เรื่อง รักต่าง...ต่างรัก
โดย ผมชื่อง่วง
ทอม เด็กหนุ่มอายุสามสิบต้น ๆ ผู้ที่มีงานอดิเรกเป็นจิตรกรฝึกหัด เขามักสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในแบบฉบับของตัวเอง งานทุกชิ้นที่เขาบรรจงใช้พู่กันจุ่มสีแล้วป้ายลงบนผืนผ้าใบเนื้อหยาบมักจะแสดงออกถึงตัวตนและจิตสำนึกภายในของเขา
เขามักจะถ่ายรูปผลงานที่ตนเองทำเสร็จใหม่ ๆ โพสลงไปในสื่อโซเชียลเป็นประจำ หลายคนเข้ามาชื่นชมผลงานบ้างก็ว่ามันสวย มันอาร์ต มันให้แรงบันดาลใจ แต่ก็มีเหมือนกันที่เข้ามาติ บอกว่าผลงานของเขามันดูสะเปะสะปะ เขาก็น้อมรับคำชมและคำติเหล่านั้นเก็บเกี่ยวเอามาเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาฝีมือต่อไป
วันหนึ่ง กล่องข้อความของเพจที่เขาโพสแสดงผลงานไว้ก็แจ้งเตือนว่ามีคนคอมเม้นท์เกี่ยวกับงานของเขา
ครั้งแรกเขาเปิดอ่านเฉย ๆ พอจับใจความได้คร่าว ๆ ว่าคนที่มาเม้นท์เขาพูดเกี่ยวกับงานชิ้นนั้นไว้ค่อนข้างดี ค่อนไปทางเป็นคำชม อาจมีข้อผิดพลาดให้ได้ติติงบ้าง
ถัดจากนั้นอีกประมาณสองวันกล่องข้อความก็แจ้งเตือนอีกเช่นเคย มันเป็นข้อความจากคน ๆ เดิม ข้อความแบบเดิม ๆ แต่มีเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
'
ถ้ามันทำให้รู้สึกไม่พอใจก็ขอโทษด้วยนะคะ '
นี่เองที่ทำให้ทอมต้องเปลี่ยนความคิด เขาตัดสินใจตอบกลับข้อความนั้นไป เป็นเชิงว่าขอโทษที่อ่านแล้วไม่ได้ตอบกลับเนื่องจากไม่มีเวลา และก็ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่กรุณามอบให้ เขาจะนำมันไปใช้เพื่อพัฒนาฝีมือต่อไป
นั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ เพราะหลังจากวันนั้นคนทั้งสองก็มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด อันที่จริงแล้วคงต้องบอกว่าเป็นการให้คำแนะนำฝ่ายเดียวน่าจะเหมาะกว่า
เนื่องจากบุคคลที่ให้คำแนะนำทอมในเรื่องของงานศิลป์ในครั้งนี้ เธอเป็นจิตรกรชื่อดัง ผลงานของเธอนั้นมีออกมาให้เห็นมากมายและงานทุกชิ้นก็ได้รับการยอมรับและคำชมอย่างล้นหลาม
ทั้งคู่พูดคุยกันเรื่อยมา พูดคุยกันทุกวันผ่านกล่องข้อความของเพจที่ทอมแสดงผลงานไว้ โดยบุคคลปริศนาผู้ให้ทั้งคำแนะนำและแรงบันดาลใจนั้นได้ขีดเส้นกั้นไว้หนึ่งเส้น
เราจะคุยกันแบบนี้ต่อไปโดยจะมีเพียงความปรารถนาดีให้กันเพียงเท่านั้น เราจะไม่ข้ามเส้นแบ่งนี้จนความสัมพันธ์เลยเถิด
ซึ่งทอมเองก็รับปากและปฏิบัติตามมาโดยตลอด
แต่ขึ้นชื่อว่าความรักมันมักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนให้รู้ล่วงหน้า ทอมหลงรักผู้หญิงคนนี้เสียแล้ว
ด้วยความสดใส คำพูดคำจาที่ถูกสื่อผ่านตัวอักษร มันทำให้ทอมรู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้เอามาก ๆ เขาหลงรักเธอ และเป็นการหลงรักข้างเดียว
