เป็นหนังที่ตั้งตารอดูตั้งแต่วินาทีแรกที่ออนแอร์เลยนะ เอาใจช่วยเพราะเป็นหนังไทยที่ได้ไปทำกับ Netflix อยากให้มีคอนเทนต์ไทยไปอยู่ในนั้นเยอะๆ
แต่ก็ผิดหวังอีกแล้ว …
#ยังฉีกกฎแบบสโลแกนของหนังไม่ได้ เพราะก้าวข้ามไม่พ้นความฟีลกู๊ดแบบจีดีเอช
#หนังผีแนวใหม่ หรือหนังดราม่าที่เอาคำว่าหนังผีมาขายกันแน่
ผู้สร้างประกาศตัวว่าจะทำหนังผีแนววิทยาศาสตร์ ซึ่งก็ทำได้ตามนั้นจริงๆ เพราะดูไปจนครึ่งเรื่องแล้วก็ไม่รู้สึกถึงความเป็นหนังผีเลย (ฮา) เพราะมันไม่มีความน่ากลัวเลย (สำหรับเรานะ) แต่รู้สึกได้ถึงความเป็นหนังดราม่า หนังขายความสัมพันธ์ของตัวละครมากกว่า
พอดูมาซักกลาง ๆ เรื่องก็สังเกตเห็นความพยายามของผู้กำกับที่จะบิ้วให้เรารู้สึกถึง “ความเป็นคู่หู” ความเป็นเพื่อนที่รักกันมาก (ขนาดยอมตายแทนกันได้) ของหมอวีกับหมอกล้าอยู่หรอกนะ แต่มันยังทำได้ไม่ถึง พอจะมาบิ้วให้เราซึ้งไปกับความรักของทั้งคู่ในตอนท้าย มันเลยไม่อิน ไม่ทัชอะไรเลย แต่กลับรู้สึก #อิหยังวะ เพราะหนังปูมาให้รู้สึกอย่างหนึ่ง แต่กลับมาให้บทสรุปในตอนท้ายอีกอย่างหนึ่งในแบบที่เราไม่ได้รู้สึกตามไปด้วย
เหมือนดูหนังที่ตัวละครกำลังบ้าคลั่ง สติแตก กำลังจะหลุด ก้าวข้ามความเป็นคนไปอยู่แล้ว แต่อยู่ดี ๆ ก็เกิดพุทธิปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาได้อย่างง่าย ๆ ซะงั้น
ในขณะที่บท ‘ใหม่’ แฟนของหมอกล้าที่ ‘ณิชา’ เล่น ต้องเรียกว่า ‘น้อยแต่มาก’ คือ ออกมาไม่เยอะ แต่กลับทำให้รู้สึก ทำให้เราอินไปกับเธอได้ ทั้งบทพูด (ตอนที่บอกว่าความไม่รู้นี่มันเจ็บปวด) และการแสดงของณิชาคือดีทั้งหมด
ยกเว้น…..ความสัมพันธ์ของหมอกล้ากับแฟน…….
