2หนังซีรีย์พวกนี้เป็นละครไทยจะเกิดอะำรขึ้นลองแคสระหว่างช่อง7ช่อง3thariathtvช่อง8ช่องgmm25one31pptvamarintvtrue4u

กระทู้คำถาม
1 rlde or dle.                                        เรื่องย่อ                                         ภาพยนตร์เรื่อง Ride or Die ออกฉายทางเน็ตฟลิกซ์เมื่อเมษายน 2021 ดัดแปลงจากการ์ตูนลายเส้นดิบกร้านของ Chin Nakamura ว่าด้วยความสัมพันธ์แบบหญิง-หญิงของของเร (กิโกะ มิซูฮาระ) ศัลยแพทย์ผู้มาจากครอบครัวร่ำรวย กับนานาเอะ (โฮนามิ ซาโตะ) หญิงสาวยากจนที่ถูกสามีทุบตีเป็นประจำ ทั้งคู่เป็นเพื่อนสมัยมัธยมที่ห่างเหินกันไปนาน อยู่ดีๆ วันหนึ่งนานาเอะก็ติดต่อหาเรและขอร้องให้ช่วยฆ่าสามีของเธอ ด้วยเหตุผลกลใดมิอาจทราบแต่เรย์ก็ทำตามคำขอของนานาเอะ

ride or die

จากนั้นทั้งคู่ขับรถหนีไปด้วยกัน จน Ride or Die กลายสภาพเป็น Thelma & Louise (1991) เวอร์ชั่นญี่ปุ่น อ่านเพียงเรื่องย่อหลายท่านคงเดาได้ว่าหนังเรื่องนี้บอกเล่าถึงสังคมชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงที่ถูกความเป็นชายกดทับ สถานะเลสเบี้ยนที่เป็นคนนอก ซึ่งผู้เขียนคงไม่ลงลึกถึงประเด็นเหล่านั้นเพราะหนังบอกเล่าอย่างชัดเจนอยู่แล้ว จึงอยากจะเขียนถึงแง่อื่นมากกว่า

อย่างแรกที่ผู้เขียนคิดว่าน่าสนใจสำหรับหนังเรื่องนี้คือเทคนิคภาพยนตร์ที่เน้นการถ่ายแบบ long take หรือการถ่ายยาวโดยไม่ตัดต่อที่ปรากฏอยู่หลายฉาก จุดประสงค์ของการลองเทคในเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการโชว์ความอลังการของการเคลื่อนกล้องแต่เป็นการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครอย่างต่อเนื่อง ฉากสำคัญน่าจะเป็นฉากเซ็กซ์ระหว่างตัวละครนำ ในเวลาประมาณสิบนาทีกิโกะต้องเล่นทั้งฉากหัวเราะ ถึงจุดสุดยอด ร้องไห้ ถือเป็นฉากที่ซับซ้อนสับสนแต่ก็น่าประทับใจเช่นกัน


ลักษณะเด่นชัดอีกอย่างของหนังคือ ‘ความผิดที่ผิดทาง’ อาจจะเริ่มตั้งแต่การที่คนอย่างเร–ผู้ซึ่งเพียบพร้อมทุกอย่างยอมทิ้งอาชีพและฐานะมาร่วมหัวจมท้ายกับนานาเอะที่เหมือนอยู่คนละโลกกับเธอ เรพูดในฉากหนึ่งว่าตัวเธอนั้นเหมือนค้นพบความรักตอนวัยใกล้สามสิบ หนังย้ำสารตรงนี้ด้วยการใช้เพลง CHE.R.RY (2007) ของ YUI เพลงป๊อปว่าด้วยอาการเขินอายของวัยรุ่นที่ดันกลายเป็นเพลงธีมของผู้หญิงวัยเลขสามคู่หนึ่งที่เพิ่งฆ่าคนตายมา

‘ความคลุมเครือ’ ยังเป็นอีกหัวใจของ Ride or Die ความสัมพันธ์ของเรกับนานาเอะไม่เคยถูกระบุชัดเจนว่าเป็นคู่รัก พวกเขาเปลี่ยนนิยามของมันไปมาระหว่างเพื่อน คนรัก และครอบครัว จุดที่ดีคือนี่ไม่ใช่เรื่องราวความสัมพันธ์สุดแสนโรแมนติก แต่มันแฝงด้วยการใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน นานาเอะต้องพึ่งพาเรเพราะเธอรวยกว่าและใจกล้ากว่า ส่วนเรก็ใช้นานาเอะเป็นข้ออ้างในการหลุดจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง ถึงจุดหนึ่งทั้งคู่ก็ไม่ปิดบังความเห็นแก่ตัวที่มีต่อกัน ตามมาด้วยการด่าทอตบตีอันแสนเจ็บปวด

