ตามความเชื่อในศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ของรัสเซีย เชื่อกันว่าระฆังมีวิญญาณ เพราะมีเพียงสิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่สามารถมีได้ ระฆังจึงถือว่ามีชีวิต
และจะได้รับการปฏิบัติเหมือนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งระฆังโบสถ์ ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นพลเมืองที่โดดเด่นของหมู่บ้าน ซึ่งไม่เพียงมีเสียงดังที่หนักแน่น ระฆังยังสามารถได้ยินในที่ไกลๆได้
ระฆังที่ส่งเสียงไปจากโบสถ์นั้น จะบอกเครื่องหมายของวันหยุด บอกทางสำหรับผู้ที่หลงทางในพายุหิมะ เตือนการโจมตีของศัตรู ไฟไหม้ สภาพอากาศที่หนักหน่วง และแม้แต่การรุกรานของสัตว์ร้าย รวมทั้งระฆังจะดังขึ้นเมื่อบุคคลเกิดหรือถูกฝัง ดังนั้นระฆังจึงมีชื่อเหมือนมนุษย์ แม้กระทั่งส่วนต่าง ๆ ของระฆังก็ยังถูกตั้งชื่อตามส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ เช่น หัว เอว ปาก ลิ้น และหู
และถึงแม้ตัวระฆังจะไม่มีจิตใจ ไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่ระฆังก็อาจถูกประหารชีวิตและถูกเนรเทศได้ถ้าส่งเสียงผิดเวลา รวมถึงการถูกลงโทษครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นเดียวกับผู้กระทำผิดต่อเวลาหรือต่อคน
ย้อนไปในปี ค.ศ.1592 ในเมือง Uglich ประเทศรัสเซียได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น นั่นคือระฆังหนัก 320 กิโลกรัมถูกลากไปที่จัตุรัสกลางเมือง แล้วให้
ช่างตีเหล็กมาตัด "ลิ้น" ของระฆัง (กระดิ่งภายในระฆัง) และตัด "หู" ของมันออก (อุปกรณ์ที่ติดอยู่กับระฆัง) หลังจากนั้น ระฆังถูกเฆี่ยนด้วยแส้หนัก 12 ครั้งและตามด้วยถูกเนรเทศให้ไปกับชาว Uglich ประมาณ 60 ครอบครัวซึ่งถูกเนรเทศไปยังเมือง Tobolsk ในไซบีเรียเช่นกัน โดยลากระฆังไปกับพวกเขาเป็นเวลาประมาณหนึ่งปี
ระฆังพลัดถิ่นของ Uglich Cr.ภาพ kukmor.livejournal.com
ระฆัง Uglich นั้นถูกลงโทษเนื่องจากส่งเสียงเตือนเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ.1591 หลังจากการสังหาร Tsarevich Dmitry ลูกชายคนสุดท้ายของ Ivan the Terrible และเพราะการส่งเสียงเตือนของระฆังที่ทำให้เกิดการจลาจลขึ้น ซึ่งมีคนหลายคนรวมทั้งทหารจากมอสโกถูกฝูงชนสังหาร แต่ทำไมต้องสำเร็จโทษระฆังด้วย มันมีความผิดอะไร
เรื่องราวทั้งหมดดังกล่าวมีที่มาจาก Ivan the Terrible ที่เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1584 เขาได้ทิ้งลูกชายสองคนไว้เบื้องหลัง ซึ่งทั้งสองคนไม่เหมาะที่จะสืบสานมรดกตกทอดของบิดาของตน คนหนึ่งคือ Fyodor Ivanovich ซึ่งเติบโตขึ้นมาภายใต้ร่มเงาของพ่อที่แย่มากและถูกปฏิเสธจากความรักของแม่ จนกลายเป็นคนขี้อาย ขี้กลัว และสุขภาพไม่ดี แต่เขาเป็นคนตรงกันข้ามกับพ่อของเขาอย่างสิ้นเชิง โดยเป็นผู้เคร่งศาสนา ชอบไปโบสถ์และใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอธิษฐานและการไตร่ตรอง
