قَالَتْ رُسُلُهُمْ أَفِي اللَّهِ شَكٌّ فَاطِرِ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ ۖ يَدْعُوكُمْ لِيَغْفِرَ لَكُمْ مِنْ ذُنُوبِكُمْ وَيُؤَخِّرَكُمْ إِلَىٰ أَجَلٍ مُسَمًّى ۚ قَالُوا إِنْ أَنْتُمْ إِلَّا بَشَرٌ مِثْلُنَا تُرِيدُونَ أَنْ تَصُدُّونَا عَمَّا كَانَ يَعْبُدُ آبَاؤُنَا فَأْتُونَا بِسُلْطَانٍ مُبِينٍ {10}
[Shakir 14:10] Their messengers said: Is there doubt about Allah, the Maker of the heavens and the earth? He invites you to forgive you your faults and to respite you till an appointed term. They said: You are nothing but mortals like us; you wish to turn us away
from what our fathers used to worship; bring us therefore some clear authority.
สำหรับมุสลิม ก่อนที่เราจะเข้าใจเรื่องผู้สร้างและอำนาจของผู้สร้าง เราจะต้องตั้งคำจำกัดความของ ผู้สร้างเสียก่อน: ผู้สร้างนั้น ไม่มีตัวตนไม่มีน้ำหนักไม่มีทิศทาง ไม่อาจจะสัมผัสด้วยประสาททั้ง 5 ของมนุษย์ได้ แต่ผลของอำนาจของพระองค์นั้นมีอยู่จริง เป็นสิ่งที่เราสัมผ้สด้วยประสาททั้ง 5 ได้ นั้นคือจักรวาลและธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลงานของผู้สร้างซึ่งแสดงว่ามีผู้สร้างอยู่จริงอย่างแน่นอน
มนุษย์เราสามารถที่จะเชื่อเรื่องราวทางจิตวิญญาณได้ว่า “อำนาจของผู้สร้างนั้นมีอยู่จริง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ จากการ สังเกตุ สัญาณต่างๆและผลงานของของผู้สร้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เช่นเดียวกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่า แรงโน้มถ่วง นี้มีอยู่จริง แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ให้เห็นรูปร่างหน้าตา ของแรงโน้มถ่วงนั้นอย่างแน่นอนโดยขบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่นกันแต่ก็เชื่อว่าแรงโน้มถ่วงนั้นมีอยู่จริงเนื่องจาก เห็นผลของมัน และใช้ประโยชน์จากผลของมัน
ผู้ที่ มีศรัทธาต่อผู้สร้างอย่างแท้จริงไม่มีความจำเป็นจะต้อง พิสูจน์ความมีอยู่จริงของผู้สร้าง เช่นเดียว กับทารก เมื่อเติบโตมา ไม่มีความต้องการที่จะพิสูจน์ว่า พ่อแม่เป็นพ่อแม่ที่แท้จริงหรือไม่ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีวิธีการที่จะพิสูจน์ได้อย่างแน่นอนก็ตาม ทั้งนี้เพราะว่าตามสัญชาตญาณ ลูกมีความศรัทธาและเชื่อมั่นต่อผู้ให้กำเนิด ถึงแม้ว่าเมื่อเติบโตแล้วจะรู้ภายหลังว่าเป็นลูกที่พ่อแม่รับมาเลี้ยงก็ตาม ลูกที่ดีก็จะเชื่อฟังพ่อแม่และปฏิบัติตามคำสอนของพ่อแม่อย่างเคร่งครัด และเติบโตมาเป็นคนดีมีความสุขความเจริญ
ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงก็เช่นเดียวกัน เมื่อเขามีความศรัทธาต่อพระเจ้าแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องพิสูจน์ถึงความมีอยู่จริงของผู้สร้าง นอกจากจะมองดูผลงานของผู้สร้างที่อยู่รอบตัวเขา นั้นก็คือธรรมชาติ เพราะว่าจักรวาลและชีวิตจะเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่าไม่ได้ สิ่งที่ผู้ศรัทธาที่แท้จริงจะต้องทำก็คือปฏิบัติตามคำสอนที่พระผู้สร้างทรงบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน
ศาสนาอิสลามสอนให้รู้จักผู้สร้างและอำนาจของผู้สร้างว่ามีอยู่เพียงหนึ่งเดียว และ มุสลิมเรียกเป็นภาษาอรับว่า อัลเลาะห์ หรือ อัลลอฮ์ ซึ่งเป็นสภาวะเดียวที่มุสลิม ยอมจำนน ทั้งกาย วาจา ใจ และกราบไหว้บูชา หรือภาษาไทยเราเรียกว่า “พระเจ้า” เมื่อมุสลิมยึดอยู่กับพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว และปฏิบัติการใช้ชีวิตประจำวัน ตามแนวทางที่พระเจ้าวางไว้ในอัลกุรอาน จิตใจของมุสลิมจะไม่ไขว้เขว จะไม่ยึดเอา วัตถุ ต้นไม่ใหญ่หรือขุนเขาเป็นที่พึ่ง ทางจิตวิญญาณ มุสลิมให้ความไว้วางใจทุกสิ่งทุกอย่างต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ถ้าหากมุสลิมจะถูกเรียกว่าศรัทธาอย่างงมงาย มุสลิมก็ควรจะพากภูมิใจที่หลงงมงายต่อพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และเป็นการงมงายอย่างมีจุดมุ่งหมาย ชีวิตที่ยึดถือศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวของมุสลิมคือชีวิตที่มีความมุ่งหมายไปสู่ความสำเร็จในชีวิตบนโลกนี้และในปรโลก
อัลลอฮ์ "ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหลาย"
มนุษย์เราสามารถที่จะเชื่อเรื่องราวทางจิตวิญญาณได้ว่า “อำนาจของผู้สร้างนั้นมีอยู่จริง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ จากการ สังเกตุ สัญาณต่างๆและผลงานของของผู้สร้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผู้ที่ มีศรัทธาต่อผู้สร้างอย่างแท้จริงไม่มีความจำเป็นจะต้อง พิสูจน์ความมีอยู่จริงของผู้สร้าง เช่นเดียว กับทารก เมื่อเติบโตมา ไม่มีความต้องการที่จะพิสูจน์ว่า พ่อแม่เป็นพ่อแม่ที่แท้จริงหรือไม่ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีวิธีการที่จะพิสูจน์ได้อย่างแน่นอนก็ตาม ทั้งนี้เพราะว่าตามสัญชาตญาณ ลูกมีความศรัทธาและเชื่อมั่นต่อผู้ให้กำเนิด ถึงแม้ว่าเมื่อเติบโตแล้วจะรู้ภายหลังว่าเป็นลูกที่พ่อแม่รับมาเลี้ยงก็ตาม ลูกที่ดีก็จะเชื่อฟังพ่อแม่และปฏิบัติตามคำสอนของพ่อแม่อย่างเคร่งครัด และเติบโตมาเป็นคนดีมีความสุขความเจริญ
ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงก็เช่นเดียวกัน เมื่อเขามีความศรัทธาต่อพระเจ้าแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องพิสูจน์ถึงความมีอยู่จริงของผู้สร้าง นอกจากจะมองดูผลงานของผู้สร้างที่อยู่รอบตัวเขา นั้นก็คือธรรมชาติ เพราะว่าจักรวาลและชีวิตจะเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่าไม่ได้ สิ่งที่ผู้ศรัทธาที่แท้จริงจะต้องทำก็คือปฏิบัติตามคำสอนที่พระผู้สร้างทรงบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน
ศาสนาอิสลามสอนให้รู้จักผู้สร้างและอำนาจของผู้สร้างว่ามีอยู่เพียงหนึ่งเดียว และ มุสลิมเรียกเป็นภาษาอรับว่า อัลเลาะห์ หรือ อัลลอฮ์ ซึ่งเป็นสภาวะเดียวที่มุสลิม ยอมจำนน ทั้งกาย วาจา ใจ และกราบไหว้บูชา หรือภาษาไทยเราเรียกว่า “พระเจ้า” เมื่อมุสลิมยึดอยู่กับพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว และปฏิบัติการใช้ชีวิตประจำวัน ตามแนวทางที่พระเจ้าวางไว้ในอัลกุรอาน จิตใจของมุสลิมจะไม่ไขว้เขว จะไม่ยึดเอา วัตถุ ต้นไม่ใหญ่หรือขุนเขาเป็นที่พึ่ง ทางจิตวิญญาณ มุสลิมให้ความไว้วางใจทุกสิ่งทุกอย่างต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ถ้าหากมุสลิมจะถูกเรียกว่าศรัทธาอย่างงมงาย มุสลิมก็ควรจะพากภูมิใจที่หลงงมงายต่อพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และเป็นการงมงายอย่างมีจุดมุ่งหมาย ชีวิตที่ยึดถือศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวของมุสลิมคือชีวิตที่มีความมุ่งหมายไปสู่ความสำเร็จในชีวิตบนโลกนี้และในปรโลก