🇹🇭มาลาริน🎈เผย22จังหวัด วันนี้ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เพิ่ม/ยอดผู้ติดเชื้อโควิดในเรือนจำดีขึ้น แต่บางขวางยังเพิ่ม

 

เพี้ยนแคปเจอร์จากกรณีเมื่อช่วงเช้า(30พ.ค.2564) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 4,528 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อใหม่ 2,626 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 1,902 ราย หายป่วยกลับบ้าน 2,933 ราย ผู้ป่วยสะสม 125,444 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) เสียชีวิต 24 ราย

ล่าสุดยังพบว่า 22 จังหวัดที่ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวันนี้ ได้แก่ เชียงใหม่ พัทลุง มหาสารคาม อุบลราชธานี ชัยภูมิ ลำพูน ลำปาง พิจิตร นครพนม ตราด น่าน สุโขทัย พะเยาะ เลย แพร่ อุตรดิตถ์ ชัยนาท พังงา อำนาจเจริญ แม่ฮ่องสอน มุกดาหาร สตูล



https://www.komchadluek.net/news/regional/468507

เพี้ยนปักหมุดยอดผู้ติดเชื้อโควิดในเรือนจำดีขึ้น แต่บางขวางยังหนักเจออีก 1,350 ราย



30 พฤษภาคม 2564  ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท.) รายงานเมื่อเวลา 14.00 น. เผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2564 เวลา 18.00 นาฬิกา) มีผู้ต้องขังติดเชื้อรายใหม่ จำนวน 1,902 ราย รักษาหาย 1,140 ราย ทำให้มีผู้ต้องขังที่ยังติดเชื้ออยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 14,714 ราย
  
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน ขอเรียนว่าสถานการณ์ในภาพรวมชัดเจนและดีขึ้น จากการตรวจสอบการติดเชื้อของเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังยืนยันว่าเรือนจำ 116 แห่ง ไม่มีผู้ติดเชื้อ และได้ปรับมาตรการห้องกักกันโรคขึ้น ส่วนเรือนจำที่พบการแพร่ระบาดได้พ้นสภาวะแล้ว 2 แห่ง คือ เรือนจำกลางเชียงใหม่และเรือนจำจังหวัดนราธิวาส ส่วนอีก 8 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯและนนทบุรี มีจำนวนผู้หายแล้วเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน คงเหลือเพียง 3 แห่ง คือ เรือนจำจังหวัดสงขลา เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา และทัณฑสถานวัยหนุ่มกลางที่ยังอยู่ในระหว่างการจัดระบบโรงพยาบาลสนาม

สำหรับ ข้อสงสัยเกี่ยวกับการรายงานยอดผู้ติดเชื้อของ ศบค.รท.ที่มีความแตกต่างจากยอดของ ศบค.นั้น กรมราชทัณฑ์ขอเรียนว่าได้มีการประสานกับกรมควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด โดยได้มีการปรับระบบการจัดเก็บข้อมูล รูปแบบข้อมูล และระยะเวลาในการจัดส่งข้อมูล เพื่อให้รายงานสอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกับ ศบค.ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ในวันนี้พบผู้ต้องขังติดโควิด รายใหม่ 5  เรือนจำ คือเรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งพบผู้ต้องขังติดเชื้อโควิดจำนวน 1,350 ราย มากสุดในวันนี้ รองลงมาคือเรือนจำกลางคลองเปรม 399 ราย เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา 56 ราย ทัณฑสถานบำบัดพิเศษ 55 ราย และเรือนจำจังหวัดสงขลา 42 ราย

https://www.thaipost.net/main/detail/104681

นานาเรียนสถานการณ์น่าจะดีขึ้นแล้วนะคะ  จำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ในที่ควบคุมได้แล้ว

แม้จำนวนคนติดเชื้อจะมากขึ้น  แต่อยู่ในกลุ่มกักกันอย่างเข้มงวด

แต่ประชาชนอย่าการ์ดตกเพราะความประมาทไม่ระมัดระวังกันอีกค่ะ

ต้องมีจิตสำนึกสาธารณะให้มากๆ  ร่วมมือกันหยุดเชื้อเพื่อชาติค่ะ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"อว. เผยฉีดวัคซีนทั่วโลกแล้ว 1,815 ล้านโดส ใน 197 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 50.526 ล้านโดส ไทยฉีดแล้วมากกว่า 3.5 ล้านโดส"