ส่วนลูกชายอีกคนชื่อ Dmitri Ivanovich ที่ตอนนั้นยังเป็นทารกอายุ 3 ขวบ ซึ่งจริงๆแล้ว Ivan มีทายาทที่มีความสามารถอีกคนคือ Ivan Ivanovich ลูกชายคนโต แต่เมื่อสามปีก่อน Ivan the Terrible ได้ตีหัวลูกชายของเขาอย่างรุนแรงด้วยความโกรธจนตาย เมื่อไม่มีทายาทที่ดี Ivan the Terrible จึงถูกบังคับให้แต่งตั้ง Boris Godunov เป็นผู้สำเร็จราชการและปกครองในนามของ Fyodor
ความตายของ Dmitri Ivanovich / Cr.ภาพ Wikimedia Commons
7 ปีต่อมาในปี 1592 Dmitri ถูกพบว่าเสียชีวิตด้วยบาดแผลที่คอ โดยสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรม และผู้สนับสนุนของ Dimitri ได้ทำการจลาจลครั้งใหญ่ด้วยการตีระฆังของ Uglich ซึ่งผู้ต้องสงสัยคนแรกคือ Godunov จากการจลาจลรุนแรงเกิดขึ้นในระหว่างนั้น ประชาชนที่โกรธแค้นได้ประชาทัณฑ์
ผู้ลอบสังหาร 15 คน รวมทั้งตัวแทนท้องถิ่นของรัฐบาลมอสโก แต่หลังจากที่ Godunov ส่งกองกำลังไปในทันที การจลาจลก็ถูกระงับอย่างรวดเร็วและผู้ก่อจลาจลถูกจับกุม แม้แต่ระฆังก็โดนด้วย
ในการปลุกระดมให้เกิดการจลาจล Godunov ได้สั่งให้ถอดระฆังขนาด 320 ตันของ Uglich และลากเข้าไปในจัตุรัสกลางเมือง โดยให้ช่างตีเหล็กถอด
ลูกตุ้มของระฆังออก ซึ่งเทียบเท่ากับการฉีกลิ้นของระฆัง ช่างตีเหล็กยังตัด “หู” ของระฆังด้วย (ขอเกี่ยวโลหะเล็กๆ ที่ใช้แขวนระฆัง) พร้อมกับสั่งให้กระดิ่งถูกเฆี่ยนด้วยแส้หนักและถูกเนรเทศไปยังไซบีเรียพร้อมกับผู้ก่อการจลาจลประมาณ 60 ครอบครัวจาก Uglich โดยใช้เวลาหนึ่งปีในการลากระฆังหนักมหาศาลไปยังเมือง Tobolsk ซึ่งเป็นระยะทาง 1,400 ไมล์
เมื่อระฆังมาถึงเมือง Tobolsk เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็ขังมันไว้ในห้องขังและจารึกไว้ว่า " ผู้พลัดถิ่นที่ไม่มีชีวิตคนแรกจาก Uglich " หลายปีต่อมา ระฆังถูกนำไปติดตั้งไว้ที่มหาวิหาร St. Sophia เพื่อใช้บอกเวลาและเป็นสัญญาณเตือนไฟไหม้
การเนรเทศไปยังไซบีเรียครั้งแรกของระฆังที่มีชื่อเสียงของ Uglich ไปยัง Tobólsk ในปี 1593
โดยคำสั่งของ Boris Godunovซาร์ อันเนื่องมาจากการจลาจล
Cr.ภาพ en.wikisource.org
ต่อมาในปี 1869 ระฆังได้รับการศึกษาและอธิบายเป็นครั้งแรกและในปี 1892 ตามคำสั่งของจักรพรรดิ Alexander ที่ 3 เนื่องในโอกาสครบรอบ 300 ปีของการพลัดถิ่นของระฆัง ระฆังได้รับการอภัยโทษ และคณะผู้แทนของชาว Uglich ได้นำระฆังกลับไปยังที่เดิมที่เป็นของ Uglich ซึ่งได้เก็บรักษาไว้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
