในพื้นที่ระบาดสูงด้วย โรงพยาบาลสามารถทำความเข้าใจบอกเลื่อนประชาชนได้ เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจ” แบบนี้ทำเป็นไหม และอย่าลืมสั่งปรับแก้แอปหมอพร้อมให้เหมาะกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปด้วย เท่านี้ทุกอย่างจะดีขึ้น
การสื่อสารให้ประชาชนรู้ความจริงเท่านั้น ที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและแก้ปัญหาความโกลาหลของวัคซีนที่มีไม่พอ”
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=4722113514482435&id=142436575783508
กสิกรไทย ประเมินหนี้สาธารณะ พุ่งเกิน 60% ชี้ฉีดวัคซีนเร็ว ปลายปีเศรษฐกิจฟื้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_2768743
กสิกรไทย ประเมินหนี้สาธารณะ พุ่งเกิน 60% ชี้ฉีดวัคซีนเร็ว ปลายปีเศรษฐกิจฟื้น
นางสาว
ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ประมาณการเศรษฐกิจดังกล่าว อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่คาดว่าการระบาดในระลอกที่ 3 จะบรรเทาลงในช่วงเดือน ก.ค. โดยได้รวมผลบวกจากทิศทางการส่งออกที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการภาครัฐที่กำลังจะทยอยออกมาทั้งโครงการคนละครึ่งเฟส 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้แล้ว ขณะที่คาดว่าการเร่งกระจายฉีดวัคซีนจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ ซึ่งหากเร่งฉีดได้ในปริมาณที่มากพอกับการสร้างความเชื่อมั่นของครัวเรือนและธุรกิจ คงทำให้ภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 มีทิศทางที่เร่งตัวขึ้นอย่างมาก และเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้า
นอกจากเรื่องวัคซีนและการควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสแล้ว ภาครัฐยังต้องเตรียมรับมือกับอีก 4 โจทย์สำคัญ ได้แก่ ภาระทางการคลัง เงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน และต้นทุนธุรกิจที่กำลังเพิ่มขึ้น อันทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น
นางสาว
ณัฐพรกล่าวว่า ในระยะสั้น การขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นและการขยายเพดานหนี้สาธารณะยังไม่น่าจะเป็นประเด็น โดยคงจะเห็นระดับหนี้สาธารณะที่เกิน 60% ภายในปี 2565 แต่ในระยะกลาง หากยังมีการขาดดุลการคลังในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อาจจะนำมาสู่ประเด็นความเชื่อมั่นทางภาคการคลังของไทย ด้านโจทย์เงินเฟ้อไทยที่เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะเป็นปัจจัยชั่วคราวและคงไม่ทำให้ กนง.เปลี่ยนท่าทีนโยบายดอกเบี้ย แต่เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว มาในจังหวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว อีกทั้งหากเศรษฐกิจสหรัฐ เติบโตได้ดีก็จะทำให้เฟดส่งสัญญาณถอยออกจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย ซึ่งสุดท้ายแล้ว จะนำมาสู่ต้นทุนทางการเงิน ผ่านอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกรวมถึงไทย กดดันภาคธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มดีขึ้น
นางสาว
ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า เพิ่มเติมโจทย์เรื่องหนี้ภาคครัวเรือนจากผลสำรวจความคิดเห็นหลังมีโควิดรอบ 3 ว่า สถานการณ์หนี้รายย่อยถดถอยลง โดยมีกลุ่มเปราะบางที่เผชิญทั้งปัญหารายได้ลด ค่าใช้จ่ายไม่ลด และภาระหนี้สูงเกินกว่า 50% ต่อรายได้ เพิ่มขึ้นจาก 10.8% ในโควิดรอบ 2 มาที่ 22.1% ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นและน่าจะแตะระดับ 90% ต่อจีดีพีภายในปีนี้ จะมีผลให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องกลับมาดูแลอย่างจริงจัง หลังผ่านโควิดรอบนี้
