เรื่องเกิดขึ้นที่บริษัทฯแห่งหนึ่งค่ะ เป็นเรื่องของสามีค่ะ ทำงานเป็นช่างของโรงงานค่ะ วันเกิดเหตุเขาได้ไปทำงานที่ได้รับแจ้งซ่อมมาค่ะ อยู่ภายในโรงงานแต่ไม่ทราบว่าตรงนั้นมีไฟฟ้ารั่ว เคยมีแรงงานชาวพม่าโดนไฟดูดตรงบริเวณนั้นแล้วค่ะ แต่ไม่แจ้งช่าง .. วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10.30 น.มีทาง HR เดินมาบอกว่าไม่ไปดูแฟนหรอแฟนโดนไฟดูดอยู่หลังโรงงาน เพื่อนตกใจและรีบวิ่งไปดู เราบอกเพื่อนว่าแค่ไฟดูดไม่เป็นไร เพื่อนเลยบอกว่าไฟโรงงานวัตไม่เท่าไฟบ้านมันแรงมาก ..
พอวิ่งไปถึงจุดเกิดเหตุปรากฏว่าแฟนหมดสติ คนรุมเต็มจนเราบอกว่าอย่ารุม อาการตอนเกิดเหตุคือหมดสติ ฉี่แตก หามกันส่ง รพ.ใกล้ที่สุด สามีฟื้นขึ้นมาพูดปากเบี้ยว ปวดหัว จำเหตุการณ์ไม่ได้
พอถึง รพ.รถพยาบาลมารับ แต่ HR.ไล่ทุกคนกลับหมด รวมทั้งเราที่เป็นภรรยาด้วยค่ะ ให้กับไปบริษัทก่อน .. แต่พอถึงบริษัทคือเราทำงานไม่ได้เลย จะขอลาครึ่งวันไปดูสามีเรา แต่ HR บอกว่าจะพาไปส่งที่ รพ.เอง แต่ทางHR. ที่มาด้วยแจ้งว่าจะย้ายสามีเราไปรักษาตามสิทธิประกันสังคม ซึ่งเป็นของเอกชนค่ะ ให้คนขับรถเราไปรอที่รพ.ตามสิทธิประกันสังคมเลย
เรารอตั้งแต่ 11.30 น. โดยประมาณค่ะ นานมาก เป็นชม.ก็ไม่มา จนน้องสาวเราลางานไปดูสามีให้ที่รพ.ที่ส่งไป ผลที่ได้คือรอรถรพ.ตามสิทธิมารับ จากน้องเล่าที่เห็นคือนอนให้น้ำเกลือ เข้าเยี่ยมไม่ได้ยื่นมองจากด้านนอก .. อาการขนาดนั้นงงทำไมหมอไม่รักษาเลยไปถามจุดกรอง.. แจ้งกับมาว่าก็ทางคนที่มาด้วย ซึ่งเป็น HR.ค่ะ ให้ประวัติผู้ป่วยว่าเกิดจากกะทะไฟฟ้าที่หอพักดูด ..
