นี่เป็นการรีวิวหนังครั้งแรกของผมนะครับบอกเลยว่าเสียดายBig Ideaของหนังเรื่องนี้มาก...วางไอเดียมาซะดีแต่สุดท้ายเละไม่เป็นท่า เสียดายคอนเสปการทดลองทฤษฎีผีที่ถือว่าแปลกใหม่ ถ้าอีกหน่อยกว่าจะมีใครเอาไอเดียการเรื่องทดลองผีกลับมาเล่าใหม่ตีความใหม่ให้มันดีกว่าเดิมก็คงต้องรออีกเป็นสิบปีแหละ ครึ่งเรื่องแรกโอเคเลยปกติพักหลังๆผมมักจะเป็นโรคดูหนังไม่จบเรื่องถ้าเรื่องไหนมันทำไมถึงจริงๆก็จะเบื่อจนปิดซะก่อน สาเหตุมาจากช่วงนึงผมไล่ดูหนังรางวัลหรือหนังมาสเตอร์พีชต่างๆมาจนหมดแล้ว พอมาดูหนังบางเรื่องที่ไม่ได้น่าสนจอะไรมันจะทำให้ความสนใจในการดูลดลงบางทีถ้าหนังมันน่าเบื่อต้นเรื่องก็จะไม่ได้โฟกัสกับหนังเลย แต่กับเรื่องนี้ไม่ใช่ต้นเรื่องแรกเอาผมอยู่เลยผมตั้งใจดูมากมีหลายฉากที่ผมตบเข่าฉาดเลยแบบเออมันต้องอย่างนี้สิวะฉีกกฏผี เช่นตอนฉากที่สองคนค่อยๆเดินเข้าไปหาผีไฟคลอกในต้นเรื่องแทนที่จะวิ่งหนีแบบหนังผีปกติ การตั้งทฤษฏีต่างๆในการพิสูจน์ผี จนถึงตอนที่ตัวละครสองตัวตัดสินใจกันว่า
จะมีคนนึงตายเพื่อนกลับมาเป็นผีร่วมทดลอง...โหถือว่าbig ideaมาก ผมตื่นเต้นอยากจะดูไม่ไหววะละว่ามันกลับมาเป็นผีแล้วจะทดลองกันยังไงในครึ่งเรื่องหลัง....
สิ่งที่ผมคิดว่าพลาดสุดๆและไม่เมคเซนต์ในหนังเรื่องนี้คือ...

1)
ปูทฤษฏีต้นเรื่องมาซะดีแต่ตัวละครไม่เตรียมการทดลองอะไรไว้รองรับเลย ว่าพอเป็นผีแล้วจะสื่อสารกันด้วยอะไร รูปแบบไหนทดลองยังไง ไม่มีการวางตัวแปลต้น,ตัวแปลตาม,ตัวแปรควบคุมคืออะไรไว้เลยสิ่งเหล่านี้เรื่องพื้นฐานง่ายๆของการทดลองทางวิทยาศาสตร์เด็กม.ต้นที่เรียนวิทยาศาสตร์ก็ต้องรู้ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นตั้งสมุติฐิฐานว่าผีเป็นพลังจะสามารถสื่อสารด้วยวิธีใดได้บ้าง
อุส่าได้ผีร่วมทดลองทั้งที(ตอนแรกผมจินตนาการถึงstranger thing ss1เลย ที่ตัวละครแม่เขียนผนังบ้านเป็นตัวหนังสือแล้วเอาหลอดไฟมาเขียนแขวนไว้เพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกชายจากโลกคู่ขนานว่ามันคงจะต้องออกมาในรูปแบบนั้นแน่ๆแต่กลับไม่มีอะไรแบบนั้นเลย)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่กลับมีเพียงแค่การพูดกว้างๆว่าจะกลับมาเจอกันในห้องนี้ แล้วไม่มีการวางกลไกลเตรียมการในการสื่อสารอะไรไว้เลย
ยกตัวอย่างเช่นหมอหวีตกลงกับหมอกล้าไว้ก่อนตายว่าจะวางลูกแก้วไว้ในกล่องกระจกที่ปิดสนิทไม่มีสิ่งรบกวนจากภายนอก พอมุงตายแล้วหาทางมาขยับลูกแก้วอันนี้ให้ได้นะจะตั้งวีดิโออัดไว้ตามทฤษฏีPoltergeistอะไรประมาณนี้...สุดท้ายพอไม่มีการวางแผนอะไรไว้เลยก็เลยไม่มีจุดsettingที่น่าสนใจสมกับbig ideaที่ทิ้งไว้ต้นเรื่องเริ่มมีแววจะออกทะเลได้

2)
