“พิมพ์ชนก” เสียงเรียกชื่อฉันของครูประจำชั้น
ซึ่งต้องเช็คชื่อนักเรียนทุกคน ทุกเช้าช่วงชั่วโมงโฮมรูม เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่อยากมาเรียน
“มาค่ะ” ฉันขานรับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แบบเบื่อหน่าย
“วันนี้เธอจะพูดถึงพันคำหรือเปล่า ฮื่อ..พิมพ์ชนก” ครูที่ปรึกษาพูดแซวฉันแต่เช้า เพราะครูเขาสังเกตว่าฉันไม่ค่อยพูด
เพื่อนๆในห้องเรียนจะรู้ว่าฉันเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาก ชอบอยู่ในโลกส่วนตัว แต่เพื่อนในห้องก็ชอบฉันนะ เพราะฉันจะเป็นมิตร
กับเพื่อนทุกคน ไม่ว่าให้ใคร แบ่งปันและช่วยเหลือเพื่อนด้วยความจริงใจ แต่ถ้าจะให้เลือกที่จะอยู่กับเพื่อนอย่างวุ่นวาย
และพูดคุยแต่เรื่องน่าเบื่อหน่ายและไร้สาระ ฉันชอบเลือกที่จะอยู่ในโลกส่วนตัวของฉันเองมากกว่า มีความสุขกับการจินตนาการของตัวเอง
แบบที่คนอื่นเข้าไปไม่ถึงหรือยากที่จะเข้าใจ
“ต้อง..ต้อง นายจะไปไหนหนะ ห้องเราอยู่นี่นะ”
เพื่อนของคนชื่อ “ต้อง” เรียกเขาเสียงดัง ทำให้ทุกคนมองไปทางเดียวกัน ไปที่เป้านิ่งคือนายต้อง เพราะทุกคนอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉันนั่งแถวที่สองด้านขวาของห้องเรียน เงยหน้ามองตามเสียงที่เพื่อนเขาเรียก เพราะใครๆก็ต้องมองตามเสียงนั่นอยู่แล้ว
ไม่คิดว่าคนที่ชื่อต้องจะมองมาที่ฉัน เขาทำหน้าแบบไม่ได้ตั้งใจมองฉัน ทำท่าทางเหมือนมองไปทางด้านหลังห้อง
แต่มาหยุดที่ตรงหน้าฉัน สายตาประสานตรงกันพอดี ฉันสะดุ้งเล็กน้อย แต่ไม่แสดงอาการอะไรออกมา ยังนั่งเฉยและหลบตาเขา
ก้มหน้าทำการบ้านต่อไป เหมือนไม่เห็นอะไร
นายต้องเดินเข้ามาหาเพื่อนเขาที่อยู่ด้านหลังห้อง พูดอะไรกันคำสองคำ แล้วก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายเกี่ยวกับเขา เพราะแค่ชีวิตตัวเองก็แย่อยู่แล้ว ไม่อยากที่จะเอาเรื่องของคนอื่นเข้ามาคิดให้ปวดหัว
เช้านี้ฝนตกเบาๆ นักเรียนต้องยืนเข้าแถวหน้าระเบียงของอาคารเรียน ฉันออกไปยืนเข้าแถวหน้าห้องตามปกติ เป็นด้วยฉันมีส่วนสูง
ที่ไม่มากเหมือนเพื่อนที่สูงๆ ฉันต้องมายืนปลายแถวเป็นคนสุดท้ายของห้อง ฉันหันไปมองอีกห้องที่อยู่ติดกัน เพราะได้ยินเสียงกลุ่ม
นักเรียนชายห้องนั้นดังวุ่นวาย เพราะแย่งที่ยืนเข้าแถวกัน
สะดุดตา...ตรงคนที่มายืนติดกับฉัน คือ...นายต้องนี่เอง เขาตัวไม่สูงกว่าอีกคนที่ยืนถัดไป แต่เขาพยายามจะมายืนให้เป็นคนแรก
ของห้องให้ได้ จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ฉันมองและอมยิ้มให้เขา เพราะเขามองมาที่ฉัน และเขาได้ยืนใกล้กับฉันจนได้
ทุกเช้าก่อนเข้าชั่วโมงโฮมรูม นายต้องจะโผล่หน้ามามองฉัน และทำทีมองเพื่อนทางด้านหลัง ทำอย่างนี้เป็นประจำ ทำให้ฉันเกิด
ความรู้สึกแปลกๆขึ้นในใจ จากคนที่เบื่อหน่ายในชีวิต ไม่อยากเรียนหนังสือ รู้สึกท้อแท้กับชีวิตที่เป็นอยู่ เหมือนอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้
ไม่มีใครที่จะเข้าใจชีวิตฉันเลย คิดอะไรมีแต่เรื่องของตัวเอง วนเวียนอยู่เรื่อยๆ เหมือนจบไม่เป็น