เรานี่โกรธมาก ให้ประวัติเท็จและทำให้การรักษาล่าช้า แถมเอาเราไปรอที่รพ.ตามสิทธิแบบแยกเราไม่ให้มาที่รพ.ที่ส่งตัวมากลัวเราพูดความจริง รอจนกระทั้งเกือบบ่าย 2 โมง ไม่ไหวแล้วเลยบอกให้คนขับไปส่งที่รพ.เดิม เขาก็กล้าๆกลัวๆไม่กล้าไปส่งค่ะ ต้องโทรถาม HR แต่เราคือไม่ส่งก็จะไปเองเขาถึงยอมไปส่งค่ะ แต่กลับสวนกับรถที่ไปรับ จึงให้เขาจอดส่งกลางทางให้น้องสาวที่ขับตามมาแวะรับ .. มาถึงก็ยังนอนรอนะคะขนาดว่าเป็นเอกชน เราเลยบอกจะขอยื่นใช้สิทธิประกันส่วนตัวที่เราส่งกันเองไปก่อน แล้วค่อยทำเบิกกับประกันสังคมหรือบริษัท ที่ยื่นใช้เพราะเราอยากให้เขารักษาสามีเราให้ดีที่สุด เพราะสิทธิประกันสังคมถ้าเป็นของเอกชนเจ็บขนาดนี้รักษาไม่ต่างจากสิทธิ 30 บาทค่ะ เรากลัวมากๆ ..เพราะวงเงินของประกันสังคมก็มีจำกัดค่ะ (จากนี้ขอย่อประกันสังคมเป็น ปกส.)นะคะ
จนกระทั้งหมอตรวจเรียบร้อยและพบว่าเอนไซค์ที่หัวใจหรือที่เรียกว่า ค่าเอนไซม์กล้ามเนื้อ จะตรวจพบได้เมื่อร่างกายมีการสลายกล้ามเนื้อปนออกมาในกระแสเลือด ถ้าตรวจแล้วพบว่ามีค่าสูงกว่าปกติ จะแสดงถึงการที่ร่างกายเริ่มมีการสลายกล้ามเนื้อปนออกมาใช้ และอาจรุนแรงถึงขั้นกล้ามเนื้อสลาย มีผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ สุดท้ายปลายทางก็จะเกิดปัญหากับไต และทำให้ไตวายได้ คนที่มีปัญหาเรื่องของกล้ามเนื้อสลายนั้น ถ้ารักษาไม่ทันหรือไม่ถูกวิธีหากรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตได้ ซึ่งค่าที่ได้ขึ้นมา 100++ ซึ่งคนปกติ ผช.จะอยู่ที่ไม่เกิน 60 ค่ะ
หมอถามเราค่ะว่าไฟอะไรดูดทำไมถึงขั้นรุนแรงจนเอนไซม์ขึ้นมาน่ากลัวแบบนี้ เราไม่กล้าตอบเลยค่ะเพราะประวัติส่งมาคือกะทะไฟฟ้าบ้านดูด เราจึงตอบหมอไปว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เราจะให้โอกาส HR.พูดความจริงค่ะ เลยให้โทรไปหาคนที่เป็นคนให้ข้อมูล ได้คำตอบกลับมาอีกว่าไฟแอร์ดูด
เราโกรธมาก เลยพูดความจริงเลยค่ะว่าไฟฟ้าที่โรงงานดูดและคนไข้หมดสติ หามส่งรพ.รัฐที่ใกล้สุด รักษาแค่นอนรอให้น้ำเกลือ หมอและทุกคนตกใจค่ะ รีบทำการรักษาใหม่และตรงจุด ผลที่ได้คือคืนนั้นสามีต้องเข้าห้อง CCU หอผู้ป่วยหนักโรคหัวใจ
นายทะเบียนจอง รพ.ท่านนึงเดินมาแจ้งว่าจะใช้สิทธิ ปกส.ไม่ได้แล้วนะคะ เพราะเป็นอุบัติเหตุเนื่องจากการทำงาน ปกส.ไม่คุ้มครอง ต้องเบิกสิทธิกองทุนทดแทน เราแจ้ง HR.คะว่ารพ.แจ้งต้องใช้กองทุน แต่นู๋ขอใช้สิทธิประกันส่วนตัวรักษาแฟนก่อน ซึ่งเขาก็ได้แต่รับฟังแล้วบอกว่าเด๋วเบิกกองทุนมาทีหลัง
พอขึ้นไปหน้าห้อง CCU ได้รับฟังผลที่ตรวจอีกครั้งค่ะว่าตอนนี้แฟนเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ คืนนี้ให้กลับบ้านก่อนรอผลเลือดหากฉุกเฉิน อาจจะต้องทำการรักษาด้วยการฉีดสีสวนหัวใจคืนนี้ ต้องมีญาติเซ็นยินยอมการรักษาครั้งนี้ เราจึงถามเขาไปว่าเราสมรสไม่จดทะเบียนเซ็นได้หรือไม่ พยายาลบอกไม่ได้ต้องเป็นญาติสายตรง เขาไม่มีญาติที่สามารถมาได้เลยในคืนนี้ ซึ่งเราก็บอกว่าไม่จดทะเบียนแต่เรามีลูกด้วยกัน 2 คนคะ พยาบาลจึงสอบถามมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม เราก็บอกอยู่ด้วยกันมา 8 ปีแล้วค่ะ พยาบาลจึงอนุญาติว่าได้
