บริษัทหักเงินค่าคอมไว้ประมาณ 200,000 บาท พอลาออกจะคืนให้ 60,000บาทและจะบังคับเซ็นต์เอกสาร เราควรทำยังไงคะ?

สวัสดีค่ะ เราทำงานเป็นเซลล์ขายรถหรูที่บริษัทแห่งหนึ่ง  เราทำงานที่บริษัทนี้มาได้สามปีกว่า (บริษัทนี้เพิ่งเปิดทำการก่อนเราเป็นเซลล์ไม่กี่เดือน) เราต้องแจ้งก่อนว่า เราเป็นเซลล์ที่อยู่นานที่สุด เซลล์คนอื่นที่มาก่อนเราออกกันไปหมดแล้ว และเซลล์ที่มาใหม่ก็อยู่กันไม่นาน หมุนเวียนเปลี่ยนตลอด โดยเซลล์ที่โชวรูมแห่งนี้ ไม่เคยมีเกิน 10คน(ถ้ามีครบ ไม่เกิน 2 เดือนเซลล์ก็จะลาออกกัน ) เคยเหลือน้อยสุดมีเซลล์แค่ 3 คนทั้งโชว์รูม ที่เปลี่ยนเซลล์บ่อย เพราะการทำงานที่นี่มีความกดดันและความเครียดสูงมาก

แต่เหตุผลที่เรายังเลือกทำงานที่นี่ เพียงเพราะใกล้บ้าน และเราพยายามคิดว่าทุกที่ก็มีปัญหาเหมือนกันหมด   และเนื่องจากเรามีอายุงานนานสุด และรู้เงื่อนไขของไฟแนนซ์เป็นอย่างดี เวลามีพนักงานใหม่เข้ามา นอกจากเราจะขายรถด้วยแล้ว เรายังต้องคอยสอนผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับรถยนต์ และเงื่อนไขไฟแนนซ์ต่างๆ  แต่เซลล์ที่เข้ามา อยู๋ไม่นานก็ออกไป

และเนื่องจากเราเป็นเซลล์ เราจึงมีเงินเดือน 8,500 บาท หักประกันสังคม 425บาท เงินเดือนเราเหลือ 8,075 บาท
และรายได้ส่วนอื่นๆ คือค่าคอมมิชชั่นจากการขายรถ โดยเงื่อนไขของบริษัทแม่ ของทางโชว์รูมเรา จะมีการหักเงินค่าคอม15% เก็บไว้ก่อน และจะคืนทุกๆ 3 เดือน โดยแจ้งว่าถ้าลูกค้าออกรถไป และประเมินความพึงพอใจให้แผนกการขายไม่ตก จะคืนเงินให้

โดยเงินที่หัก 15% จะถูกหักเก็บไว้ที่บริษัทเรา ถ้าตกมาตราฐาน ทางบริษัทเราจะส่งเงินที่หักให้ทางบริษัทแม่ แต่ตั้งแต่ที่เราเริ่มทำงาน และมีการหัก 15% เกิดขึ้น เท่าที่ทราบ และให้ทางผู้จัดการฝ่ายขายเช็คย้อนหลังในระบบ ไม่เคยมีการปรับตกจากบริษัทแม่ และบริษัทเราไม่เคยนำส่งเงินค่าปรับให้บริษัทแม่ และทางบริษัทก็ไม่คืนเงินเราเช่นกัน

โดยทางบริษัทเรา หักค่าคอมมิชชั่นของเซลล์ทุกคน 15% ตั้งแต่ปี 2562-2563 เป็นเวลากว่า 2 ปี โดยไม่เคยมีการคืนให้เซลล์คนใดเลย  พอเราทวงถาม ทางบริษัทก็บ่ายเบี่ยง ไม่คุย ไม่กำหนดวัน และไม่มีทีท่าที่จะคืน เงินของเราที่เค้าหักไป ประมาณ 200,000 บาท และมีค่าเงินประกันอีก 20,000 บาท