ฉันเป็นเด็กมีปัญหาคนหนึ่ง ถึงแม้จะมีครอบครัวที่ปกติเหมือนคนอื่น แต่ฉันเป็นคนคิดมาก คิดน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา เหมือนคนขาด
ความรักและความอบอุ่น จึงทำให้บุคลิกภาพออกมาเป็นเช่นนี้ แต่มีเขานายต้องที่สนใจฉัน เหมือนฟ้าส่งเขามาให้ฉัน
“นายต้อง นายไม่มีแว่นตาเหมือนเขา นายไม่ต้องฝันไปเลย เธอไม่สนใจนายหรอก”
เสียงเพื่อนนายต้องพูดดังมาจากด้านหลังห้องของเขา พอดีฉันเดินเข้าห้องฉันด้านหน้า จึงได้ยินชัดเจน แต่ฉันทำเป็นไม่ได้ยิน
เฉยและเดินเข้าห้องไป แต่ในใจคิดขึ้นมาทันทีเลยว่า เพื่อนนายต้องตั้งใจพูดให้ฉันได้ยินหรือเปล่า
ฉันเข้าไปใช้บริการห้องสมุด เพื่อหาหนังสืออ่านเพิ่มเติม ช่วงรอยืมหนังสือจากบรรณารักษ์ มีความรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองฉันอยู่
ฉันเงยหน้าขึ้นมา อ้าว..นายต้องอีกหละ เขายืนทำท่าพิงที่พนักสำหรับยืมหนังสือ และแอ่นหน้าอกขึ้นมาเพื่อให้ฉันดูชื่อของเขาที่ปักไว้
ที่หน้าอกเสื้อนักเรียน ฉันมองไปที่อกเสื้อนักเรียนของเขาและอ่านชื่อของเขา “ ชนม์มัย”
เราสบตากันตรงๆอีกครั้ง ฉันอมยิ้มให้เขาอย่างตั้งใจ เพราะเขาเป็นชายหนุ่มที่ฟ้าส่งมาให้ฉัน
เขาทำให้หัวใจฉันชุ่มฉ่ำ และเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นจากเดิมที่เบื่อหน่ายชีวิต กลับทำให้หัวใจน้อยๆของฉันที่แสนจะเหี่ยวเฉาเหมือน
ดอกไม้แรกแย้ม ที่ยังไม่ทันจะบานสะพรั่งแต่กลับมาเหี่ยวแห้งโรยรา
กลับพลิกชีวิตชีวาให้สดชื่นและพร้อมจะสู้และก้าวต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง เขาทำให้ฉันเกิดพลังขึ้นมาอย่างปาฏิหารย์
นายต้องดีใจมากที่ฉันมองชื่อของเขา เขายิ้มอย่างมีความสุขเห็นได้ชัด หน้าแดงระเรื่อ รอยยิ้มของฉันก็คงทำให้หัวใจดวงน้อย
ของเขาพองโต และเต้นตูมตามเป็นแน่แท้ แต่เราก็ได้แต่ยิ้มให้กันและกัน ยังไม่มีอะไรคืบหน้า คงเป็นเพราะฉันท่าทางเฉยและ
ไม่แสดงอาการว่าชอบเขาตอบหรืออย่างไร เขาจึงไม่กล้าเดินเข้ามาหาฉัน ได้แต่พยายามแอบมองและหลงรักฉันอยู่ในใจอยู่อย่างนั้น
หลังจากเรียนจบม.ปลาย เราต่างคนต่างแยกย้ายไปเรียนตามสถาบันที่สอบได้ แต่ฉันคิดถึงเขามาก เขาก็คงคิดถึงฉันเช่นกัน
ฉันพยายามติดตามข่าวคราวว่าเขาเรียนอยู่ที่ไหน เรียนคณะอะไรจากเพื่อนๆมาตลอด
ถึงเราจะไม่ได้คบกันแบบแฟนเหมือนคู่คนอื่น แต่เราต่างแอบชอบซึ่งกันและกันมาตลอด เพียงแต่นายต้องไม่กล้าเข้ามาบอกรักฉัน
และฉันก็ไม่กล้าแสดงอาการออกมาว่าชอบเขา ในใจเขาคงอยากจะเข้ามาบอกว่าชอบฉัน
แต่ฉันไม่ได้เปิดโอกาสให้เขา ได้เข้ามาบอกความในใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้ฉันจะชอบเขาเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะฉันอยู่
ในโลกส่วนตัวของฉันมานาน เขาเป็นคนแรกที่สามารถเจาะเข้ามาในโลกส่วนตัวฉันได้ แต่เขาได้เพียงก้าวเข้ามาและจากไปในช่วงเวลา
ที่เราเรียนม.ปลายด้วยกันเท่านั้น
เขาเป็นรักครั้งแรกของฉัน ...