(29 พฤษภาคม 2564) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 1,815 ล้านโดส ใน 197 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 30.9 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณารายประเทศพบว่าอิสราเอลได้ฉีดวัคซีนครอบคลุมเกินครึ่งของประชากรแล้ว ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 292 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 134 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว"

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 50.526 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (32.7% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 26.758 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 3,504,125 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 39.4%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 1,815 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1) ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 4 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 60% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 584.36 ล้านโดส (20.9% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. สหรัฐอเมริกา จำนวน 292.10 ล้านโดส (45.6%)
3. สหภาพยุโรป จำนวน 238.83 ล้านโดส (26.9%)
4. อินเดีย จำนวน 208.61 ล้านโดส (7.6%)

2) ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (63.5%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford และ Sinopharm )
2. อิสราเอล (58.8% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
3. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (58.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
4. บาห์เรน (55.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
5. ชิลี (47.7%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
6. สหราชอาณาจักร (47.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
7. สหรัฐอเมริกา (45.6%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Johnson&Johnso
8. กาตาร์ (44.3%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech)
9. ฮังการี (43.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
10. อุรุกวัย (38.9%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca, Pfizer และ Sinovac)

3) จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 54.78%
2. อเมริกาเหนือ 19.36%
3. ยุโรป 17.53%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.39%
5. แอฟริกา 1.68%
6. โอเชียเนีย 0.26%

4) ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 22,984,902 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 26,758,625 โดส (5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac และ AstraZeneca
2. ฟิลิปปินส์ จำนวน 4,495,375 โดส (2.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V และ AstraZeneca
3. กัมพูชา จำนวน 4,329,034 โดส (12.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca และ Sinovac
4. สิงคโปร์ จำนวน 3,728,869 โดส (32.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer และ Moderna
5. ไทย จำนวน 3,504,125 โดส (2.6%* ของประชากร)  ฉีดวัคซีนของ Sinovac และ AstraZeneca
6. พม่า จำนวน 2,994,900 โดส (2.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca
7. มาเลเซีย จำนวน 2,786,152 โดส (4.3%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
8. เวียดนาม จำนวน 1,038,741 โดส (0.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca
9. ลาว จำนวน 856,542 โดส (5.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V
10. บรูไน จำนวน 33,850 โดส (3.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

5) ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2564
จัดสรรวัคซีนแล้วทั้งหมด 3,926,610 โดส
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 3,504,125 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 2,415,903 โดส
-เข็มสอง 1,088,222 โดส

แหล่งข้อมูล Bloomberg Vaccine Tracker, กระทรวงสาธารณสุข
ประมวลข้อมูลโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
https://www.facebook.com/nrctofficial/posts/3846731332119077


จำนวนการได้รับวัคซีนสะสม (28 ก.พ. - 29 พ.ค. 2564)
รวม 3,548,330 โดส ใน 77 จังหวัด

จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 : 2,453,807 ราย
(จำนวนผู้ได้รับวัคซีนทั้งหมด)

จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 : 1,094,523 ราย
(จำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์)
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/335341904750807


รายละเอียดผู้เสียชีวิตของประเทศไทย
วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564 จำนวน 24 ราย
แหล่งข้อมูล : กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/335421728076158


เฝ้าระวังลักการลอบข้ามชายแดนไทย-มาเลเซีย 4 จังหวัด
ได้แก่ สงขลา ยะลา นราธิวาส สตูล

หลังมาเลเซียประกาศล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 -14 มิ.ย. 64
คาดว่าจะมีชาวไทยเดินทางกลับประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ เราไม่ปฏิเสธคนไทยเดินทางกลับประเทศ แต่ขอให้เข้ามาอย่างถูกต้อง เข้าสู่ระบบกักกันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/335437231407941