จนเรากลับมารอบ้าน เหตุผลที่กลับมาทำไมไม่รอคือ รพ.มีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโควิดด้วยแต่คนละชั้นค่ะ ทางรพ.ห่วงเรื่องความปลอดภัย ต่อคะคือเราก็กลับมารอบ้านค่ะ แต่นอนรอโทรศัพท์ก็นอนไม่หลับ กลัวมาก จนกระทั้ง 6 โมงเช้าโทรศัพท์จาก รพ.โทรมาแจ้งว่าหมอขอพบญาติ 8 โมงตรงค่ะ
พอถึงรพ.พยาบาลก็แจ้งตามที่บอกค่ะคือต้องสวนหัวใจจริงๆ เพราะเอนไซม์ไม่ลดลงเลย หมอแจ้งว่าไม่ทำก็ได้ แต่ไม่ทำก็เสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และไตวาย เราเลือกได้ค่ะ เลือกได้ทางเดียวคือต้องทำแน่นอนค่ะ โดยเราก็เซ็นรับทราบค่าใช้จ่ายนะคะ ค่อนข้างสูงมาก แต่ รพ.ให้เราเบิกจากประกันส่วนตัวก่อนแล้วค่อยไปเบิกกับบริษัทและกองทุนภายหลังค่ะ
เราก็รีบโทรบอกกับหัวหน้า HR. คำตอบที่ได้คือสั่งให้เราย้าย รพ. ไปรพ.รัฐบาลในจังหวัด กับอีก 10 นาทีแฟนจะเข้าสวนหัวใจ เราอึ้งมากๆ กับคำตอบที่ได้รับ และทางหัวหน้าเขายังพูดกับลูกน้องด้วยค่ะว่าคนดีๆใส่ท่อไปก็ตายทั้งนั้น เป็นคำพูดของคนที่เป็นหัวหน้าหรอค่ะแบบนี้
เขายังส่งคนมาถามกับน้องสาวว่า "ที่ไม่ย้าย รพ.คือเราต้องการอะไร" เราไม่ได้เรียกร้องหรือต้องการอะไรเลยแต่แรกค่ะ แต่ต้องการแค่ความรับผิดชอบต่อเราที่เป็นลูกจ้างของคุณ แค่ค่ารักษาพยาบาล กับค่าเงินจากกองทุนทดแทนที่เราไม่สามารถไปทำงานได้เพราะต้องรักษาตัวค่ะ
แจ้งก่อนค่ะหมอบอกว่าผลข้างเคียงก็มี หากระหว่างทางสวนหัวใจไปแล้วเจอไขมันที่อุดตันในเส้นเลือดท่อที่ส่งเข้าไปไปต่อไม่ได้ ก้อต้องทำการบอลลูนต่อนะคะ เพราะอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้ อาจเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดและเสียชีวิต แต่ถ้าหากระหว่างทางไม่มีอะไรเลยก็สามารถพักฟื้น 3 วันและสามารถกับบ้านได้เลยค่ะ
แต่โชคดีค่ะการรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นจริงๆ สามีเราปลอดภัยดีค่ะ ทีนี้สามารถเข้ามาพักฟื้นห้องปกติได้เลยค่ะ
พอพักฟื้นได้ 1 วันเราถามแฟนไหวไหมกับไปพักฟื้นบ้าน เรากลัวเรื่องค่าใช้จ่ายค่ะ แฟนบอกไหว เราเลยขอหมอกลับวันนี้ ให้ทางรพ.เครียร์เรื่องประกันได้เลยค่ะ จนบ่ายละถามว่าติดอะไรหรือไม่ค่ะ ยังไม่เสร็จ เขาบอกประกันอาจจะเครียร์ให้ไม่หมด เพราะเป็นการบาดเจ็บจาการทำงานค่ะ เรารอการเครมจนกระทั้ง 2 ทุ่มวันนั้น รับแจ้งมาว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมด 110,000 บาทค่ะ ประกันเครียให้ประมาณ 60,000 หักส่วนลดแล้ว 49,000++ ค่ะ อีกครึ่งหนึ่งให้จ่ายเงินสด หรือเบิกกองทุนทดแทน เราติดต่อ HR.ไม่ได้ รพ.ไม่ให้กับค่ะ ให้รออีก 1 คืน ..