แต่ฉันมิอาจล่วงรู้ได้เลยว่าฉันเป็นรักครั้งแรกของเขาหรือไม่...
เพราะหลังจากนั้นเราไม่ได้เจอกันอีกเลย ไม่ได้ข่าวของเขานานหลายปี
และแล้ววันหนึ่งวันที่รอคอยก็มาถึง ฉันได้ข่าวความเคลื่อนไหวของเขาจากเพื่อนๆว่าเขาแต่งงานแล้ว ในใจฉันก็ดีใจไปกับเขา
เพราะฉันเองก็มีครอบครัวแล้วเช่นกัน
.... แต่ความรู้สึกที่เคยรักเขาก็ยังคงอยู่ในใจเสมอ
....เพราะเขาเป็นชายหนุ่มคนแรกที่ทำให้ฉันรักเป็น
....เขาเป็นคนที่เข้ามาและทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป
....เขาทำให้ฉันสู้ชีวิตอย่างทรนง
...เขาทำให้ฉันก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ
...เขาเป็นคนที่ทำให้ฉันมีกำลังใจสู้ชีวิต
....คงไม่แปลกใช่ไหมที่ฉันจะเก็บรักของเขาเอาไว้ที่ปลายฟ้าตลอดไป...
....เพราะ... ณ ที่ปลายฟ้า....ไม่มีใครไปถึง นอกจากเขาและฉันเท่านั้น....
รักครั้งแรก
ซึ่งต้องเช็คชื่อนักเรียนทุกคน ทุกเช้าช่วงชั่วโมงโฮมรูม เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่อยากมาเรียน
“มาค่ะ” ฉันขานรับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แบบเบื่อหน่าย
“วันนี้เธอจะพูดถึงพันคำหรือเปล่า ฮื่อ..พิมพ์ชนก” ครูที่ปรึกษาพูดแซวฉันแต่เช้า เพราะครูเขาสังเกตว่าฉันไม่ค่อยพูด
เพื่อนๆในห้องเรียนจะรู้ว่าฉันเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาก ชอบอยู่ในโลกส่วนตัว แต่เพื่อนในห้องก็ชอบฉันนะ เพราะฉันจะเป็นมิตร
กับเพื่อนทุกคน ไม่ว่าให้ใคร แบ่งปันและช่วยเหลือเพื่อนด้วยความจริงใจ แต่ถ้าจะให้เลือกที่จะอยู่กับเพื่อนอย่างวุ่นวาย
และพูดคุยแต่เรื่องน่าเบื่อหน่ายและไร้สาระ ฉันชอบเลือกที่จะอยู่ในโลกส่วนตัวของฉันเองมากกว่า มีความสุขกับการจินตนาการของตัวเอง
แบบที่คนอื่นเข้าไปไม่ถึงหรือยากที่จะเข้าใจ
“ต้อง..ต้อง นายจะไปไหนหนะ ห้องเราอยู่นี่นะ”
เพื่อนของคนชื่อ “ต้อง” เรียกเขาเสียงดัง ทำให้ทุกคนมองไปทางเดียวกัน ไปที่เป้านิ่งคือนายต้อง เพราะทุกคนอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉันนั่งแถวที่สองด้านขวาของห้องเรียน เงยหน้ามองตามเสียงที่เพื่อนเขาเรียก เพราะใครๆก็ต้องมองตามเสียงนั่นอยู่แล้ว
ไม่คิดว่าคนที่ชื่อต้องจะมองมาที่ฉัน เขาทำหน้าแบบไม่ได้ตั้งใจมองฉัน ทำท่าทางเหมือนมองไปทางด้านหลังห้อง
แต่มาหยุดที่ตรงหน้าฉัน สายตาประสานตรงกันพอดี ฉันสะดุ้งเล็กน้อย แต่ไม่แสดงอาการอะไรออกมา ยังนั่งเฉยและหลบตาเขา
ก้มหน้าทำการบ้านต่อไป เหมือนไม่เห็นอะไร