(แจ้งเพิ่มเติม การหัก 15% ภายหลังถูกยกเลิกไป เพราะผู้จัดการเซลล์คนใหม่ รับทราบถึงปัญหาที่บริษัท หักเงินแล้วไม่คืน จึงทำเรื่องขึ้นไป ทำให้เซลล์ไม่โดนหัก 15% อีก  แต่ถ้ามีการปรับตกจากบริษัทแม่ จะเอาใบที่ทางบริษัทจ่ายเงินให้บริษัทแม่ มาเรียกเก็บเราย้อนหลัง ซึ่งทางเลือกนี้พวกเรายินดี)

- ตอนปีแรกๆ ค่าคอมมิชชั่น ขายได้คอมแย่ๆ จะได้ต่อคันอยู่ 7,000 บาท (ราคารถที่ขาย ประมาณ 2.2++ ล้าน) โดยค่าคอมที่โชว์รูมเรา ไม่เกิน 6 เดือนจะมีการปรับลดลงตลอด
- แต่พอมาปัจจุบัน ปี 2564 ค่าคอมของเราเหลือเพียง 3,000 บาท (ราคารถที่ขาย ประมาณ 2.2++ ล้าน) แต่ถ้าชนราคามาจากโชว์รูมอื่นและส่วนลดเยอะ  ค่าคอมจะเป็น 0 บาท
- ปลายปี 2563 ทางโชว์รูมเรา ออกมาตราการ บังคับให้โทรตามลูกค้า ให้ได้ เดือนละ 300 การโทร (โดยต้องมีการพูดคุย เสนอราคา ถึงจะนับการโทรให้) ถ้าโทรไม่ครบ จะหักเงิน 3,000 บาท
        จากมาตราการที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการหักเงินที่สูงขึ้น และค่าคอมที่ลดลง ทำให้เรารู้สึกท้อ กับการทำงาน แต่เราก็ยังคิดเหมือนเดิม ว่าที่อื่นก็มีปัญหา เราก็ทำงานต่อไป

และเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีลูกค้า อยากทดลองขับรถยนต์ โดยเรามีการพูดคุยเสนอราคา มาก่อนหน้านี้ โดยขั้นตอนในการขอไปทดลองขับ คือ
1. แจ้งในห้องไลน์ ว่าลูกค้าประสงค์ทดลองขับวันไหน พร้อมส่งรูปใบขับขี่ พร้อมเบอร์โทรลูกค้า เพื่อทำการจองวัน และให้แผนกเตรียมรถได้จัดเตรียม
2. ก่อนจะนำรถออก ต้องเขียนใบทดลองขับ และให้ผู้มีอำนาจเซ็นต์ แล้วไปยื่นให้ยาม ถึงจะนำรถออกได้

และในการทดลองขับ เราได้ทำตามกระบวนการทุกอย่าง โดยการขับไปหาลูกค้า จะมีเราที่เป็นเซลล์ และมีผู้แนะนำที่เชี่ยวชาญการใช้รถ ไปกับเราด้วย เพื่อแนะนำการใช้งาน การขับรถให้กับลูกค้า  เมื่อเจอกับลูกค้าแล้ว ได้ให้ลูกค้านั่งตำแหน่งคนขับ มีผู้เชี่ยวชาญนั่งหน้ากับลูกค้า และเรานั่งอยู่ข้างหลังฝั่งเดียวกับผู้เชี่ยวชาญ 