สิ่งสำคัญสุดท้ายที่หนังจงใจทิ้งไว้ให้ผู้ชมถอดรหัสคือเรื่องของ ‘รอยยิ้ม’ เรบอกว่าเหตุผลที่เธอยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อนานาเอะก็เพราะเรื่องง่ายๆ (และอาจฟังดูโง่สำหรับบางคน) ว่าตอนที่นานาเอะยิ้มให้เธอวันที่เจอกันครั้งแรก นับจากนั้นการรับรู้ของเธอก็ถูกทำลายและมอบหัวใจให้อีกฝ่ายทันที ส่วนในช่วงท้ายของหนังเราก็ได้เห็นรอยยิ้มของฝ่ายเรบ้าง แม้จะดูเป็นการฝืนยิ้มเพื่อให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับอีกฝ่าย (และตัวเอง) แต่ไม่ว่าจะมองยังไง นั่นคือรอยยิ้มของคนที่ชีวิตถูกทำลายไปแล้วเสียมากกว่า

2 your name engrawed herein.             เรื่ิงย่อ                                                      เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากความทรงจำในช่วงมัธยมปลายของผู้กำกับ Patrick Kuang-Hui Liu (แพทริค หลิว) ซึ่งเขาได้นำความทรงจำบางส่วนที่เป็นชีวิตจริงของเขาเอง มาเป็นพล็อตของเรื่องที่บอกเล่าความแทนความรู้สึกของเกย์ที่ต้องต่อสู้กับทัศนคติทางสังคม เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของเขา และสามารถกวาดรายได้ไปมากกว่า 100 ล้านเหรียญไต้หวัน จนคว้ารางวัลใหญ่อย่าง The Golden Horse Award 2020 (ม้าทองคำ) มาครอง


Your Name Engraved Herein
เรื่องราวของ ชางเจียฮั่น/อาฮั่น (เอ็ดเวิร์ด เฉิน) และ หวังป๋อเต๋อ/เบอร์ดี้ (เจิง ชินฮัว) นักเรียนชาย ม. ปลาย 2 คนในโรงเรียนประจำชายล้วน ที่ได้พบกับมิตรภาพและรักแท้ที่มีต่อกัน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของไต้หวันจากสังคมอนุรักษ์นิยม สู่ประเทศที่เป็นมิตรกับกลุ่ม LGBTQ มากที่สุดในเอเชีย ภาพยนตร์เล่าย้อนไปในบรรยากาศของยุค 1980s ที่ไต้หวันเพิ่งยกเลิกกฎอัยการศึก และโรงเรียนประจำชายล้วนเริ่มเปิดรับนักเรียนหญิงเข้าเรียนเป็นครั้งแรก ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องเผชิญกับภาวะของการตัดสินใจหลายด้าน ทั้งสังคมที่ความเท่าเทียมและการยอมรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศยังไม่เปิดกว้างเท่าปัจจุบัน ทั้งความขัดแย้งในตัวเอง เรียกว่าเป็นศึกหนักของกลุ่มเพศทางเลือกในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้

เมื่อความรักเกิดการตั้งคำถาม
ภาพยนตร์สร้างตัวละครหลักขึ้นมาคือ อาฮั่น เด็กหนุ่มตั้งคำถามต่อเพศสภาวะของตัวเอง เมื่อเขาเริ่มรู้สึกดีกับ เบอร์ดี้ เพื่อนชายที่ร่วมวงโยธวาทิตด้วยกัน จนกลายเป็นเพื่อนซี้และมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันในที่สุด แต่ทว่า บรรยากาศของโรงเรียนคาทอลิกการรักเพศเดียวกันถือเป็นสิ่งต้องห้าม และหนักไปในทางผิดบาป บรรยากาศของหอนักเรียนชายที่เคร่งครัดไปด้วยกฎระเบียบ ความคาดหวังของครอบครัวชาวจีนที่ลูกชายเป็นความหวังสูงสุดของบ้าน สภาพสังคมที่ถูกควบคุมด้วยการเมืองช่วงผลิบาน และการไม่ยอมรับของสังคมทำให้เบอร์ดี้พยายามตีตัวออกห่าง และเริ่มคบหากับ ปันปัน (มิมิ เฉียว) เพื่อนนักเรียนหญิงด้วยกันเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวตน

ADVERTISEMENT



Your Name Engraved Herein
คำถามแรกเกิดขึ้นทันทีเลยว่าทำไมความรักของเพศเดียวกันจึงเป็นเรื่องผิดบาป ในหลักการศาสนา เรื่องนี้ไม่ใช่แค่คนดูเท่านั้นที่ตั้งคำถามแต่อาฮั่น ซึ่งเป็นตัวแทนของวัยรุ่นในสมัยนั้นก็ตั้งคำถามด้วยความเจ็บปวด คุณชอบผู้หญิงได้ผมชอบผู้ชายไม่ได้สินะ ความรักของคุณยิ่งใหญ่กว่าผมเหรอ ความรักของคุณกับผมมันต่างกันตรงไหน อาฮั่นใส่อารมณ์ด้วยประโยคนี้กับ คุณพ่อโอลิเวอร์ (Fabio Grangeon) ที่เป็นทั้งบาทหลวงและครูผู้ควบคุมวงดนตรี เมื่อเขามาสารภาพความในใจ


Your Name Engraved Herein
ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากด้วยข้อพระคัมภีร์ song of solomon 8:7 (เพลงโซโลมอน บทที่ 8 ข้อที่ 7 ) “น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น คนนั้นจะได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง” พระเจ้าไม่ได้กีดกันความรักค่ะ แต่พระองค์บอกว่า ไม่มีอะไรจะงดงามเท่ากับการแสดงความรัก แต่ความพยายามที่จะซื้อหาความรักด้วยเงินทอง เป็นสิ่งที่น่าดูหมิ่น ความรักซื้อไม่ได้และบังคับไม่ได้ค่ะ มันไม่ยั่งยืน


Your Name Engraved Herein
ซึ่งบทพยายามจะสื่อให้เราเข้าใจในพระคัมภีร์ข้อนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก เพราะฉะนั้นความเข้าใจในข้อพระคัมภีร์ มักจะถูกตีความโดยมนุษย์ไปตามความเข้าใจของแต่ละคนได้หลายทาง ซึ่งความเข้าใจของผู้กำกับเขาก็ตีความไปทางนี้นะคะ จากการสื่อสารตลอดทั้งเรื่องไปจนถึงตอนจบ ด้วยอารมณ์ของภาพ ด้วยดนตรีประกอบที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศเพลงแจ๊สเบา ๆ สร้างความรู้สึกให้อุ่นลึกเข้าไปอีก หนังพยายามสื่อให้เห็นอีกว่าเรื่องนี้มันเป็นไปได้ยากซะเหลือเกินในยุคสมัยนั้น ก็แปลว่าเป็นไปไม่ได้นั่นแหละ เพราะถึงแม้สังคมจะบอกว่าบ้านเมืองได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ความจริงแล้วมันไม่เคยเปลี่ยน

เมื่อความรักอยู่บนความไม่ยอมรับของสังคม
ใครที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศย่อมตกเป็นเป้าของสังคม ต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้ง ดูถูกเหยียดหยาม นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมสมัยนั้น ทำให้อาฮั่นและเบอร์ดี้ต้องปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้จากสังคมโดยรอบ เพราะในยุคนั้นการเรียกร้องสิทธิเพื่อคนรักเพศเดียวกัน ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยในสังคมไต้หวัน ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว ก็เป็นแบบนี้กันทั่วเอเชียตะวันออกนั่นแหละนะ


Your Name Engraved Herein
แต่ความรู้สึกที่ถูกกดทับความต้องการ ได้ถูกเทไปที่อาฮั่นให้ต้องรับบทหนัก เพราะต้องแบกความรู้สึกของตัวเองที่เปิดเผยไมได้ ทั้งที่อยากเปิดเผยใจจะขาดเอาไว้เพียงลำพัง เบอร์ดี้เลือกที่จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองด้วยการปิดบังตัวตนไปในทางที่ตรงกันข้ามกับหัวใจ ซึ่งผลของมันก็จะออกมาในรูปแบบที่คุ้นเคยกันดีในสังคมปัจจุบัน


Your Name Engraved Herein
สื่อสารชัดเจนที่ภาพยนตร์ทำให้เราเห็นอีกด้านหนึ่งก็คือ สองคนนี้เขารักกันเหลือเกิน ด้วยความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง โหยหาขึ้นเรื่อย ๆ แต่การจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมสมัยนั้นต่อไปได้อย่างปกติสุข การทำตามหัวใจตัวเองยังไม่ใช่คำตอบ ทำให้คนหนึ่งต้องเลือกทางเดินชีวิตที่สังคมยอมรับถึงแม้ว่าจะมีคนหนึ่งต้องใจสลาย และทำได้เพียงเก็บความรู้สึกนั้นไว้ส่วนลึกของหัวใจ ณ จุดนี้ใครที่เป็น LGBTQ และผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาไม่ต่างกับตัวละคร รับรองว่ามีน้ำตาแตกกันหลายไห