นายต้องเดินเข้ามาหาเพื่อนเขาที่อยู่ด้านหลังห้อง พูดอะไรกันคำสองคำ แล้วก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายเกี่ยวกับเขา เพราะแค่ชีวิตตัวเองก็แย่อยู่แล้ว ไม่อยากที่จะเอาเรื่องของคนอื่นเข้ามาคิดให้ปวดหัว
เช้านี้ฝนตกเบาๆ นักเรียนต้องยืนเข้าแถวหน้าระเบียงของอาคารเรียน ฉันออกไปยืนเข้าแถวหน้าห้องตามปกติ เป็นด้วยฉันมีส่วนสูง
ที่ไม่มากเหมือนเพื่อนที่สูงๆ ฉันต้องมายืนปลายแถวเป็นคนสุดท้ายของห้อง ฉันหันไปมองอีกห้องที่อยู่ติดกัน เพราะได้ยินเสียงกลุ่ม
นักเรียนชายห้องนั้นดังวุ่นวาย เพราะแย่งที่ยืนเข้าแถวกัน
สะดุดตา...ตรงคนที่มายืนติดกับฉัน คือ...นายต้องนี่เอง เขาตัวไม่สูงกว่าอีกคนที่ยืนถัดไป แต่เขาพยายามจะมายืนให้เป็นคนแรก
ของห้องให้ได้ จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ฉันมองและอมยิ้มให้เขา เพราะเขามองมาที่ฉัน และเขาได้ยืนใกล้กับฉันจนได้
ทุกเช้าก่อนเข้าชั่วโมงโฮมรูม นายต้องจะโผล่หน้ามามองฉัน และทำทีมองเพื่อนทางด้านหลัง ทำอย่างนี้เป็นประจำ ทำให้ฉันเกิด
ความรู้สึกแปลกๆขึ้นในใจ จากคนที่เบื่อหน่ายในชีวิต ไม่อยากเรียนหนังสือ รู้สึกท้อแท้กับชีวิตที่เป็นอยู่ เหมือนอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้
ไม่มีใครที่จะเข้าใจชีวิตฉันเลย คิดอะไรมีแต่เรื่องของตัวเอง วนเวียนอยู่เรื่อยๆ เหมือนจบไม่เป็น
ฉันเป็นเด็กมีปัญหาคนหนึ่ง ถึงแม้จะมีครอบครัวที่ปกติเหมือนคนอื่น แต่ฉันเป็นคนคิดมาก คิดน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา เหมือนคนขาด
ความรักและความอบอุ่น จึงทำให้บุคลิกภาพออกมาเป็นเช่นนี้ แต่มีเขานายต้องที่สนใจฉัน เหมือนฟ้าส่งเขามาให้ฉัน
“นายต้อง นายไม่มีแว่นตาเหมือนเขา นายไม่ต้องฝันไปเลย เธอไม่สนใจนายหรอก”
เสียงเพื่อนนายต้องพูดดังมาจากด้านหลังห้องของเขา พอดีฉันเดินเข้าห้องฉันด้านหน้า จึงได้ยินชัดเจน แต่ฉันทำเป็นไม่ได้ยิน
เฉยและเดินเข้าห้องไป แต่ในใจคิดขึ้นมาทันทีเลยว่า เพื่อนนายต้องตั้งใจพูดให้ฉันได้ยินหรือเปล่า
ฉันเข้าไปใช้บริการห้องสมุด เพื่อหาหนังสืออ่านเพิ่มเติม ช่วงรอยืมหนังสือจากบรรณารักษ์ มีความรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองฉันอยู่
ฉันเงยหน้าขึ้นมา อ้าว..นายต้องอีกหละ เขายืนทำท่าพิงที่พนักสำหรับยืมหนังสือ และแอ่นหน้าอกขึ้นมาเพื่อให้ฉันดูชื่อของเขาที่ปักไว้
ที่หน้าอกเสื้อนักเรียน ฉันมองไปที่อกเสื้อนักเรียนของเขาและอ่านชื่อของเขา “ ชนม์มัย”
เราสบตากันตรงๆอีกครั้ง ฉันอมยิ้มให้เขาอย่างตั้งใจ เพราะเขาเป็นชายหนุ่มที่ฟ้าส่งมาให้ฉัน
