สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ที่เล่ามา มีหลายเรื่องคล้ายๆ กันเลยค่ะ 55
เราให้ข้อมูลไว้แบบนี้ละกัน แล้วคุณไม่ต้องเชื่อเรานะคะ ลองเอาไปพิจารณาดู
เป็นคำแนะนำที่เราได้มาจากการฟังบรรยายของครูบาอาจารย์หลายท่านค่ะ
ถ้าวันนึง คุณเห็นโทษของสิ่งใดมากขึ้น หรือรู้สึกเบื่อกับนิสัยบางอย่างของตัวเองมากๆ
คุณจะเริ่มดิ้นรนจริงจังที่จะหาทางขัดเกลาตัวเองค่ะ
- ฝึกให้ได้ความสงบ แบบทำสมาธินั้น มีประโยชน์ค่ะ
แต่เราก็ไม่เคยรู้ว่า สมาธิแบบที่จมดิ่งกับความสงบนั้น ก็มีโทษไม่น้อยค่ะ
โทษหลักๆ ก็คือ ความขี้เกียจนั่นแหละค่ะ 55 เราก็เป็นค่ะ
โทษอื่นๆ ก็เช่น บางคนจะขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ และอีกสารพัด
เป็นผลจากการที่เราติดใจ คุ้นเคยกับความสงบ
- เราก็เลยหาว่า แล้วฝึกปฏิบัติธรรมเนี่ย เค้ามีวิธีอื่นๆ ให้เลือกบ้างมั้ย
ก็พบว่า มีหลายวิธีหลายเทคนิคให้เลือก
แต่ประเด็นคือ คุณจะฝึก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายใด?
ถ้าอยากฝึกแล้วใจสงบ ได้ปัญญา ไปถึงปล่อยวางได้มากขึ้น ความคิดฟุ้งซ่าน ความกังวลน้อยลง
ละกิเลสได้มากขึ้น ฯลฯ ต้องฝึกในแนวที่เค้าเรียกว่า วิปัสสนาภาวนา ค่ะ
ซึ่งคนสมัยนี้นิยมฝึกกันโดยเรียกสั้นๆ ว่า ฝึกเจริญสติ (ตามหลักสติปัฏฐาน)
แนะนำว่า ให้ฝึกตามหลักสติปัฏฐานนะคะ ลองเข้า youtube เสิชคำว่า ฝึกเจริญสติ ดูละกันค่ะถ้าสนใจจะฝึก
เราฝึกอยู่ ก็คิดว่า ไม่ยากนะคะ
ส่วนการฝึกสมาธิที่เน้นไปเรื่องความสงบใจอย่างเดียว มันก็มีประโยชน์ในบางแง่ แต่ก็มีโทษอย่างที่บอกไว้ค่ะ
- การฝึกนั้น มีหลายวิธี หลายเทคนิค และหลายรูปแบบค่ะ
หมายความว่า ไม่ใช่แค่นั่งเฉยๆ เท่านั้น
ไม่ว่าจะเดิน จะเคลื่อนไหวร่างกาย หรือกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิต ก็ฝึกเจริญสติไปด้วยได้ค่ะ
มันประยุกต์ได้มากมายค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าทำได้ยังไงบ้าง ก็ต้องไปศึกษาเรื่องเจริญสติดูค่ะ
มีหลักการที่เข้าใจไม่ยากค่ะ
สรุปคือ เราแนะนำให้ฝึกตามหลักสติปัฏฐานนะคะ จะได้เรื่องสมาธิด้วย พัฒนาให้เกิดปัญญาในทางธรรมด้วย
เพื่อรับมือกับความทุกข์ ไปจนถึงพ้นทุกข์ค่ะ และจะช่วยลดเรื่องการติดในความสงบ ลดเรื่องความขี้เกียจลงไปค่ะ
ถ้าฝึกอย่างถูกต้อง มันจะกระฉับกระเฉง พร้อมทำทุกกิจกรรมด้วยใจที่เบิกบาน
ไม่ใช่ง่วงซึม หรือหงุดหงิดเวลาเจอเรื่องวุ่นวายในชีวิตค่ะ
ต้องฝึกเจริญสติ แล้วพัฒนาไปเรื่อยๆ จะเห็นผลด้วยตนเองค่ะ