การประหารชีวิตระฆังของ Uglich ไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้น ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น ระฆังได้รับการปฏิบัติเหมือนบุคคลในรัสเซีย และต้องถูกพิจารณาคดีและการประหารชีวิต ทั้งนี้ ระฆังมักจะถูกรื้อลงจากหอคอยหลังจากที่เมืองหนึ่งถูกยึดครอง โดยในปี 1327 หลังจากปราบปรามการจลาจลต่อต้านคนเก็บภาษีชาว Mongol-Tatar เจ้าชายแห่งมอสโก Ivan Danilovich Kalita (ค.ศ. 1288-1340) ที่ใช้มองโกลเพื่อเอาชนะเจ้าชายแห่ง Tver ได้เผาเมืองและเข้าครอบครองระฆังของ Transfiguration Cathedral ใน Tver และส่งไปทำการหลอมละลายที่มอสโกเพื่อเป็นการลงโทษ
ชะตากรรมเดียวกันเกิดขึ้นกับระฆังของ Novgorod veche ในปี 1478 หลังจากที่ Ivan ที่ 3 แห่งมอสโคว์พิชิต Novgorod ได้ ซึ่งเขาได้สั่งให้ถอดระฆัง veche ออกจากหอระฆัง ทั้งนี้ veche นั้นเป็นอำนาจทางกฎหมายและตุลาการสูงสุดของสาธารณรัฐ Novgorod และระฆังเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจอธิปไตยและความเป็นอิสระของสาธารณรัฐ ซึ่งการควบคุมเมืองคงไม่เสร็จสมบูรณ์หากปราศจากการยึดระฆังที่สำคัญทั้งหมด
การถอดระฆังของ Novgorod veche / Cr. Wikimedia Commons
ในทำนองเดียวกัน เมื่อมกุฎราชกุมาร Vasiliy III แห่งมอสโก (บิดาของ Ivan the Terrible) ทำให้ชาว Pskov สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อมอสโก ได้ย้ายครอบครัว Pskov ที่สำคัญที่สุดประมาณ 300 ครอบครัวไปมอสโคว์ แต่ระฆังถูกลงโทษโดยการตัดหูและลิ้นออก
ยังมีระฆังที่ปลุก Tsar Fyodor ที่มีตำนานเล่าว่าปี 1681 ระฆังใน Moscow Kremlin (ป้อมปราการบริเวณใจกลางกรุงมอสโก) เคยถูกลงโทษเพราะปลุก Tsar แห่งรัสเซีย ซึ่งในเวลานั้นมีสุขภาพไม่ดีและต้องตื่นนอนตอนเที่ยงคืนเพราะเสียงระฆังของ Moscow Kremlin จากนั้นมีข่าวลือว่า เขาโกรธจัดและสั่งเนรเทศระฆังไปยังอาราม Nikolo-Korelsky ในเขต Arkhangelsk แต่ในตำนานไม่ได้กล่าวถึงการลงโทษใด ๆ สำหรับผู้ตีระฆัง
อย่างไรก็ตาม ในอาราม Nikolo-Korelsky เดิมมีระฆังที่ใช้เป็นระฆังปลุกในหอคอย Spasskaya ของ Moscow Kremlin แต่มันถูกถอดออกในรัชสมัยของ Alexey Mikhailovich (1629-1676) เพราะ Tsar ไม่ชอบเสียงของมัน ดังนั้นในปี 1681 ระฆังขนาด 2.5 ตันถูกส่งไปยังอาราม Nikolo-Korelsky เพื่อบริจาค โดยระฆังมีคำจารึกว่าถูกนำมาที่อารามเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1681 ว่า " เพื่อสุขภาพที่ยืนยาวของ Tsar และเพื่อความทรงจำนิรันดร์ของพ่อแม่ที่เคารพนับถือ "
ผู้ซ่อมแซมกำลังดำเนินการปรับปรุงหอระฆัง Spasskaya Tower ในมอสโก,สหภาพโซเวียต
เมืองประวัติศาสตร์ Uglich (ก่อตั้งในปี 1148) ตั้งอยู่บนโค้งแม่น้ำ Volga ที่สวยมาก(ชื่อของเมืองหมายถึง 'โค้ง)
เป็นจุดแวะแรกในการล่องเรือของนักท่องเที่ยวหลังจากที่ออกจากมอสโก Uglich มีโบสถ์เก่าแก่หลายหลังที่มีโดมหัวหอมหลากสีสัน
และมีพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับการผลิตวอดก้า ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยเป็นที่ตั้งของการสิ้นพระชนม์ของ Prince Dimitry
นักประวัติศาสตร์ยังคงไม่เข้าใจว่าใครเป็นผู้ก่อตั้ง Uglich และเกิดขึ้นเมื่อใด ตามข้อมูลบางส่วน Uglich ก่อตั้งโดย Prince Igor ในปี 937 หรือโดย Princess Olga ในปี 947 ส่วนแหล่งอื่นอ้างว่า Uglich ถูกกล่าวถึงในพงศาวดารทางประวัติศาสตร์ในปี 1148 เท่านั้น
Uglich มีท่าเรือล่องเรือในแม่น้ำโวลก้าในเขต Yaroslavl Oblast ประเทศรัสเซีย ซึ่งปัจจุบัน นักท่องเที่ยวบนเรือสำราญสามารถชมอารามคืนชีพ
ที่มีโบสถ์ขนาดใหญ่ หอระฆัง โรงอาหาร และโบสถ์ฤดูร้อน อาคารเหล่านี้ทั้งหมดตั้งเรียงเป็นแถวและมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 17 (1674-1677)
Cr.ภาพ cruisemapper.com/
ที่มา
- Georgy Manaev, How Russians executed BELLS, Russia Beyond
- Elif Batuman, The Bells, The New Yorker
Cr.
https://www.amusingplanet.com/2021/06/the-exiled-bell-of-uglich.html / KAUSHIK PATOWARY
Cr.
https://www.rbth.com/history/333771-how-russians-executed-bells / GEORGY MANAEV
Cr.
https://www.emporis.com/images/details/873357/facadedetail-bell-in-the-tower
Cr.
https://todiscoverrussia.com/uglich/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ระฆังที่ถูกเนรเทศแห่ง Uglich
และจะได้รับการปฏิบัติเหมือนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งระฆังโบสถ์ ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นพลเมืองที่โดดเด่นของหมู่บ้าน ซึ่งไม่เพียงมีเสียงดังที่หนักแน่น ระฆังยังสามารถได้ยินในที่ไกลๆได้
ระฆังที่ส่งเสียงไปจากโบสถ์นั้น จะบอกเครื่องหมายของวันหยุด บอกทางสำหรับผู้ที่หลงทางในพายุหิมะ เตือนการโจมตีของศัตรู ไฟไหม้ สภาพอากาศที่หนักหน่วง และแม้แต่การรุกรานของสัตว์ร้าย รวมทั้งระฆังจะดังขึ้นเมื่อบุคคลเกิดหรือถูกฝัง ดังนั้นระฆังจึงมีชื่อเหมือนมนุษย์ แม้กระทั่งส่วนต่าง ๆ ของระฆังก็ยังถูกตั้งชื่อตามส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ เช่น หัว เอว ปาก ลิ้น และหู
และถึงแม้ตัวระฆังจะไม่มีจิตใจ ไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่ระฆังก็อาจถูกประหารชีวิตและถูกเนรเทศได้ถ้าส่งเสียงผิดเวลา รวมถึงการถูกลงโทษครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นเดียวกับผู้กระทำผิดต่อเวลาหรือต่อคน
ย้อนไปในปี ค.ศ.1592 ในเมือง Uglich ประเทศรัสเซียได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น นั่นคือระฆังหนัก 320 กิโลกรัมถูกลากไปที่จัตุรัสกลางเมือง แล้วให้