เขาทำให้หัวใจฉันชุ่มฉ่ำ และเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นจากเดิมที่เบื่อหน่ายชีวิต กลับทำให้หัวใจน้อยๆของฉันที่แสนจะเหี่ยวเฉาเหมือน
ดอกไม้แรกแย้ม ที่ยังไม่ทันจะบานสะพรั่งแต่กลับมาเหี่ยวแห้งโรยรา
กลับพลิกชีวิตชีวาให้สดชื่นและพร้อมจะสู้และก้าวต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง เขาทำให้ฉันเกิดพลังขึ้นมาอย่างปาฏิหารย์
นายต้องดีใจมากที่ฉันมองชื่อของเขา เขายิ้มอย่างมีความสุขเห็นได้ชัด หน้าแดงระเรื่อ รอยยิ้มของฉันก็คงทำให้หัวใจดวงน้อย
ของเขาพองโต และเต้นตูมตามเป็นแน่แท้ แต่เราก็ได้แต่ยิ้มให้กันและกัน ยังไม่มีอะไรคืบหน้า คงเป็นเพราะฉันท่าทางเฉยและ
ไม่แสดงอาการว่าชอบเขาตอบหรืออย่างไร เขาจึงไม่กล้าเดินเข้ามาหาฉัน ได้แต่พยายามแอบมองและหลงรักฉันอยู่ในใจอยู่อย่างนั้น
หลังจากเรียนจบม.ปลาย เราต่างคนต่างแยกย้ายไปเรียนตามสถาบันที่สอบได้ แต่ฉันคิดถึงเขามาก เขาก็คงคิดถึงฉันเช่นกัน
ฉันพยายามติดตามข่าวคราวว่าเขาเรียนอยู่ที่ไหน เรียนคณะอะไรจากเพื่อนๆมาตลอด
ถึงเราจะไม่ได้คบกันแบบแฟนเหมือนคู่คนอื่น แต่เราต่างแอบชอบซึ่งกันและกันมาตลอด เพียงแต่นายต้องไม่กล้าเข้ามาบอกรักฉัน
และฉันก็ไม่กล้าแสดงอาการออกมาว่าชอบเขา ในใจเขาคงอยากจะเข้ามาบอกว่าชอบฉัน
แต่ฉันไม่ได้เปิดโอกาสให้เขา ได้เข้ามาบอกความในใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้ฉันจะชอบเขาเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะฉันอยู่
ในโลกส่วนตัวของฉันมานาน เขาเป็นคนแรกที่สามารถเจาะเข้ามาในโลกส่วนตัวฉันได้ แต่เขาได้เพียงก้าวเข้ามาและจากไปในช่วงเวลา
ที่เราเรียนม.ปลายด้วยกันเท่านั้น
เขาเป็นรักครั้งแรกของฉัน ...
แต่ฉันมิอาจล่วงรู้ได้เลยว่าฉันเป็นรักครั้งแรกของเขาหรือไม่...
เพราะหลังจากนั้นเราไม่ได้เจอกันอีกเลย ไม่ได้ข่าวของเขานานหลายปี
และแล้ววันหนึ่งวันที่รอคอยก็มาถึง ฉันได้ข่าวความเคลื่อนไหวของเขาจากเพื่อนๆว่าเขาแต่งงานแล้ว ในใจฉันก็ดีใจไปกับเขา
เพราะฉันเองก็มีครอบครัวแล้วเช่นกัน
.... แต่ความรู้สึกที่เคยรักเขาก็ยังคงอยู่ในใจเสมอ
....เพราะเขาเป็นชายหนุ่มคนแรกที่ทำให้ฉันรักเป็น
....เขาเป็นคนที่เข้ามาและทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป
....เขาทำให้ฉันสู้ชีวิตอย่างทรนง
...เขาทำให้ฉันก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ
...เขาเป็นคนที่ทำให้ฉันมีกำลังใจสู้ชีวิต
....คงไม่แปลกใช่ไหมที่ฉันจะเก็บรักของเขาเอาไว้ที่ปลายฟ้าตลอดไป...
....เพราะ... ณ ที่ปลายฟ้า....ไม่มีใครไปถึง นอกจากเขาและฉันเท่านั้น....