วันนี้ กทม. ไม่พบคลัสเตอร์ใหม่

พร้อมตั้งเป้าตรวจเชิงรุก
• 486 ตลาดทั่ว กทม.
• 30 แคมป์ก่อสร้าง เริ่มตรวจวันที่ 1 - 30 มิ.ย. 64
โดยการตรวจตัวอย่างน้ำลาย สิ่งแวดล้อม ความสะอาด จุดสัมผัสร่วมและการปฏิบัติตามมาตรการ

ทั้งนี้ ผู้จัดการตลาด เจ้าของตลาด หรือผู้นำชุมชน สามารถตรวจสอบประเมินตลาดเองได้ที่ Thai Stop Covid Plus โดย กรมอนามัย (https://stopcovid.anamai.moph.go.th/th)
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/335446971406967


22 จังหวัด ไม่พบผู้ติดเชื้อ ได้แก่ เชียงใหม่ พัทลุง มหาสารคาม อุบลราชธานี ชัยภูมิ ลำพูน ลำปาง พิจิตร นครพนม ตราด  น่าน สุโขทัย พะเยา เลย แพร่ อุตรดิตถ์ ชัยนาท พังงา อำนาจเจริญ แม่ฮ่องสอน มุกดาหาร และสตูล
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/335452378073093


จำนวนประชาชนที่จองรับวัคซีน
วันที่ 30 พฤษภาคม 2564 เวลา 14.00 น.
https://www.facebook.com/Mohpromt/posts/1387663284945907


Q & A เคยลงทะเบียน "หมอพร้อม" แล้ว
ต้องลงทะเบียนในระบบอื่นอีกหรือไม่
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1683811068471772&id=470988516420706


ข้อปฏิบัติผู้ป่วย ’โรคความดันโลหิตสูง’ กับการฉีดวัคซีนโควิด-19

โรคความดันโลหิตสูง’ ถือเป็นกลุ่มโรคประจำตัวและมีปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรคโควิด-19 ที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนเป็นลำดับต้น ๆ ดังนั้น ผู้ป่วยด้วยโรคนี้ จึงควรทำความเข้าใจถึงการเตรียมความพร้อมร่างกายก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19

ในเรื่องนี้ ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้แนะนำว่า การเตรียมตัวสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจร่วมด้วย ก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 จะต้องควบคุมความดันให้ไม่เกิน 140 มม.ปรอท

หากมีโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ ต้องทานยาสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติจะต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์

ซึ่งหลังฉีดเรียบร้อยแล้วภายใน 2 - 4 ชม. ไม่ควรทำกิจกรรมอะไร เพื่อให้วัคซีนได้ทำงานอย่างเต็มที่ และทานยาประจำโรคได้ปกติ ยกเว้นทานยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด ที่จะต้องแจ้งแพทย์ทันที เพราะอาจมีผลข้างเคียง คือ เลือดออกในกล้ามเนื้อตรงจุดที่ฉีดยา โดยมีลักษณะการบวม หรือช้ำเลือด

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ไม่ควรหยุดทานยาเพื่อฉีดวัคซีน เว้นแต่กรณีที่แพทย์แนะนำให้หยุดยาชั่วคราว เพื่อให้ผลลัพธ์ของวัคซีนแม่นยำขึ้น
https://www.facebook.com/ThaigovSpokesman/posts/1184978308634640


"หมอพร้อม" หยุดให้บริการชั่วคราวตั้งแต่ 31 พ.ค.นี้

หมอพร้อม ประกาศหยุดให้บริการลงทะเบียนฉีดวัคซีน ชั่วคราวตั้งแต่ 31 พ.ค. 64  คงไว้แต่ใช้แสดงข้อมูลหลังฉีดวัคซีน นัดหมายฉีดเข็มที่ 2 และขอใบรับรองการฉีดวัคซีน

สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคที่ลงทะเบียนไว้แล้วสามารถไปรับวัคซีนได้ตามกำหนดเดิม

ประชาชนสามารถลงทะเบียนผ่านช่องทางของ กทม. หรือจังหวัด เช่น แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ ที่จังหวัดกำหนดขึ้น รพ.สต. อสม. โรงพยาบาลใกล้บ้าน และระบบหมอพร้อม เมื่อเปิดให้บริการอีกครั้ง
https://www.facebook.com/ThaigovSpokesman/posts/1184863865312751
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่