นางสาว
เกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า คือ การปรับขึ้นของต้นทุนหรือราคาสินค้า กระทบต่อธุรกิจซื้อมาขายไป ในช่วงเวลาที่โควิดฉุดกำลังซื้อและตลาดมีการแข่งขันสูง ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี โดยประเมินเบื้องต้นว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น 1% จะกระทบค้าปลีก เอสเอ็มอี ประมาณ 23,600-23,800 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ประกอบการเผชิญข้อจำกัดในการผลักภาระไปให้กับผู้บริโภค ขณะที่มาตรการรัฐมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ในทางตรงข้าม หากเศรษฐกิจดี ปัญหาหรือผลกระทบนี้ คงมีขนาดที่ลดลง ทั้งนี้ต้องติดตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังจากนี้ ซึ่งจะมีผลต่อเส้นทางการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกในช่วงที่เหลือของปี
JJNY : เชื่อมั่นดิ่งสุดเป็นประวัติการณ์│แนะสธ.พูดความจริง วัคซีนไม่พอ│ประเมินหนี้สาธารณะพุ่งเกิน60%│สุทินเผยยื่นแก้รธน.
https://www.matichon.co.th/economy/news_2768674
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์ พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 2,243 คน พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ 44.7 ลดลงจากเดือนเมษายน 2564 ซึ่งอยู่ที่ 46 โดยดัชนีลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในรอบ 272 เดือน หรือต่ำสุดในรอบ 22 ปี 8 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 38.9 ลดลงจาก 40.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 41.3 ลดลงจาก 42.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 53.9 ลดลงจาก 54.7 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลกระทบในการแพระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด ส่งผลให้ดัชนียังปรับตัวลดลงทุกรายการ
สำหรับปัจจัยลบสำคัญที่ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นเดือนพฤษภาคม ได้แก่ ความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตต่อประชาชนและภาคธุรกิจ การกระจายวัคซีนโควิด-19 ที่ยังไม่แน่อน สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 1/2564 ติดลบ 2.6% และปรับลดคาดการณ์จีดีพี ปี 2564 เหลือ 1.5-2.5% ปัญหาราคาน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้น ความกังวลเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ ความกังวลภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้รายได้ไม่สอคล้องค่าครองชีพ และปัญหาเงินบาทแข็งค่า
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่ รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ การฉีดวัคซีนในประเทศเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% การส่งออกเดือนเมษายน ขยายตัว 13% และราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น
หมอชนบท แนะสธ. พูดความจริง วัคซีนไม่พอ รับจนท.เครียด เจอเพ่งโทษ ห้ามเลื่อนฉีด
https://www.matichon.co.th/politics/news_2768903
แพทย์ชนบท แนะสธ. พูดความจริง วัคซีนไม่พอ รับหน้างานโกลาหน จนท.เครียด เจอเพ่งโทษเลื่อนฉีด