กับจุดจบที่ยืนยันว่า ความรักไม่มีวันจบ
ภาพยนตร์พาเราเดินทางมาถึงตอนจบซึ่งเป็นยุคปัจจุบันที่ อาฮั่นและเบอร์ดี้อยู่ในวัยกลางคน โดยทิ้งรายละเอียดที่ผ่านมา หลังจากที่สองคนตัดสินใจกับชีวิตของตัวเองไปทั้งหมด คือไม่เล่าแล้ว ปล่อยให้เราน้ำตาแตกแล้วแก่เลย เรียกว่ามาขมวดจบในตอนท้ายจึ๋งเดียว เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม และทำให้ประโยคที่ว่า “รักแรกของทุกคน ยิ่งใหญ่พอ ๆ กับหนังเรื่องดังนั่นแหละ” มีความหมายมากขึ้นไปอีก ในจุดนี้เข้าใจผู้กำกับเลยค่ะ ว่าเขาต้องผ่านช่วงเวลาที่อัดอั้นมานานขนาดไหน กว่าจะมีชีวิตอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วและเป็นไปในแบบที่พวกเขาในยุคก่อนไม่เคยจะนึกถึง


Your Name Engraved Herein
การเล่าเรื่องทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องบอกเลยว่าเป็นไปอย่างกระชับแต่ก็ไม่ยอมทิ้งรายละเอียดด้านความรู้สึกใด ๆ เลย โดยเฉพาะความรู้สึกในวัยเด็กที่พยายามเน้นหนักและสื่ออย่างตั้งใจเลยว่า ฉันอึดอัดนะ ฉันโดนกดความรู้สึกเอาไว้ด้วยสภาพสังคมนะ ฉันต่างก็ต่อสู้กับมันด้วยวิธีของฉัน มองความรักที่ผ่านมาของฉันสิว่ามันสวยงามและทุกข์ทรมานขนาดไหน ฉันผ่านมันมาด้วยความยากลำบาก แล้วเห็นไหมว่าสุดท้ายความรักของฉันยังคงอยู่ แต่ฉันกลับไม่เคยได้ดื่มด่ำกับมันในช่วงเวลานั้น และฉันก็ยังไม่เคยลืม


Your Name Engraved Herein
ฉากแต่ละฉากที่ภาพยนตร์สื่อสารออกมา สามารถเรียกน้ำตาและความรู้สึกร่วมออกมาได้ง่าย ๆ ในส่วนนี้นักแสดงและบทมีส่วนทำให้เกิดความรู้สึกนั้นเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเนื้อหาจะเน้นหนักไปที่ช่วงชีวิตวัยเด็ก โดยปล่อยให้อีกช่วงวัยหนึ่งกลายเป็นบทสรุป ก็ถือเป็นคำถามที่เรารู้คำตอบดีอยู่แล้ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องล่วงรู้ชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขา นักแสดงวัยผู้ใหญ่ออกมาปิดจ็อบในช่วงไม่กี่นาทีได้ดีเลยทีเดียวค่ะ กับประโยคที่ว่า

See also
6
Jupiter's Legacy
In beartai BUZZทีวี-ซีรีส์on 07/05/2021
[รีวิวซีรีส์] Jupiter’s Legacy: ฮีโรมีปม เริ่มมาดูมีอะไร แต่ยิ่งเล่นไปยิ่งน่าเบื่อ
“ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าอีก 30 ปีข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนไปขนาดนี้”

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส


ความสมบูรณ์ของบท
7.5
คุณภาพงานสร้าง
8
คุณภาพนักแสดง
8
คุณภาพการเล่าเรื่อง
7.5
ความคุ้มค่าในการรับชม
8
คะแนนจากผู้อ่าน18 Votes
7.5
จุดเด่น
นักแสดงนำ เอ็ดเวิร์ด เฉิน และ เจิง ชินฮัว งานดีไม่มีที่ติจ้ะ
เป็นหนังที่ชาว LGBTQ ที่ผ่านช่วงเวลาในยุค 90s มาแล้ว อาจน้ำตาร่วง เพราะน่าจะจี้ใจและตรงกับชีวิตของใครหลาย ๆ คน เตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้เลยนะ
เพลงประกอบดีมาก จนดึงให้เราเคลิ้มเข้าไปในบรรยากาศยุคคลาสสิค ชอบค่ะ
จุดสังเกต
หนังมีการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์ และได้อธิบายเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ในเนื้อหา แต่...เป็นความเข้าใจเฉพาะที่ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้
บทและการเล่าเรื่องเน้นหนักในช่วงวัยรุ่น และเทรายละเอียดความรู้สึกมากไปนิด จนดูออกเลยว่านี่คือความอัดอั้นตันใจที่อยากระบายมากจริง ๆ
7.8
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
มาร์ก รัฟฟาโล เผย “เควิน ไฟกี เกือบจะออกจากมาร์เวล หลังพยายามต่อสู้ให้มาร์เวลสร้างหนังซูเปอร์ฮีโรหญิง”
หนัง LGBTQ+ ตลอด 20 ปี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่