แต่คืนนั้นไม่ได้รับการดูแลผู้ป่วยอย่างเคยนะคะ ยาก็ไม่ได้กิน น้ำคนป่วยที่เคยให้ทุกครั้งก็ไม่ได้ คือสงสารเขามาก ถามพยาบาลตอนเช้าแบบแอบเคืองนะคะ ยาคนป่วยไม่ต้องทานหรอค่ะ ไม่จ่ายเงินก็ไม่ได้กินยาหรอค่ะ เขาตอบกลับมาว่าเราดูที่สถานการคนป่วยค่ะ หากไม่รุนแรงก็ไม่ต้องทานได้ค่ะ
ประมาณ 10 โมงติดต่อ HR ได้และแจ้งมาว่าเบิกเงินมาแล้วค่ะเต็มจำนวนจะออกมาจ่ายให้ พอมาถึงเขาจัดอะไรข้างล่างเรียบร้อยค่ะ เราก็พาสามมีกลับบ้าน หมอสั่งพัก 1 สัปดาห์ค่ะ แต่นัดพบแพทย์ก่อนวันกลับเข้าทำงาน 1 วัน แต่เราไม่ได้ไปโทรไปเลื่อนค่ะ เพราะกลัวประกันไม่จ่ายอีก และไม่มีเงินค่ะ
พอแฟนกลับมาทำงานเลยไปสอบถาม HR. ค่ะว่าหมอนัดหากมีค่าใช้จ่าย บริษัทจ่ายให้หรือไม่ คำตอบที่ได้คือ ไม่จ่ายค่ะ จบเคสแล้ว ไม่จ่ายอะไรเพิ่มแล้ว เราเลยสอบถามค่ารักษาพยาบาลในส่วนของประกันของเราที่จ่ายไปอีกครึ่งขอเบิกคืนหากบริษัทไม่ช่วยเรื่องค่ารักษา เราจะเก็บไว้รักษาแฟนค่ะ คำตอบคือเด๋วปรึกษากันกับนายก่อน แล้วเรื่องก็เงียบอีกคะ
สอยถามคะเราฟ้องสวัสดิการแรงงานได้ไหมค่ะ แต่ฟ้องของในจังหวัดกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรมค่ะ เพราะคิดว่าเขาน่าจะมีคนในรู้ค่ะ ทุกครั้งที่มีการตรวจแรงงานที่มาทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตเขาจะรู้ก่อนล่วงหน้า3 ชม.เขาจะพาแรงงานพม่าออกทางด้านหลัง ไม่เคยจับได้สักครั้ง ถ้าฟ้องในจังหวัดกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม ฟ้องจังหวัดใกล้เคียงได้หรือไม่ค่ะ?
ขออภัยที่พิมยาวนะคะ เรื่องมันเสียความรู้สึกมาก และบั่นทอนมาก
เกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน
พอวิ่งไปถึงจุดเกิดเหตุปรากฏว่าแฟนหมดสติ คนรุมเต็มจนเราบอกว่าอย่ารุม อาการตอนเกิดเหตุคือหมดสติ ฉี่แตก หามกันส่ง รพ.ใกล้ที่สุด สามีฟื้นขึ้นมาพูดปากเบี้ยว ปวดหัว จำเหตุการณ์ไม่ได้
พอถึง รพ.รถพยาบาลมารับ แต่ HR.ไล่ทุกคนกลับหมด รวมทั้งเราที่เป็นภรรยาด้วยค่ะ ให้กับไปบริษัทก่อน .. แต่พอถึงบริษัทคือเราทำงานไม่ได้เลย จะขอลาครึ่งวันไปดูสามีเรา แต่ HR บอกว่าจะพาไปส่งที่ รพ.เอง แต่ทางHR. ที่มาด้วยแจ้งว่าจะย้ายสามีเราไปรักษาตามสิทธิประกันสังคม ซึ่งเป็นของเอกชนค่ะ ให้คนขับรถเราไปรอที่รพ.ตามสิทธิประกันสังคมเลย
เรารอตั้งแต่ 11.30 น. โดยประมาณค่ะ นานมาก เป็นชม.ก็ไม่มา จนน้องสาวเราลางานไปดูสามีให้ที่รพ.ที่ส่งไป ผลที่ได้คือรอรถรพ.ตามสิทธิมารับ จากน้องเล่าที่เห็นคือนอนให้น้ำเกลือ เข้าเยี่ยมไม่ได้ยื่นมองจากด้านนอก .. อาการขนาดนั้นงงทำไมหมอไม่รักษาเลยไปถามจุดกรอง.. แจ้งกับมาว่าก็ทางคนที่มาด้วย ซึ่งเป็น HR.ค่ะ ให้ประวัติผู้ป่วยว่าเกิดจากกะทะไฟฟ้าที่หอพักดูด ..