...... และในขณะที่ลูกค้ากำลังทดลองขับ

       ในช่วงทางตรง ลูกค้าขับมาด้วยความเร็วประมาณ 70 และกำลังจะยูเทิร์นใต้สะพานกลับรถ โดยไม่มีการเบรคใดๆ ทำให้เกิดการเสียหลัก ชนกับราวกั้นช่วงโค้ง และหลังจากนั้น รถไม่สามารถขับขี่ต่อได้อีก เพราะปีกนกของรถเบี้ยว เป็นการชนที่ค่อนข้างรุนแรง ถ้าไม่ใช่รถหรู มีโอกาศพลิกคว่ำสูง  พอลงจากรถ เรารีบโทรแจ้งกับทางบริษัทเราว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้น จะให้เราทำอย่างไรต่อ โดยระหว่างที่รอ เราก็ขอใบขับขี่ และบัตรประชาชนของลูกค้า มาถ่ายเป็นสำเนา แบบA4 เขียนในกระดาษว่า ใช้สำหรับเคลมประกันรถยนต์ และให้ลูกค้าเซ็นต์ (เราคิดว่า ต้องมีเอกสารอะไรที่บ่งชี้ว่าลูกค้าเป็นคนขับ และทางบริษัท ไม่บอกให้ทางเราทำเอกสารอะไร เราจึงทำเท่าที่คิดว่าน่าจะทำได้ในขณะนั้น ) ส่วนทางบริษัทเรา ทำการประสานงานติดต่อกับทางประกัน แต่เนื่องจากรถคันนี้เป็นรถที่ยืมมาจากบริษัทแม่ ซึ่งเงื่อนไขของบริษัทแม่ จะเป็นประกันภัยกลุ่ม ค่าเสียหายส่วนแรกจะไม่รับผิดชอบ 

        ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้น ประมาน 5xx,xxx บาท และค่าเสียหายส่วนแรกที่ประกันไม่รับผิดชอบคือวงเงิน 300,000 บาท  ซึ่งทางลูกค้า ไม่รับผิดชอบค่าเสียหาย และร้องเรียนมาที่บริษัทแม่ และร้องเรียนที่สคบ.และแจ้งว่า ถ้าต้องจ่าย จะจ่ายเพียงแค่ 10,000 บาท

       ทางบริษัท ให้เราไปลงบันทึกประจำวัน เพื่อจะได้มีเอกสารยืนยัน เราก็ไปทำให้   ให้เรานัดลูกค้ามาไกล่เกลี้ยเราก็นัดให้ เราพยายามให้ความร่วมมือทุกอย่างเท่าที่ทำได้ 

      และอย่างที่เราแจ้งตอนแรก ว่าทำงานที่นี่ มีความเครียดและกดดันสูง ทำให้เราเข้าโรงพยาบาลบ่อย(โรคกระเพาะจากภาวะเครียด) จากเมื่อก่อน2-3 เดือนครั้ง และก่อนที่เราจะลาออก เราต้องเข้าไปฉีดยาอาทิตย์ละครั้ง เพื่อจะได้ไม่ต้องลาและทำงานต่อได้

     ...​หลังจากเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุประมาณ 1 เดือน บวกกับร่างกายเราที่แย่ลง  เราจึงอยากจะหยุดพักกับงานนี้ เราจึงไปขอลาออก 
ทาง HR บริษัทเรียกเราขึ้นไปคุย และแจ้งว่าจะหักเงินเรากับผู้เชี่ยวชาญคนละ 75,000  เพื่อชดใช้เหตุการณ์อุบัติเหตุที่ลูกค้าขับโดยประมาท และจะไปฟ้องลูกค้าอีก 150,000 บาท และแจ้งว่าบริษัท ไม่ได้มีส่วนผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางเซลล์ ผู้เชี่ยวชาญ และลูกค้า ต้องร่วมกับรับผิดชอบ และในส่วนของบริษัท จะฟ้องลูกค้า 300,000 หรือ 150,000 ก็แล้วแต่ดุลพินิจของบริษัท ถ้าฟ้องชนะ ได้เงินจากลูกค้า 300,000 บาท อาจจะคืน หรือไม่คืนเงินเรากับผู้เชี่ยวชาญก็ได้  เราถามกลับ HR ว่าถ้าลูกค้าขับ จนเกิดอุบัติเหตุหนัก จนเราถึงขั้นเสียชีวิต ทาง HR แจ้งกลับว่า ทางบริษัทเยียวยาเรา 3,000 บาท 
ทำให้เราหมดใจที่จะทำงานต่อกับที่นี่