เมื่อวันเวลาผ่านไป ทั้งทอมและผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงพูดคุยให้คำปรึกษากันเสมอมา แต่ในใจทอมนั้นมันอัดแน่นไปด้วยความอิ่มเอม เขาอยากคุยกับเธอทุกวัน อยากบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาพบเจอมาในแต่ละวันให้เธอรับรู้
และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ทอมตัดสินใจบอกความรู้สึกออกไป วันที่เขาตัดสินใจข้ามเส้นแบ่งแห่งความสัมพันธ์ที่ถูกขีดไว้และเขาไม่เคยคิดกล้าที่จะละเมิดมัน
"พี่ยุ้ยครับ ผมรักพี่"
ทอมบอกผ่านทางโทรศัพท์ในขณะที่ทั้งสองคุยกัน
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง
"แน่ใจแล้วเหรอ" ยุ้ยถาม
"ครับ ผมแน่ใจ" ทอมตอบอย่างมั่นใจ
"แล้วพี่จะมั่นใจในตัวทอมได้ยังไงว่าทอมรักพี่จริง" ยุ้ยถาม
"ผมรักพี่จริง ๆ ครับ" ทอมบอกเพื่อย้ำความมั่นใจของตนเองหวังให้ปลายสายรับรู้ถึงความจริงใจที่เขามีให้
"พิสูจน์สิ" ยุ้ยบอก
"แบบไหนล่ะครับ"
"มีวิธีมากมายที่จะพิสูจน์ให้ใครสักคนเห็นว่า เรารักและจริงใจกับเขาจริง ๆ" ยุ้ยบอก
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็วางสาย ทอมครุ่นคิดว่าเขาจะทำอย่างไร จะสื่อความรู้สึกที่มีนี้ด้วยวิธีไหนยุ้ยถึงจะรับรู้
'
ไปดูเฟสผมสิครับ ' ทอมบอกยุ้ยผ่านกล่องข้อความ
ประมาณห้านาทียุ้ยก็ตอบกลับมา
'
ขอบคุณนะ คิดดีแล้วใช่มั๊ย '
'
ครับ ' ทอมตอบสั้น ๆ
คืนนั้น ทั้งสองคุยกันมากมายหลายเรื่องเหมือนเช่นทุกวัน แต่การคุยครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะทั้งคู่มิได้คุยกันในฐานะที่ปรึกษาด้านงานศิลป์เพียงอย่างเดียว แต่คุยกันในฐานะคนรัก
แต่ทุกความรักย่อมมีอุปสรรคมาขวางกั้นเสมอ
อุปสรรคอย่างแรกที่ทั้งคู่ต้องพบเจอคือความห่าง ทั้งระยะทาง อายุ การศึกษา ชื่อเสียงทางสังคม ที่มันต่างกันราวฟ้ากับเหว
โปรไฟล์ของยุ้ยนั้นจัดว่าอยู่ในระดับที่สูงส่งเกินกว่าที่ทอมจะไขว่คว้าถึง
เธอจบการศึกษาระดับปริญญาโท หน้าที่การงานก็มั่นคง ชื่อเสียงในวงการศิลปะก็โด่งดังเป็นที่รู้จัก มันสวนทางกับทอมโดยสิ้นเชิง เขาจบการศึกษาในระดับเทียบเท่าม.6 การงานแม้จะมั่นคงแต่ก็ต้องใช้แรงเป็นส่วนใหญ่ แถมชื่อเสียงในวงการก็เรียกได้ว่าไม่มีใครรู้จักเลยก็ว่าได้
นั่นนับเป็นความกดดันอย่างหนักหน่วงที่ทอมต้องเผชิญหน้า แต่เขาก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้เพราะกำลังใจที่ส่งผ่านเป็นคำพูดจากคนรักของเขา
'
ถ้าเรารักกัน เรื่องพวกนั้นก็ไม่ต้องกังวล ขอมือหน่อย '
'
ทำไมครับ? '
'
จะจับมันไว้เพื่อให้กำลังใจ ' นี่เป็นคำพูดที่ยุ้ยมักบอกกับทอมเสมอ
อุปสรรคต่อมาคือเพื่อน ด้วยการศึกษาและหน้าที่การงานของยุ้ย เพื่อนของเธอก็ย่อมเป็นผู้คงแก่เรียนเช่นกัน
เด็กเกินไป
เลิกเถอะ
นี่คือคำพูดของเพื่อนที่บอกกับยุ้ย ซึ่งทอมก็แอบน้อยใจบ้าง เขาเองก็รู้ตัวดีถึงความไม่เหมาะสมกันของความรักครั้งนี้