เรานี่โกรธมาก ให้ประวัติเท็จและทำให้การรักษาล่าช้า แถมเอาเราไปรอที่รพ.ตามสิทธิแบบแยกเราไม่ให้มาที่รพ.ที่ส่งตัวมากลัวเราพูดความจริง รอจนกระทั้งเกือบบ่าย 2 โมง ไม่ไหวแล้วเลยบอกให้คนขับไปส่งที่รพ.เดิม เขาก็กล้าๆกลัวๆไม่กล้าไปส่งค่ะ ต้องโทรถาม HR แต่เราคือไม่ส่งก็จะไปเองเขาถึงยอมไปส่งค่ะ แต่กลับสวนกับรถที่ไปรับ จึงให้เขาจอดส่งกลางทางให้น้องสาวที่ขับตามมาแวะรับ .. มาถึงก็ยังนอนรอนะคะขนาดว่าเป็นเอกชน เราเลยบอกจะขอยื่นใช้สิทธิประกันส่วนตัวที่เราส่งกันเองไปก่อน แล้วค่อยทำเบิกกับประกันสังคมหรือบริษัท ที่ยื่นใช้เพราะเราอยากให้เขารักษาสามีเราให้ดีที่สุด เพราะสิทธิประกันสังคมถ้าเป็นของเอกชนเจ็บขนาดนี้รักษาไม่ต่างจากสิทธิ 30 บาทค่ะ เรากลัวมากๆ ..เพราะวงเงินของประกันสังคมก็มีจำกัดค่ะ (จากนี้ขอย่อประกันสังคมเป็น ปกส.)นะคะ
จนกระทั้งหมอตรวจเรียบร้อยและพบว่าเอนไซค์ที่หัวใจหรือที่เรียกว่า ค่าเอนไซม์กล้ามเนื้อ จะตรวจพบได้เมื่อร่างกายมีการสลายกล้ามเนื้อปนออกมาในกระแสเลือด ถ้าตรวจแล้วพบว่ามีค่าสูงกว่าปกติ จะแสดงถึงการที่ร่างกายเริ่มมีการสลายกล้ามเนื้อปนออกมาใช้ และอาจรุนแรงถึงขั้นกล้ามเนื้อสลาย มีผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ สุดท้ายปลายทางก็จะเกิดปัญหากับไต และทำให้ไตวายได้ คนที่มีปัญหาเรื่องของกล้ามเนื้อสลายนั้น ถ้ารักษาไม่ทันหรือไม่ถูกวิธีหากรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตได้ ซึ่งค่าที่ได้ขึ้นมา 100++ ซึ่งคนปกติ ผช.จะอยู่ที่ไม่เกิน 60 ค่ะ
หมอถามเราค่ะว่าไฟอะไรดูดทำไมถึงขั้นรุนแรงจนเอนไซม์ขึ้นมาน่ากลัวแบบนี้ เราไม่กล้าตอบเลยค่ะเพราะประวัติส่งมาคือกะทะไฟฟ้าบ้านดูด เราจึงตอบหมอไปว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เราจะให้โอกาส HR.พูดความจริงค่ะ เลยให้โทรไปหาคนที่เป็นคนให้ข้อมูล ได้คำตอบกลับมาอีกว่าไฟแอร์ดูด
เราโกรธมาก เลยพูดความจริงเลยค่ะว่าไฟฟ้าที่โรงงานดูดและคนไข้หมดสติ หามส่งรพ.รัฐที่ใกล้สุด รักษาแค่นอนรอให้น้ำเกลือ หมอและทุกคนตกใจค่ะ รีบทำการรักษาใหม่และตรงจุด ผลที่ได้คือคืนนั้นสามีต้องเข้าห้อง CCU หอผู้ป่วยหนักโรคหัวใจ
นายทะเบียนจอง รพ.ท่านนึงเดินมาแจ้งว่าจะใช้สิทธิ ปกส.ไม่ได้แล้วนะคะ เพราะเป็นอุบัติเหตุเนื่องจากการทำงาน ปกส.ไม่คุ้มครอง ต้องเบิกสิทธิกองทุนทดแทน เราแจ้ง HR.คะว่ารพ.แจ้งต้องใช้กองทุน แต่นู๋ขอใช้สิทธิประกันส่วนตัวรักษาแฟนก่อน ซึ่งเขาก็ได้แต่รับฟังแล้วบอกว่าเด๋วเบิกกองทุนมาทีหลัง