วันนี้ (10 มิ.ย.) เพจ ชมรมแพทย์ชนบท ได้เผยแพร่ข้อเขียน เรื่อง “ลับลวงพราง วัคซีนโควิด ตอน 9 : 10-06-64” โดยระบุว่า
“วัคซีนไม่พอฉีด เจ้าหน้าที่เครียดมาก เพราะใคร ..ท่านรู้ไหม
วัคซีนที่ได้มาหมดแล้ว แต่ห้ามประกาศเลื่อน เจ้าหน้าที่หน้างานเครียด ร้องโฮไปแล้วหลายโรงพยาบาล
วันนี้วันที่ 4 ของการ kick off หลายโรงพยาบาลไม่มีวัคซีนเหลือแล้ว แม้จะพยายามดูดวัคซีนแอสตร้าให้ได้ขวดละ 12 โดส บวกกับซิโนแวคที่เสริมมาแล้วก็ยังไม่พอกับคนที่จองไว้
หลายโรงพยาบาลเริ่มท้อใจ เพราะผู้จองวัคซีนกับหมอพร้อมยังเดินทางมาขอฉีดวัคซีนตามนัด แต่ไม่มีวัคซีนให้ฉีด หลายคนยืนยันว่า รมต.บอกว่า วัคซีนพอไง วัคซีนหายไปไหน สร้างแรงกดดันกับเจ้าหน้าที่หน้างานและโอเปอร์เรเตอร์รับโทรศัพท์อย่างมาก จะประกาศเลื่อนนัดออกสื่อก็ไม่ได้เพราะรัฐมนตรีขู่เพ่งโทษเอาไว้
อย่างน้อยในสัปดาห์นี้ พบว่า หลายจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคกลาง ได้รับจัดสรรวัคซีนไม่พอสำหรับฉีดให้คนที่จองหมอพร้อม และเชื่อว่า สัปดาห์หน้าจะวิกฤตกว่าสัปดาห์นี้ วัคซีนแอสตร้าที่สยามไบโอไซน์ ผลิตได้จะมาน้อยมาก เขาต้องส่งให้ต่างประเทศด้วย จะมีก็วัคซีนซิโนแวคที่มาประคองแก้ขัดไปก่อน
ปัญหานี้ต้องรีบแก้ จริงๆแก้ได้ด้วย 2 วิธีการที่ไม่ยาก
1. แก้ไขที่แอป “หมอพร้อม” แทนที่จะส่งข้อความแจ้งเตือนให้ไปฉีดวัคซีนตามนัดเดิมเท่านั้น ก็เปิดช่องให้ทางโรงพยาบาลสามารถเปลี่ยนข้อความได้ด้วย อาทิ เปลี่ยนมาเป็นว่า “โปรดรอการยืนยันจากทางโรงพยาบาล” “หากได้รับจัดสรรวัคซีนเพียงพอ จะติดต่อนัดหมายท่านมาฉีดต่อไป” เช่นนี้ก็จะยุติความโกลาหลลงได้มาก
2. การให้ข่าวของผู้บริหารระดับสูงที่ควรบอกความจริง ไม่ใช่บอกว่า วัคซีนพอ โดยเอายอดภาพรวมเดือนมิถุนายนมาชี้แจงกับสื่อกับประชาชน แต่นั่นคือยอดที่จะมาสิ้นเดือน ไม่ใช่ยอดในมือวันนี้ ความจริงคือปัจจุบันหลายพื้นที่วัคซีนไม่พอ ทำให้ประชาชนบางส่วนไปกดดันกับโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เขาเครียดจนเริ่มไม่ไหวกันแล้ว
ขอให้ รมต.เพียงแค่เปลี่ยนวิธีพูด แทนที่จะยืนยันว่า “วัคซีนมีพอ ไม่มีการเลื่อน” ก็พูดใหม่ว่า “วัคซีนในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้มาน้อยกว่ายอดที่ควรจะได้รับ พื้นที่ที่มียอดจองมากต้องมีการเลื่อนฉีดออกไป วัคซีนส่วนหนึ่งต้องเอาไปใช้ในพื้นที่ระบาดสูงด้วย โรงพยาบาลสามารถทำความเข้าใจบอกเลื่อนประชาชนได้ เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจ” แบบนี้ทำเป็นไหม และอย่าลืมสั่งปรับแก้แอปหมอพร้อมให้เหมาะกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปด้วย เท่านี้ทุกอย่างจะดีขึ้น
การสื่อสารให้ประชาชนรู้ความจริงเท่านั้น ที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและแก้ปัญหาความโกลาหลของวัคซีนที่มีไม่พอ”
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=4722113514482435&id=142436575783508
กสิกรไทย ประเมินหนี้สาธารณะ พุ่งเกิน 60% ชี้ฉีดวัคซีนเร็ว ปลายปีเศรษฐกิจฟื้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_2768743
กสิกรไทย ประเมินหนี้สาธารณะ พุ่งเกิน 60% ชี้ฉีดวัคซีนเร็ว ปลายปีเศรษฐกิจฟื้น