'
ขอมือหน่อย จะจับมันไว้ ' ยุ้ยบอกผ่านข้อความ
'
พี่จะจับมันไหวเหรอครับ' ทอมถาม
'
ทำไมล่ะ เราไม่ได้รักกันหรอกเหรอ ' ยุ้ยถามกลับ
'
รักสิครับ ' ทอมตอบ
'
ถ้ารักก็อย่าปล่อยมือกันสิ จับมือกันไว้ให้แน่น ๆ จับไว้แบบนี้อย่าปล่อยให้หลุดออกจากกัน ' ยุ้ยบอก
แม้จะเป็นเพียงตัวอักษร แต่มันก็เป็นสิ่งที่เติมความรู้สึกดีให้แก่จิตใจที่วิตกฟุ้งซ่านของทอมให้กล้าเผชิญกับทุกปัญหาที่เข้ามารุมเร้าในตอนนี้และที่จะเข้ามาทักทายในอนาคต
เขาจะเผชิญหน้ามันอย่างกล้าหาญ ในเมื่อเส้นแบ่งที่เคยถูกขีดไว้เขายังสามารถก้าวข้ามมันได้อย่างสวยงาม แล้วกะอีแค่อุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำไมเขาจะก้าวข้ามมันไปไม่ได้เล่า เพราะการก้าวข้ามในครั้งนี้เขาไม่ได้ทำมันเพียงคนเดียว ตั้งแต่บัดนี้ไปเขาจะมีใครอีกคนเป็นกำลังใจอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่จะก้าวเดินไปพร้อมกัน จับมือเคียงข้างกันบนเส้นทางแห่งชีวิตรัก
ความรักที่เกิดจากความจริงใจของคนสองคน จะมีแรงผลักดันประหลาดให้คนทั้งคู่ผ่านพ้นสิ่งต่าง ๆ ที่เลวร้ายและบั่นทอนจิตใจได้อย่างสวยงาม
ทอมมองมือตัวเองแล้วยิ้มน้อย ๆ
"รอก่อนนะครับ ผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด จะประสบความสำเร็จให้พี่เห็น แล้วพอถึงวันนั้น เราจะได้จับมือกันจริง ๆ เสียที"
จบ.
รักต่าง...ต่างรัก
โดย ผมชื่อง่วง
ทอม เด็กหนุ่มอายุสามสิบต้น ๆ ผู้ที่มีงานอดิเรกเป็นจิตรกรฝึกหัด เขามักสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในแบบฉบับของตัวเอง งานทุกชิ้นที่เขาบรรจงใช้พู่กันจุ่มสีแล้วป้ายลงบนผืนผ้าใบเนื้อหยาบมักจะแสดงออกถึงตัวตนและจิตสำนึกภายในของเขา
เขามักจะถ่ายรูปผลงานที่ตนเองทำเสร็จใหม่ ๆ โพสลงไปในสื่อโซเชียลเป็นประจำ หลายคนเข้ามาชื่นชมผลงานบ้างก็ว่ามันสวย มันอาร์ต มันให้แรงบันดาลใจ แต่ก็มีเหมือนกันที่เข้ามาติ บอกว่าผลงานของเขามันดูสะเปะสะปะ เขาก็น้อมรับคำชมและคำติเหล่านั้นเก็บเกี่ยวเอามาเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาฝีมือต่อไป
วันหนึ่ง กล่องข้อความของเพจที่เขาโพสแสดงผลงานไว้ก็แจ้งเตือนว่ามีคนคอมเม้นท์เกี่ยวกับงานของเขา
ครั้งแรกเขาเปิดอ่านเฉย ๆ พอจับใจความได้คร่าว ๆ ว่าคนที่มาเม้นท์เขาพูดเกี่ยวกับงานชิ้นนั้นไว้ค่อนข้างดี ค่อนไปทางเป็นคำชม อาจมีข้อผิดพลาดให้ได้ติติงบ้าง
ถัดจากนั้นอีกประมาณสองวันกล่องข้อความก็แจ้งเตือนอีกเช่นเคย มันเป็นข้อความจากคน ๆ เดิม ข้อความแบบเดิม ๆ แต่มีเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
'ถ้ามันทำให้รู้สึกไม่พอใจก็ขอโทษด้วยนะคะ '