ช่างตีเหล็กมาตัด "ลิ้น" ของระฆัง (กระดิ่งภายในระฆัง) และตัด "หู" ของมันออก (อุปกรณ์ที่ติดอยู่กับระฆัง) หลังจากนั้น ระฆังถูกเฆี่ยนด้วยแส้หนัก 12 ครั้งและตามด้วยถูกเนรเทศให้ไปกับชาว Uglich ประมาณ 60 ครอบครัวซึ่งถูกเนรเทศไปยังเมือง Tobolsk ในไซบีเรียเช่นกัน โดยลากระฆังไปกับพวกเขาเป็นเวลาประมาณหนึ่งปี
เรื่องราวทั้งหมดดังกล่าวมีที่มาจาก Ivan the Terrible ที่เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1584 เขาได้ทิ้งลูกชายสองคนไว้เบื้องหลัง ซึ่งทั้งสองคนไม่เหมาะที่จะสืบสานมรดกตกทอดของบิดาของตน คนหนึ่งคือ Fyodor Ivanovich ซึ่งเติบโตขึ้นมาภายใต้ร่มเงาของพ่อที่แย่มากและถูกปฏิเสธจากความรักของแม่ จนกลายเป็นคนขี้อาย ขี้กลัว และสุขภาพไม่ดี แต่เขาเป็นคนตรงกันข้ามกับพ่อของเขาอย่างสิ้นเชิง โดยเป็นผู้เคร่งศาสนา ชอบไปโบสถ์และใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอธิษฐานและการไตร่ตรอง
ส่วนลูกชายอีกคนชื่อ Dmitri Ivanovich ที่ตอนนั้นยังเป็นทารกอายุ 3 ขวบ ซึ่งจริงๆแล้ว Ivan มีทายาทที่มีความสามารถอีกคนคือ Ivan Ivanovich ลูกชายคนโต แต่เมื่อสามปีก่อน Ivan the Terrible ได้ตีหัวลูกชายของเขาอย่างรุนแรงด้วยความโกรธจนตาย เมื่อไม่มีทายาทที่ดี Ivan the Terrible จึงถูกบังคับให้แต่งตั้ง Boris Godunov เป็นผู้สำเร็จราชการและปกครองในนามของ Fyodor
ผู้ลอบสังหาร 15 คน รวมทั้งตัวแทนท้องถิ่นของรัฐบาลมอสโก แต่หลังจากที่ Godunov ส่งกองกำลังไปในทันที การจลาจลก็ถูกระงับอย่างรวดเร็วและผู้ก่อจลาจลถูกจับกุม แม้แต่ระฆังก็โดนด้วย
ในการปลุกระดมให้เกิดการจลาจล Godunov ได้สั่งให้ถอดระฆังขนาด 320 ตันของ Uglich และลากเข้าไปในจัตุรัสกลางเมือง โดยให้ช่างตีเหล็กถอด
ลูกตุ้มของระฆังออก ซึ่งเทียบเท่ากับการฉีกลิ้นของระฆัง ช่างตีเหล็กยังตัด “หู” ของระฆังด้วย (ขอเกี่ยวโลหะเล็กๆ ที่ใช้แขวนระฆัง) พร้อมกับสั่งให้กระดิ่งถูกเฆี่ยนด้วยแส้หนักและถูกเนรเทศไปยังไซบีเรียพร้อมกับผู้ก่อการจลาจลประมาณ 60 ครอบครัวจาก Uglich โดยใช้เวลาหนึ่งปีในการลากระฆังหนักมหาศาลไปยังเมือง Tobolsk ซึ่งเป็นระยะทาง 1,400 ไมล์
เมื่อระฆังมาถึงเมือง Tobolsk เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็ขังมันไว้ในห้องขังและจารึกไว้ว่า " ผู้พลัดถิ่นที่ไม่มีชีวิตคนแรกจาก Uglich " หลายปีต่อมา ระฆังถูกนำไปติดตั้งไว้ที่มหาวิหาร St. Sophia เพื่อใช้บอกเวลาและเป็นสัญญาณเตือนไฟไหม้