พอขึ้นไปหน้าห้อง CCU ได้รับฟังผลที่ตรวจอีกครั้งค่ะว่าตอนนี้แฟนเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ คืนนี้ให้กลับบ้านก่อนรอผลเลือดหากฉุกเฉิน อาจจะต้องทำการรักษาด้วยการฉีดสีสวนหัวใจคืนนี้ ต้องมีญาติเซ็นยินยอมการรักษาครั้งนี้ เราจึงถามเขาไปว่าเราสมรสไม่จดทะเบียนเซ็นได้หรือไม่ พยายาลบอกไม่ได้ต้องเป็นญาติสายตรง เขาไม่มีญาติที่สามารถมาได้เลยในคืนนี้ ซึ่งเราก็บอกว่าไม่จดทะเบียนแต่เรามีลูกด้วยกัน 2 คนคะ พยาบาลจึงสอบถามมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม เราก็บอกอยู่ด้วยกันมา 8 ปีแล้วค่ะ พยาบาลจึงอนุญาติว่าได้
จนเรากลับมารอบ้าน เหตุผลที่กลับมาทำไมไม่รอคือ รพ.มีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโควิดด้วยแต่คนละชั้นค่ะ ทางรพ.ห่วงเรื่องความปลอดภัย ต่อคะคือเราก็กลับมารอบ้านค่ะ แต่นอนรอโทรศัพท์ก็นอนไม่หลับ กลัวมาก จนกระทั้ง 6 โมงเช้าโทรศัพท์จาก รพ.โทรมาแจ้งว่าหมอขอพบญาติ 8 โมงตรงค่ะ
พอถึงรพ.พยาบาลก็แจ้งตามที่บอกค่ะคือต้องสวนหัวใจจริงๆ เพราะเอนไซม์ไม่ลดลงเลย หมอแจ้งว่าไม่ทำก็ได้ แต่ไม่ทำก็เสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และไตวาย เราเลือกได้ค่ะ เลือกได้ทางเดียวคือต้องทำแน่นอนค่ะ โดยเราก็เซ็นรับทราบค่าใช้จ่ายนะคะ ค่อนข้างสูงมาก แต่ รพ.ให้เราเบิกจากประกันส่วนตัวก่อนแล้วค่อยไปเบิกกับบริษัทและกองทุนภายหลังค่ะ
เราก็รีบโทรบอกกับหัวหน้า HR. คำตอบที่ได้คือสั่งให้เราย้าย รพ. ไปรพ.รัฐบาลในจังหวัด กับอีก 10 นาทีแฟนจะเข้าสวนหัวใจ เราอึ้งมากๆ กับคำตอบที่ได้รับ และทางหัวหน้าเขายังพูดกับลูกน้องด้วยค่ะว่าคนดีๆใส่ท่อไปก็ตายทั้งนั้น เป็นคำพูดของคนที่เป็นหัวหน้าหรอค่ะแบบนี้
เขายังส่งคนมาถามกับน้องสาวว่า "ที่ไม่ย้าย รพ.คือเราต้องการอะไร" เราไม่ได้เรียกร้องหรือต้องการอะไรเลยแต่แรกค่ะ แต่ต้องการแค่ความรับผิดชอบต่อเราที่เป็นลูกจ้างของคุณ แค่ค่ารักษาพยาบาล กับค่าเงินจากกองทุนทดแทนที่เราไม่สามารถไปทำงานได้เพราะต้องรักษาตัวค่ะ
แจ้งก่อนค่ะหมอบอกว่าผลข้างเคียงก็มี หากระหว่างทางสวนหัวใจไปแล้วเจอไขมันที่อุดตันในเส้นเลือดท่อที่ส่งเข้าไปไปต่อไม่ได้ ก้อต้องทำการบอลลูนต่อนะคะ เพราะอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้ อาจเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดและเสียชีวิต แต่ถ้าหากระหว่างทางไม่มีอะไรเลยก็สามารถพักฟื้น 3 วันและสามารถกับบ้านได้เลยค่ะ