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ประมาณการเศรษฐกิจดังกล่าว อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่คาดว่าการระบาดในระลอกที่ 3 จะบรรเทาลงในช่วงเดือน ก.ค. โดยได้รวมผลบวกจากทิศทางการส่งออกที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการภาครัฐที่กำลังจะทยอยออกมาทั้งโครงการคนละครึ่งเฟส 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้แล้ว ขณะที่คาดว่าการเร่งกระจายฉีดวัคซีนจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ ซึ่งหากเร่งฉีดได้ในปริมาณที่มากพอกับการสร้างความเชื่อมั่นของครัวเรือนและธุรกิจ คงทำให้ภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 มีทิศทางที่เร่งตัวขึ้นอย่างมาก และเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้า
นอกจากเรื่องวัคซีนและการควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสแล้ว ภาครัฐยังต้องเตรียมรับมือกับอีก 4 โจทย์สำคัญ ได้แก่ ภาระทางการคลัง เงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน และต้นทุนธุรกิจที่กำลังเพิ่มขึ้น อันทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น
นางสาวณัฐพรกล่าวว่า ในระยะสั้น การขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นและการขยายเพดานหนี้สาธารณะยังไม่น่าจะเป็นประเด็น โดยคงจะเห็นระดับหนี้สาธารณะที่เกิน 60% ภายในปี 2565 แต่ในระยะกลาง หากยังมีการขาดดุลการคลังในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อาจจะนำมาสู่ประเด็นความเชื่อมั่นทางภาคการคลังของไทย ด้านโจทย์เงินเฟ้อไทยที่เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะเป็นปัจจัยชั่วคราวและคงไม่ทำให้ กนง.เปลี่ยนท่าทีนโยบายดอกเบี้ย แต่เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว มาในจังหวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว อีกทั้งหากเศรษฐกิจสหรัฐ เติบโตได้ดีก็จะทำให้เฟดส่งสัญญาณถอยออกจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย ซึ่งสุดท้ายแล้ว จะนำมาสู่ต้นทุนทางการเงิน ผ่านอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกรวมถึงไทย กดดันภาคธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มดีขึ้น
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า เพิ่มเติมโจทย์เรื่องหนี้ภาคครัวเรือนจากผลสำรวจความคิดเห็นหลังมีโควิดรอบ 3 ว่า สถานการณ์หนี้รายย่อยถดถอยลง โดยมีกลุ่มเปราะบางที่เผชิญทั้งปัญหารายได้ลด ค่าใช้จ่ายไม่ลด และภาระหนี้สูงเกินกว่า 50% ต่อรายได้ เพิ่มขึ้นจาก 10.8% ในโควิดรอบ 2 มาที่ 22.1% ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นและน่าจะแตะระดับ 90% ต่อจีดีพีภายในปีนี้ จะมีผลให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องกลับมาดูแลอย่างจริงจัง หลังผ่านโควิดรอบนี้
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า คือ การปรับขึ้นของต้นทุนหรือราคาสินค้า กระทบต่อธุรกิจซื้อมาขายไป ในช่วงเวลาที่โควิดฉุดกำลังซื้อและตลาดมีการแข่งขันสูง ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี โดยประเมินเบื้องต้นว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น 1% จะกระทบค้าปลีก เอสเอ็มอี ประมาณ 23,600-23,800 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ประกอบการเผชิญข้อจำกัดในการผลักภาระไปให้กับผู้บริโภค ขณะที่มาตรการรัฐมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ในทางตรงข้าม หากเศรษฐกิจดี ปัญหาหรือผลกระทบนี้ คงมีขนาดที่ลดลง ทั้งนี้ต้องติดตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังจากนี้ ซึ่งจะมีผลต่อเส้นทางการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกในช่วงที่เหลือของปี