นี่เองที่ทำให้ทอมต้องเปลี่ยนความคิด เขาตัดสินใจตอบกลับข้อความนั้นไป เป็นเชิงว่าขอโทษที่อ่านแล้วไม่ได้ตอบกลับเนื่องจากไม่มีเวลา และก็ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่กรุณามอบให้ เขาจะนำมันไปใช้เพื่อพัฒนาฝีมือต่อไป
นั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ เพราะหลังจากวันนั้นคนทั้งสองก็มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด อันที่จริงแล้วคงต้องบอกว่าเป็นการให้คำแนะนำฝ่ายเดียวน่าจะเหมาะกว่า
เนื่องจากบุคคลที่ให้คำแนะนำทอมในเรื่องของงานศิลป์ในครั้งนี้ เธอเป็นจิตรกรชื่อดัง ผลงานของเธอนั้นมีออกมาให้เห็นมากมายและงานทุกชิ้นก็ได้รับการยอมรับและคำชมอย่างล้นหลาม
ทั้งคู่พูดคุยกันเรื่อยมา พูดคุยกันทุกวันผ่านกล่องข้อความของเพจที่ทอมแสดงผลงานไว้ โดยบุคคลปริศนาผู้ให้ทั้งคำแนะนำและแรงบันดาลใจนั้นได้ขีดเส้นกั้นไว้หนึ่งเส้น
เราจะคุยกันแบบนี้ต่อไปโดยจะมีเพียงความปรารถนาดีให้กันเพียงเท่านั้น เราจะไม่ข้ามเส้นแบ่งนี้จนความสัมพันธ์เลยเถิด
ซึ่งทอมเองก็รับปากและปฏิบัติตามมาโดยตลอด
แต่ขึ้นชื่อว่าความรักมันมักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนให้รู้ล่วงหน้า ทอมหลงรักผู้หญิงคนนี้เสียแล้ว
ด้วยความสดใส คำพูดคำจาที่ถูกสื่อผ่านตัวอักษร มันทำให้ทอมรู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้เอามาก ๆ เขาหลงรักเธอ และเป็นการหลงรักข้างเดียว
เมื่อวันเวลาผ่านไป ทั้งทอมและผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงพูดคุยให้คำปรึกษากันเสมอมา แต่ในใจทอมนั้นมันอัดแน่นไปด้วยความอิ่มเอม เขาอยากคุยกับเธอทุกวัน อยากบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาพบเจอมาในแต่ละวันให้เธอรับรู้
และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ทอมตัดสินใจบอกความรู้สึกออกไป วันที่เขาตัดสินใจข้ามเส้นแบ่งแห่งความสัมพันธ์ที่ถูกขีดไว้และเขาไม่เคยคิดกล้าที่จะละเมิดมัน
"พี่ยุ้ยครับ ผมรักพี่"
ทอมบอกผ่านทางโทรศัพท์ในขณะที่ทั้งสองคุยกัน
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง
"แน่ใจแล้วเหรอ" ยุ้ยถาม
"ครับ ผมแน่ใจ" ทอมตอบอย่างมั่นใจ
"แล้วพี่จะมั่นใจในตัวทอมได้ยังไงว่าทอมรักพี่จริง" ยุ้ยถาม
"ผมรักพี่จริง ๆ ครับ" ทอมบอกเพื่อย้ำความมั่นใจของตนเองหวังให้ปลายสายรับรู้ถึงความจริงใจที่เขามีให้
"พิสูจน์สิ" ยุ้ยบอก
"แบบไหนล่ะครับ"
"มีวิธีมากมายที่จะพิสูจน์ให้ใครสักคนเห็นว่า เรารักและจริงใจกับเขาจริง ๆ" ยุ้ยบอก
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็วางสาย ทอมครุ่นคิดว่าเขาจะทำอย่างไร จะสื่อความรู้สึกที่มีนี้ด้วยวิธีไหนยุ้ยถึงจะรับรู้
'ไปดูเฟสผมสิครับ ' ทอมบอกยุ้ยผ่านกล่องข้อความ
ประมาณห้านาทียุ้ยก็ตอบกลับมา
'ขอบคุณนะ คิดดีแล้วใช่มั๊ย '
'ครับ ' ทอมตอบสั้น ๆ