แต่โชคดีค่ะการรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นจริงๆ สามีเราปลอดภัยดีค่ะ ทีนี้สามารถเข้ามาพักฟื้นห้องปกติได้เลยค่ะ
พอพักฟื้นได้ 1 วันเราถามแฟนไหวไหมกับไปพักฟื้นบ้าน เรากลัวเรื่องค่าใช้จ่ายค่ะ แฟนบอกไหว เราเลยขอหมอกลับวันนี้ ให้ทางรพ.เครียร์เรื่องประกันได้เลยค่ะ จนบ่ายละถามว่าติดอะไรหรือไม่ค่ะ ยังไม่เสร็จ เขาบอกประกันอาจจะเครียร์ให้ไม่หมด เพราะเป็นการบาดเจ็บจาการทำงานค่ะ เรารอการเครมจนกระทั้ง 2 ทุ่มวันนั้น รับแจ้งมาว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมด 110,000 บาทค่ะ ประกันเครียให้ประมาณ 60,000 หักส่วนลดแล้ว 49,000++ ค่ะ อีกครึ่งหนึ่งให้จ่ายเงินสด หรือเบิกกองทุนทดแทน เราติดต่อ HR.ไม่ได้ รพ.ไม่ให้กับค่ะ ให้รออีก 1 คืน ..
แต่คืนนั้นไม่ได้รับการดูแลผู้ป่วยอย่างเคยนะคะ ยาก็ไม่ได้กิน น้ำคนป่วยที่เคยให้ทุกครั้งก็ไม่ได้ คือสงสารเขามาก ถามพยาบาลตอนเช้าแบบแอบเคืองนะคะ ยาคนป่วยไม่ต้องทานหรอค่ะ ไม่จ่ายเงินก็ไม่ได้กินยาหรอค่ะ เขาตอบกลับมาว่าเราดูที่สถานการคนป่วยค่ะ หากไม่รุนแรงก็ไม่ต้องทานได้ค่ะ
ประมาณ 10 โมงติดต่อ HR ได้และแจ้งมาว่าเบิกเงินมาแล้วค่ะเต็มจำนวนจะออกมาจ่ายให้ พอมาถึงเขาจัดอะไรข้างล่างเรียบร้อยค่ะ เราก็พาสามมีกลับบ้าน หมอสั่งพัก 1 สัปดาห์ค่ะ แต่นัดพบแพทย์ก่อนวันกลับเข้าทำงาน 1 วัน แต่เราไม่ได้ไปโทรไปเลื่อนค่ะ เพราะกลัวประกันไม่จ่ายอีก และไม่มีเงินค่ะ
พอแฟนกลับมาทำงานเลยไปสอบถาม HR. ค่ะว่าหมอนัดหากมีค่าใช้จ่าย บริษัทจ่ายให้หรือไม่ คำตอบที่ได้คือ ไม่จ่ายค่ะ จบเคสแล้ว ไม่จ่ายอะไรเพิ่มแล้ว เราเลยสอบถามค่ารักษาพยาบาลในส่วนของประกันของเราที่จ่ายไปอีกครึ่งขอเบิกคืนหากบริษัทไม่ช่วยเรื่องค่ารักษา เราจะเก็บไว้รักษาแฟนค่ะ คำตอบคือเด๋วปรึกษากันกับนายก่อน แล้วเรื่องก็เงียบอีกคะ
สอยถามคะเราฟ้องสวัสดิการแรงงานได้ไหมค่ะ แต่ฟ้องของในจังหวัดกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรมค่ะ เพราะคิดว่าเขาน่าจะมีคนในรู้ค่ะ ทุกครั้งที่มีการตรวจแรงงานที่มาทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตเขาจะรู้ก่อนล่วงหน้า3 ชม.เขาจะพาแรงงานพม่าออกทางด้านหลัง ไม่เคยจับได้สักครั้ง ถ้าฟ้องในจังหวัดกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม ฟ้องจังหวัดใกล้เคียงได้หรือไม่ค่ะ?
ขออภัยที่พิมยาวนะคะ เรื่องมันเสียความรู้สึกมาก และบั่นทอนมาก