การประหารชีวิตระฆังของ Uglich ไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้น ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น ระฆังได้รับการปฏิบัติเหมือนบุคคลในรัสเซีย และต้องถูกพิจารณาคดีและการประหารชีวิต ทั้งนี้ ระฆังมักจะถูกรื้อลงจากหอคอยหลังจากที่เมืองหนึ่งถูกยึดครอง โดยในปี 1327 หลังจากปราบปรามการจลาจลต่อต้านคนเก็บภาษีชาว Mongol-Tatar เจ้าชายแห่งมอสโก Ivan Danilovich Kalita (ค.ศ. 1288-1340) ที่ใช้มองโกลเพื่อเอาชนะเจ้าชายแห่ง Tver ได้เผาเมืองและเข้าครอบครองระฆังของ Transfiguration Cathedral ใน Tver และส่งไปทำการหลอมละลายที่มอสโกเพื่อเป็นการลงโทษ
ชะตากรรมเดียวกันเกิดขึ้นกับระฆังของ Novgorod veche ในปี 1478 หลังจากที่ Ivan ที่ 3 แห่งมอสโคว์พิชิต Novgorod ได้ ซึ่งเขาได้สั่งให้ถอดระฆัง veche ออกจากหอระฆัง ทั้งนี้ veche นั้นเป็นอำนาจทางกฎหมายและตุลาการสูงสุดของสาธารณรัฐ Novgorod และระฆังเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจอธิปไตยและความเป็นอิสระของสาธารณรัฐ ซึ่งการควบคุมเมืองคงไม่เสร็จสมบูรณ์หากปราศจากการยึดระฆังที่สำคัญทั้งหมด
ในทำนองเดียวกัน เมื่อมกุฎราชกุมาร Vasiliy III แห่งมอสโก (บิดาของ Ivan the Terrible) ทำให้ชาว Pskov สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อมอสโก ได้ย้ายครอบครัว Pskov ที่สำคัญที่สุดประมาณ 300 ครอบครัวไปมอสโคว์ แต่ระฆังถูกลงโทษโดยการตัดหูและลิ้นออก
ยังมีระฆังที่ปลุก Tsar Fyodor ที่มีตำนานเล่าว่าปี 1681 ระฆังใน Moscow Kremlin (ป้อมปราการบริเวณใจกลางกรุงมอสโก) เคยถูกลงโทษเพราะปลุก Tsar แห่งรัสเซีย ซึ่งในเวลานั้นมีสุขภาพไม่ดีและต้องตื่นนอนตอนเที่ยงคืนเพราะเสียงระฆังของ Moscow Kremlin จากนั้นมีข่าวลือว่า เขาโกรธจัดและสั่งเนรเทศระฆังไปยังอาราม Nikolo-Korelsky ในเขต Arkhangelsk แต่ในตำนานไม่ได้กล่าวถึงการลงโทษใด ๆ สำหรับผู้ตีระฆัง
อย่างไรก็ตาม ในอาราม Nikolo-Korelsky เดิมมีระฆังที่ใช้เป็นระฆังปลุกในหอคอย Spasskaya ของ Moscow Kremlin แต่มันถูกถอดออกในรัชสมัยของ Alexey Mikhailovich (1629-1676) เพราะ Tsar ไม่ชอบเสียงของมัน ดังนั้นในปี 1681 ระฆังขนาด 2.5 ตันถูกส่งไปยังอาราม Nikolo-Korelsky เพื่อบริจาค โดยระฆังมีคำจารึกว่าถูกนำมาที่อารามเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1681 ว่า " เพื่อสุขภาพที่ยืนยาวของ Tsar และเพื่อความทรงจำนิรันดร์ของพ่อแม่ที่เคารพนับถือ "
- Georgy Manaev, How Russians executed BELLS, Russia Beyond
- Elif Batuman, The Bells, The New Yorker
Cr.https://www.amusingplanet.com/2021/06/the-exiled-bell-of-uglich.html / KAUSHIK PATOWARY
Cr.https://www.rbth.com/history/333771-how-russians-executed-bells / GEORGY MANAEV
Cr.https://www.emporis.com/images/details/873357/facadedetail-bell-in-the-tower
Cr.https://todiscoverrussia.com/uglich/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)