คืนนั้น ทั้งสองคุยกันมากมายหลายเรื่องเหมือนเช่นทุกวัน แต่การคุยครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะทั้งคู่มิได้คุยกันในฐานะที่ปรึกษาด้านงานศิลป์เพียงอย่างเดียว แต่คุยกันในฐานะคนรัก
แต่ทุกความรักย่อมมีอุปสรรคมาขวางกั้นเสมอ
อุปสรรคอย่างแรกที่ทั้งคู่ต้องพบเจอคือความห่าง ทั้งระยะทาง อายุ การศึกษา ชื่อเสียงทางสังคม ที่มันต่างกันราวฟ้ากับเหว
โปรไฟล์ของยุ้ยนั้นจัดว่าอยู่ในระดับที่สูงส่งเกินกว่าที่ทอมจะไขว่คว้าถึง
เธอจบการศึกษาระดับปริญญาโท หน้าที่การงานก็มั่นคง ชื่อเสียงในวงการศิลปะก็โด่งดังเป็นที่รู้จัก มันสวนทางกับทอมโดยสิ้นเชิง เขาจบการศึกษาในระดับเทียบเท่าม.6 การงานแม้จะมั่นคงแต่ก็ต้องใช้แรงเป็นส่วนใหญ่ แถมชื่อเสียงในวงการก็เรียกได้ว่าไม่มีใครรู้จักเลยก็ว่าได้
นั่นนับเป็นความกดดันอย่างหนักหน่วงที่ทอมต้องเผชิญหน้า แต่เขาก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้เพราะกำลังใจที่ส่งผ่านเป็นคำพูดจากคนรักของเขา
'ถ้าเรารักกัน เรื่องพวกนั้นก็ไม่ต้องกังวล ขอมือหน่อย '
'ทำไมครับ? '
'จะจับมันไว้เพื่อให้กำลังใจ ' นี่เป็นคำพูดที่ยุ้ยมักบอกกับทอมเสมอ
อุปสรรคต่อมาคือเพื่อน ด้วยการศึกษาและหน้าที่การงานของยุ้ย เพื่อนของเธอก็ย่อมเป็นผู้คงแก่เรียนเช่นกัน
เด็กเกินไป
เลิกเถอะ
นี่คือคำพูดของเพื่อนที่บอกกับยุ้ย ซึ่งทอมก็แอบน้อยใจบ้าง เขาเองก็รู้ตัวดีถึงความไม่เหมาะสมกันของความรักครั้งนี้
'ขอมือหน่อย จะจับมันไว้ ' ยุ้ยบอกผ่านข้อความ
'พี่จะจับมันไหวเหรอครับ' ทอมถาม
'ทำไมล่ะ เราไม่ได้รักกันหรอกเหรอ ' ยุ้ยถามกลับ
'รักสิครับ ' ทอมตอบ
'ถ้ารักก็อย่าปล่อยมือกันสิ จับมือกันไว้ให้แน่น ๆ จับไว้แบบนี้อย่าปล่อยให้หลุดออกจากกัน ' ยุ้ยบอก
แม้จะเป็นเพียงตัวอักษร แต่มันก็เป็นสิ่งที่เติมความรู้สึกดีให้แก่จิตใจที่วิตกฟุ้งซ่านของทอมให้กล้าเผชิญกับทุกปัญหาที่เข้ามารุมเร้าในตอนนี้และที่จะเข้ามาทักทายในอนาคต
เขาจะเผชิญหน้ามันอย่างกล้าหาญ ในเมื่อเส้นแบ่งที่เคยถูกขีดไว้เขายังสามารถก้าวข้ามมันได้อย่างสวยงาม แล้วกะอีแค่อุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำไมเขาจะก้าวข้ามมันไปไม่ได้เล่า เพราะการก้าวข้ามในครั้งนี้เขาไม่ได้ทำมันเพียงคนเดียว ตั้งแต่บัดนี้ไปเขาจะมีใครอีกคนเป็นกำลังใจอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่จะก้าวเดินไปพร้อมกัน จับมือเคียงข้างกันบนเส้นทางแห่งชีวิตรัก
ความรักที่เกิดจากความจริงใจของคนสองคน จะมีแรงผลักดันประหลาดให้คนทั้งคู่ผ่านพ้นสิ่งต่าง ๆ ที่เลวร้ายและบั่นทอนจิตใจได้อย่างสวยงาม
ทอมมองมือตัวเองแล้วยิ้มน้อย ๆ
"รอก่อนนะครับ ผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด จะประสบความสำเร็จให้พี่เห็น แล้วพอถึงวันนั้น เราจะได้จับมือกันจริง ๆ เสียที"
จบ.