หมอกล้าพอเป็นผีแล้วPassionในการทำการทดลองหายไปไหนหมด? จากต้นเรื่องที่มีความตั้งใจดิบดียอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตเพื่อการทดลองทั้งๆที่พูดเองว่า"ประตูความลับของจักรวาลอยู่ตรงหน้า" เอ้อมันต้องมีคนยอมแลกแบบนี้ซักคนสิวะเสียสละชีวิตเพื่อการพิสูจน์สิ่งที่ไม่มีใครบนโลกหาคำตอบได้เพราะฉนั้นไหนๆตายทั้งทีแล้วเอาให้สุดอย่าตายฟรีไขความรับจักรวาลไปเลย แต่พอเป็นผีpassionพวกนั้นหายไปไหนหมด อย่างตอนแรกที่หมอวีกำลังจะฆ่าตัวตายแล้วพลังงานผีหมอกล้ามาดึงเอาไว้ ตอนนั้นผมคิดว่าที่ผีหมอกล้ามีพลังงานได้ขนาดนั้นถ้าคิด
ตามคาแรคเตอร์ของตัวละครที่คือตอนนั้นหมอกล้าที่เป็นผีควรจะกำลังโกรธหมอวีสุดๆที่มุงกำลังจะทำให้ตรูต้องตายฟรีถ้าเพราะถ้ามุงตายการทดลองของรูจะตายไปกับมุงด้วยเลยรวบรวมพลังจนดึงหมอวีขึ้นมาได้แต่กลับว่าไม่ใช่แค่เป็นห่วงกลัวเพื่อนตายเฉยๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าpassionของตัวละครมันหายไปไหนวะตั้งแต่ฉากนี้ หลังจากนั้นก็เอะอะจะไปเกิดๆอย่างเดียวเลย

3)
จริงๆการแค่การที่ผีหมอกล้าสามารถพิมพ์คุยหมอวีมันก็เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่แล้วแต่หมอวีกลับมองข้าม จริงๆหมอวีควรจะอัดวิดิโอไว้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆเพราะตั้งแต่มีมนุษย์ชาติมาเคยมีครั้งไหนมั้ยที่ผีสามารถสื่อสารกับคนได้ชัดเจนขนาดนี้แค่การพิมพ์คุยกันนี่มันก็เป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่แล้ว แต่หมอวีกลับไปโฟกัสกับเรื่องอื่นแล้วมองข้ามเรื่องนี้ไปแบบเฉยๆเหมือนผีพิมพ์หาเราได้เป็นเรื่องปกติ

4)
ช่วงใกล้จบตรรกตัวละครประหลาดนํ้าเน่าไร้เหตุผลเกินไปแถมแฟนตาซีสุดๆ ตอนช่วงใกล้จบที่ผีหมอกล้าคุยกับผีหมอวีในโลกมโนสีขาวเรื่องที่หมดpassionในการทดลองและจะขอจบการทดลองเพื่อไปเกิดไปที่ชอบๆเนี่ย ผมเอ๊ะกับประโยคว่า"กูกำลังจะทำให้มุงกลายเป็นปีศาจ"แล้วก็"มุงต้องทำเรื่องเฮียอีกแค่ไหนเพื่อการทดลองนี้วะ" ผมก็คิดตามที่ไอ้หมอวีมันทำมันทำอะไรแย่ๆไปบ้างวะ ก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นนะไม่ได้มีใครเดือดร้อนจากการกระทำของหมอวีเลยนอกจากผีหมอกล้าสุดท้ายหมอกล้าก็เอาอารมณ์เอาตัวเองมาเป็นหลัก ซึ่งถ้าหมอกล้าไม่เอะอะจะไปหาดๆไปเกิดตั้งแต่แรกตั้งใจทำการทดลองให้สมกับที่ตัวเองยอมตายเพื่อ'ไขความลับของจักรวาล'อย่างที่ตัวเองว่าไว้ตั้งแต่ต้นเนี่ย บางทีหมอวีคงไม่ต้องใช้วิธีแย่ๆกดดันผีหมอกล้าแบบตอนท้ายๆเรื่องจนผีหมอกล้าสติแตกซะเอง แถมหลังๆนี่ผีหมอกล้าแฟนตาซีจนผมนึกว่าดูหนังผีดาดๆธรรมดาเรื่องนึงละ
สุดท้ายต้องบอกว่าเสียดายหนังเรื่องนี้มากๆครึ่งเรื่องแรกปูมานี่คิดว่าอาจมีแววจะได้เห็นหนังผีที่ตีความแปลกใหม่ คงเป็นหนังที่จะต้องจดจำเหมือนตอนดูฉลาดเกมส์โกงแน่ๆเลยสุดท้ายก็ผิดหวัง....