ในด้านของผู้เชี่ยวชาญ ยอมเซ็นต์สัญญาให้หักเงิน เพราะถ้าไม่เซ็นต์ ทางบริษัทจะไล่ออก ผู้เชี่ยวชาญจึงยอมเซ็นต์ ทางHR ที่ลดลงเหลือหัก 50,000 บาท โดยหักเดือนละ 5,000 บาทจากเงินเดือน

     แต่ในส่วนของเรา เราไม่ยอมเซ็นต์ เพราะเราคิดว่าไม่ถูกต้อง และหลังจากเราออกทางบริษัท จ่ายค่าคอม กับเงินเดือนล่าสุดตามปกติ โดยให้เราไปรับเงินสดที่โชว์รูม 

    แต่ตอนนี้ ยังเหลือเงินคงค้างกับทางบริษัทอีก 2 ก้อน โดยแบ่งเป็น
     ส่วนที่ 1 : เงินที่หัก 15% รวมแล้ว 200,000 บาท
     ส่วนที่ 2 : เงินประกัน 20,000 บาท
และเราแจ้งทางบริษัทว่า เราไม่ยินยอมให้หักเงินใดๆ และจะไม่เซ็นต์อะไรทั้งสิ้น แต่ถ้ามีการฟ้องร้องลูกค้าเกิดขึ้น และทางบริษัทเป็นฝ่ายแพ้ เรายินดีร่วมรับผิดชอบและแบ่งเบาบริษัท ให้ทางบริษัทเรียกเก็บเงินสดที่เราได้เลย เป็นจำนวน 50,000 บาท โดยสามารรถออกเอกสารให้เราเซ็นต์ ณ ตอนนั้นได้เลย

 และเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทางบริษัท แจ้งเราว่า จะคืนเงิน ส่วนแรกเรา 60,000 บาท จากยอดเต็ม 200,000 บาท แต่เราต้องเข้ามาเซ็นต์เอกสารที่บริษัทก่อน โดยทางบริษัท จะหัก 75,000 บาท การกรณีอุบัติเหตุการทดลองขับของลูกค้า และส่วนที่เหลือที่หัก ทางบริษัทแจ้งว่าคือค่าความพึงพอใจที่ตก  ส่วนเงินค้ำประกัน  20,000 บาท หลังจาก 3 เดือน ที่เราออก ถ้าไม่มีปัญหาอะไรจะคืนให้

### สิ่งที่เราอยากถามคือ
      1. บริษัทสามารถหักเงินพนักงานได้แบบนี้เลยหรือเปล่า ทั้งๆที่เหตุเกิดจากการขับขี่ของลูกค้า เราสามารถทำอะไรได้บ้างไหม
      2. เราทำงานบริษัทวันที่ 25 เป็นวันสุดท้าย พอในวันที่ 26 ทางบริษัทเอาประกาศมีรูปเรามาติดที่บอร์ดบริษัท ว่าเราพ้นสภาพการเป็นพนักงาน  เราอยากทราบว่า  พ้นสภาพในที่นี้ หมายความว่าเราลาออก หรือเค้าไล่เราออก
      3. ทางบริษัท นำรูปเรา ลงชื่อจริง และชื่อเล่น มาติดบอร์ดด้านหน้าบริษัท ว่าห้ามพนักงานที่พ้นสภาพเข้าพื้นที่บริษัท โดยลูกค้าผ่านไปมาจะต้องเห็น และด้วยคำที่ลงว่าพ้นสภาพ  เรากลัวว่าจะเกิดการเข้าใจผิดได้ อาจทำให้เรามีปัญหา กับการต่อยอดการขายอย่างอื่นกับกลุ่มลูกค้าของเราต่อไป
      4. ทาง HRแจ้งกับพนักงานทุกคน ว่าเราออก เพราะทำผิดกฎบริษัท  ทั้งๆที่เรายื่นขอลาออกเอง ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดและเราเสื่อมเสียชื่อเสียง เราทำอะไรได้บ้างไหมค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่