ขอส่งกำลังใจให้ค่ะ
เราให้ข้อมูลไว้แบบนี้ละกัน แล้วคุณไม่ต้องเชื่อเรานะคะ ลองเอาไปพิจารณาดู
เป็นคำแนะนำที่เราได้มาจากการฟังบรรยายของครูบาอาจารย์หลายท่านค่ะ
ถ้าวันนึง คุณเห็นโทษของสิ่งใดมากขึ้น หรือรู้สึกเบื่อกับนิสัยบางอย่างของตัวเองมากๆ
คุณจะเริ่มดิ้นรนจริงจังที่จะหาทางขัดเกลาตัวเองค่ะ
- ฝึกให้ได้ความสงบ แบบทำสมาธินั้น มีประโยชน์ค่ะ
แต่เราก็ไม่เคยรู้ว่า สมาธิแบบที่จมดิ่งกับความสงบนั้น ก็มีโทษไม่น้อยค่ะ
โทษหลักๆ ก็คือ ความขี้เกียจนั่นแหละค่ะ 55 เราก็เป็นค่ะ
โทษอื่นๆ ก็เช่น บางคนจะขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ และอีกสารพัด
เป็นผลจากการที่เราติดใจ คุ้นเคยกับความสงบ
- เราก็เลยหาว่า แล้วฝึกปฏิบัติธรรมเนี่ย เค้ามีวิธีอื่นๆ ให้เลือกบ้างมั้ย
ก็พบว่า มีหลายวิธีหลายเทคนิคให้เลือก
แต่ประเด็นคือ คุณจะฝึก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายใด?
ถ้าอยากฝึกแล้วใจสงบ ได้ปัญญา ไปถึงปล่อยวางได้มากขึ้น ความคิดฟุ้งซ่าน ความกังวลน้อยลง
ละกิเลสได้มากขึ้น ฯลฯ ต้องฝึกในแนวที่เค้าเรียกว่า วิปัสสนาภาวนา ค่ะ
ซึ่งคนสมัยนี้นิยมฝึกกันโดยเรียกสั้นๆ ว่า ฝึกเจริญสติ (ตามหลักสติปัฏฐาน)
แนะนำว่า ให้ฝึกตามหลักสติปัฏฐานนะคะ ลองเข้า youtube เสิชคำว่า ฝึกเจริญสติ ดูละกันค่ะถ้าสนใจจะฝึก
เราฝึกอยู่ ก็คิดว่า ไม่ยากนะคะ
ส่วนการฝึกสมาธิที่เน้นไปเรื่องความสงบใจอย่างเดียว มันก็มีประโยชน์ในบางแง่ แต่ก็มีโทษอย่างที่บอกไว้ค่ะ
- การฝึกนั้น มีหลายวิธี หลายเทคนิค และหลายรูปแบบค่ะ
หมายความว่า ไม่ใช่แค่นั่งเฉยๆ เท่านั้น
ไม่ว่าจะเดิน จะเคลื่อนไหวร่างกาย หรือกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิต ก็ฝึกเจริญสติไปด้วยได้ค่ะ
มันประยุกต์ได้มากมายค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าทำได้ยังไงบ้าง ก็ต้องไปศึกษาเรื่องเจริญสติดูค่ะ
มีหลักการที่เข้าใจไม่ยากค่ะ
สรุปคือ เราแนะนำให้ฝึกตามหลักสติปัฏฐานนะคะ จะได้เรื่องสมาธิด้วย พัฒนาให้เกิดปัญญาในทางธรรมด้วย
เพื่อรับมือกับความทุกข์ ไปจนถึงพ้นทุกข์ค่ะ และจะช่วยลดเรื่องการติดในความสงบ ลดเรื่องความขี้เกียจลงไปค่ะ
ถ้าฝึกอย่างถูกต้อง มันจะกระฉับกระเฉง พร้อมทำทุกกิจกรรมด้วยใจที่เบิกบาน
ไม่ใช่ง่วงซึม หรือหงุดหงิดเวลาเจอเรื่องวุ่นวายในชีวิตค่ะ
ต้องฝึกเจริญสติ แล้วพัฒนาไปเรื่อยๆ จะเห็นผลด้วยตนเองค่ะ