[สปอย]GHOST LABต้นเรื่องมาถูกทางแล้ว...แต่หนังพลาดตรงไหนไปบ้างนะ?
สิ่งที่ผมคิดว่าพลาดสุดๆและไม่เมคเซนต์ในหนังเรื่องนี้คือ...
1) ปูทฤษฏีต้นเรื่องมาซะดีแต่ตัวละครไม่เตรียมการทดลองอะไรไว้รองรับเลย ว่าพอเป็นผีแล้วจะสื่อสารกันด้วยอะไร รูปแบบไหนทดลองยังไง ไม่มีการวางตัวแปลต้น,ตัวแปลตาม,ตัวแปรควบคุมคืออะไรไว้เลยสิ่งเหล่านี้เรื่องพื้นฐานง่ายๆของการทดลองทางวิทยาศาสตร์เด็กม.ต้นที่เรียนวิทยาศาสตร์ก็ต้องรู้ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นตั้งสมุติฐิฐานว่าผีเป็นพลังจะสามารถสื่อสารด้วยวิธีใดได้บ้างอุส่าได้ผีร่วมทดลองทั้งที(ตอนแรกผมจินตนาการถึงstranger thing ss1เลย ที่ตัวละครแม่เขียนผนังบ้านเป็นตัวหนังสือแล้วเอาหลอดไฟมาเขียนแขวนไว้เพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกชายจากโลกคู่ขนานว่ามันคงจะต้องออกมาในรูปแบบนั้นแน่ๆแต่กลับไม่มีอะไรแบบนั้นเลย)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่กลับมีเพียงแค่การพูดกว้างๆว่าจะกลับมาเจอกันในห้องนี้ แล้วไม่มีการวางกลไกลเตรียมการในการสื่อสารอะไรไว้เลย ยกตัวอย่างเช่นหมอหวีตกลงกับหมอกล้าไว้ก่อนตายว่าจะวางลูกแก้วไว้ในกล่องกระจกที่ปิดสนิทไม่มีสิ่งรบกวนจากภายนอก พอมุงตายแล้วหาทางมาขยับลูกแก้วอันนี้ให้ได้นะจะตั้งวีดิโออัดไว้ตามทฤษฏีPoltergeistอะไรประมาณนี้...สุดท้ายพอไม่มีการวางแผนอะไรไว้เลยก็เลยไม่มีจุดsettingที่น่าสนใจสมกับbig ideaที่ทิ้งไว้ต้นเรื่องเริ่มมีแววจะออกทะเลได้
2) หมอกล้าพอเป็นผีแล้วPassionในการทำการทดลองหายไปไหนหมด? จากต้นเรื่องที่มีความตั้งใจดิบดียอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตเพื่อการทดลองทั้งๆที่พูดเองว่า"ประตูความลับของจักรวาลอยู่ตรงหน้า" เอ้อมันต้องมีคนยอมแลกแบบนี้ซักคนสิวะเสียสละชีวิตเพื่อการพิสูจน์สิ่งที่ไม่มีใครบนโลกหาคำตอบได้เพราะฉนั้นไหนๆตายทั้งทีแล้วเอาให้สุดอย่าตายฟรีไขความรับจักรวาลไปเลย แต่พอเป็นผีpassionพวกนั้นหายไปไหนหมด อย่างตอนแรกที่หมอวีกำลังจะฆ่าตัวตายแล้วพลังงานผีหมอกล้ามาดึงเอาไว้ ตอนนั้นผมคิดว่าที่ผีหมอกล้ามีพลังงานได้ขนาดนั้นถ้าคิดตามคาแรคเตอร์ของตัวละครที่คือตอนนั้นหมอกล้าที่เป็นผีควรจะกำลังโกรธหมอวีสุดๆที่มุงกำลังจะทำให้ตรูต้องตายฟรีถ้าเพราะถ้ามุงตายการทดลองของรูจะตายไปกับมุงด้วยเลยรวบรวมพลังจนดึงหมอวีขึ้นมาได้แต่กลับว่าไม่ใช่แค่เป็นห่วงกลัวเพื่อนตายเฉยๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าpassionของตัวละครมันหายไปไหนวะตั้งแต่ฉากนี้ หลังจากนั้นก็เอะอะจะไปเกิดๆอย่างเดียวเลย
3) จริงๆการแค่การที่ผีหมอกล้าสามารถพิมพ์คุยหมอวีมันก็เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่แล้วแต่หมอวีกลับมองข้าม จริงๆหมอวีควรจะอัดวิดิโอไว้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆเพราะตั้งแต่มีมนุษย์ชาติมาเคยมีครั้งไหนมั้ยที่ผีสามารถสื่อสารกับคนได้ชัดเจนขนาดนี้แค่การพิมพ์คุยกันนี่มันก็เป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่แล้ว แต่หมอวีกลับไปโฟกัสกับเรื่องอื่นแล้วมองข้ามเรื่องนี้ไปแบบเฉยๆเหมือนผีพิมพ์หาเราได้เป็นเรื่องปกติ
4) ช่วงใกล้จบตรรกตัวละครประหลาดนํ้าเน่าไร้เหตุผลเกินไปแถมแฟนตาซีสุดๆ ตอนช่วงใกล้จบที่ผีหมอกล้าคุยกับผีหมอวีในโลกมโนสีขาวเรื่องที่หมดpassionในการทดลองและจะขอจบการทดลองเพื่อไปเกิดไปที่ชอบๆเนี่ย ผมเอ๊ะกับประโยคว่า"กูกำลังจะทำให้มุงกลายเป็นปีศาจ"แล้วก็"มุงต้องทำเรื่องเฮียอีกแค่ไหนเพื่อการทดลองนี้วะ" ผมก็คิดตามที่ไอ้หมอวีมันทำมันทำอะไรแย่ๆไปบ้างวะ ก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นนะไม่ได้มีใครเดือดร้อนจากการกระทำของหมอวีเลยนอกจากผีหมอกล้าสุดท้ายหมอกล้าก็เอาอารมณ์เอาตัวเองมาเป็นหลัก ซึ่งถ้าหมอกล้าไม่เอะอะจะไปหาดๆไปเกิดตั้งแต่แรกตั้งใจทำการทดลองให้สมกับที่ตัวเองยอมตายเพื่อ'ไขความลับของจักรวาล'อย่างที่ตัวเองว่าไว้ตั้งแต่ต้นเนี่ย บางทีหมอวีคงไม่ต้องใช้วิธีแย่ๆกดดันผีหมอกล้าแบบตอนท้ายๆเรื่องจนผีหมอกล้าสติแตกซะเอง แถมหลังๆนี่ผีหมอกล้าแฟนตาซีจนผมนึกว่าดูหนังผีดาดๆธรรมดาเรื่องนึงละ
สุดท้ายต้องบอกว่าเสียดายหนังเรื่องนี้มากๆครึ่งเรื่องแรกปูมานี่คิดว่าอาจมีแววจะได้เห็นหนังผีที่ตีความแปลกใหม่ คงเป็นหนังที่จะต้องจดจำเหมือนตอนดูฉลาดเกมส์โกงแน่ๆเลยสุดท้ายก็ผิดหวัง....