ขอส่งกำลังใจให้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ชอบนั่งแต่สมาธิเพราะมันสบาย แต่การงานไม่ชอบทำเลยจะทำไงดีคะ
อยู่บ้านก็ทำงานบ้านบ้างทำบัญชีส่วนตัวบ้างแต่คิดจะทำมาค้าขายอยู่ ก็มองช่องทางจะหาของมาขายรึทำขาย ก็ศึกษาข้อมูลแต่บางทีรู้สึกยุ่งยากทำให้ไม่อยากทำต่อ เลยจับจด
แล้วชอบคิดว่าเราเกิดมาทำไมเลยเชื่อเรื่องบุญบาปมาก ตอนเด็กๆเคยปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกได้บุญได้ฌานครั้งหนึ่งก็เลยมองเห็นถึงอนิจจัง ใจก็เลยฝักใฝ่ทางธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
ก็เลยคิดว่าอยากเน้นการปฏิบัติธรรมเพราะนั่งสมาธิแล้วมันสบายดี จิตใจไม่ได้สงบอะไรมากมายเหมือนตอนเด็กๆแต่ได้นั่งเฉยๆรู้สึกมันโล่งสอาดเบาๆสบาย ก็เลยชอบนั่ง
ไม่รู้เพราะเราเป็นคนขี้เกียจหรือเปล่าเลยชอบนั่งเฉยๆ บางทีก็ขี้เกียจสวดมนต์หรือขี้เกียจเดินจงกลมทั้งๆที่เวลาเดินจงกลมแล้วจิตใจสงบมากกว่านั่งสมาธิแต่ด้วยความติดขี้เกียจก็เลยนั่งแต่สมาธิ
ทุกวันนี้มีทรัพย์สินหลายสิบล้านและเงินรายได้จากค่าเช่าต่างๆให้ใช้จ่ายเดือนละ 30,000 บาท ไม่ต้องทำงานแต่ก็อยากหาเงินให้ได้มากขึ้นเพราะจะได้เอามาบริจาคหรือให้คนและซื้อของได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
แต่พอจะลงมือทำไรก็รู้สึกเบื่อหน่ายว่าทำไมมันยุ่งยากเพราะพื้นฐานเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวาย การได้นั่งสมาธิมันอยู่เฉยพิจารณาตัวเราแล้วมันเบาก็เลยกลุ้มใจว่า ชีวิตเราทางโลกจะไม่เจริญก้าวหน้าส่วนทางธรรมก็ไม่ได้เจริญเท่าไหร่เพราะเราไม่ได้นั่งได้ถึงขั้นฌานอะไรอีกแต่เราก็มุ่งมั่นว่าอยากจะมีความก้าวหน้าทางธรรมเพียงแต่ทุกวันนี้เรารู้สึกว่าเราทำสมาธิแบบคนขี้เกียจแบบนี้อานิสงส์มันจะไม่มากใช่ไหมเราควรทำยังไงดีรู้สึกสับสนจะมุ่งมั่นทำงานขายของจิตใจมันวุ่นวายเวลานั่งสมาธิแล้วมันก็ไม่สงบเพราะใจมันพะวงคิดนู่นนี่นั่นแต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยนั่งสมาธิแล้วจิตใจมันสะอาดสว่างกว่า
ก็เลยกลุ้มว่าเราควรจะทำงานเพราะเราตัดไม่ได้ให้เราทำงานไปนั่งไปจิตใจมันก็พะวักพะวนเลยไม่รู้จะทำไงดีค่ะ
ปัญหา หลักๆคือ พ่อแม่เขาไม่ค่อยเห็นด้วยที่วันๆเอาแต่นั่งสบายเขาอยากให้ทำงานจะได้รวยไม่ได้คิดแต่จะพึ่งทรัพย์สินซึ่งตอนนี้ก็ยังขายไม่ได้ แล้วเราเองก็อยากจะทำงาน เผื่อจะรวยเพื่อพิสูจน์ว่าเราเกิดมาแล้วมีคุณค่าแต่บางทีก็ท้อแท้เพราะการทำงานทางโลกมันน่าเบื่อวุ่นวายเรื่องมาก เราอาจจะติดความสงบสบายเราควรจะทำยังไงดี