คือช่วงแรกไม่ได้ปูมาว่าหมอกล้ารักแฟนเลย มีแต่ปูว่ารักเพื่อน คือ หมอวี จนสาววายแอบจิ้นได้เลยนะเนี่ย 5555555 เพราะมันมีแต่บทแฟนแอบบ่นว่าหมอทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้จนต้องมาหาที่โรงพยาบาลเอง / หรือแฟนขอเลื่อนทริปเที่ยวทะเลออกไปแล้วหมอกล้าไม่รู้สึกอะไรเพราะอยากทำการทดลองมากกว่า / หรือตอนที่หมอกล้าตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปโดยไม่เห็นจะคิดถึงแม่ คิดถึงน้อง คิดถึงแฟน (แบบที่หมอวีด่า) เลย
แต่พอตอนท้าย ความรักที่หมอกล้ามีให้แฟนกลับกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องไปซะงั้น ทั้งที่ตอนต้นบทปูไปคนละทางเลย แล้วมันก็ไม่มีฉากไหนที่เป็นตัวทริกเกอร์ ทำให้เราเห็นว่าหมอกล้าเปลี่ยนใจเลย คือ อยู่ดี ๆ อยากจะรักแฟน อยากจะรักแม่ขึ้นมาก็รักซะงั้น
ความที่ทำให้หนัง #อิหยังวะ ก็คือ
ตอนแรกปูมาซะดิบดีว่า หมอกล้าหมกมุ่นเรื่องการทดลอง และรักเพื่อนมากจนยอมทำอะไรที่มันสุดโต่งแบบนั้นได้ แต่พอตอนท้ายกลับทิ้งเรื่องทั้งหมดนี้ไปง่าย ๆ เพราะความรักที่มีให้แฟน ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาหนังไม่ได้ปูมาให้คนดูรู้สึกแบบนั้นเลย
พอหมอกล้าเปลี่ยนใจ ทิ้งทุกอย่างที่ทำร่วมกับหมอวีมา มันก็เลยพัง เพราะคนเชื่อไม่ลง และรู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้รู้สึกแบบนั้นเพื่อความฟีลกู้ด
ส่วนเรื่องการแสดง ‘ต่อ ธนภพ’ นี่ไม่ต้องพูดถึงแล้วเพราะหายห่วง แถมยังพัฒนาได้ขึ้นไปอีกทั้ง ๆ ที่เราก็รู้สึกว่าเค้าเก่งมากอยู่แล้ว
‘ไอซ์ พาริส’ มีเอเนอจี้เยอะแบบที่ผู้กำกับบอกจริงๆ ไอซ์ส่งพลังออกมาได้มากพอที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นหมอกล้าที่บ้าระห่ำจนสามารถทำแบบในหนังได้จริง แต่….ขอโทษน้องไอซ์ด้วยที่ต้องบอกว่าการแสดงของน้องมันยังขาดเสน่ห์บางอย่าง สายตาของน้องมันแรงกล้าสมกับเป็นหมอวีแล้ว แต่ลักษณะการพูด และการแสดงมันยังมี ‘ความเค้น’ ที่ไม่ได้มาจากอินเนอร์ มีความเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ แบบของต่อ มันเลยทำให้เราไม่รู้สึกรัก หลงเสน่ห์ หรือเอาใจช่วยตัวละครหมอกล้าซักเท่าไร
แต่เท่านี้ก็ถือว่าดีมาก เก่งมากแล้ว ขอปรบมือให้ แค่มีสมาธิ มีความละเอียดในการแสดงให้มากกว่านี้คงพัฒนาไปได้อีกไกล
งานภาพสวยสมเป็นหนังของ กอล์ฟ-ปวีณ ทั้งที่ถ่ายทำช่วงโควิด ซึ่งหาโลเคชั่นลำบาก แต่ก็ยังปั้นซีนออกมาได้สวยขนาดนี้
สรุปว่า Ghost Lab เป็นหนังที่เห็นได้ถึงความตั้งใจเป็นอย่างมากของทีมงาน และนักแสดง
ให้คะแนนความพยายามเป็นเลิศ
แต่พล็อตมันอิหลักอิเหลื่อ อยากฉีกกฎ แต่ดันไม่กล้าไปจนสุดทาง มันก็เลยออกมาครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้แล
Ghost Lab อยากฉีกกฎ แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้า
เป็นหนังที่ตั้งตารอดูตั้งแต่วินาทีแรกที่ออนแอร์เลยนะ เอาใจช่วยเพราะเป็นหนังไทยที่ได้ไปทำกับ Netflix อยากให้มีคอนเทนต์ไทยไปอยู่ในนั้นเยอะๆ
แต่ก็ผิดหวังอีกแล้ว …
#ยังฉีกกฎแบบสโลแกนของหนังไม่ได้ เพราะก้าวข้ามไม่พ้นความฟีลกู๊ดแบบจีดีเอช
#หนังผีแนวใหม่ หรือหนังดราม่าที่เอาคำว่าหนังผีมาขายกันแน่
ผู้สร้างประกาศตัวว่าจะทำหนังผีแนววิทยาศาสตร์ ซึ่งก็ทำได้ตามนั้นจริงๆ เพราะดูไปจนครึ่งเรื่องแล้วก็ไม่รู้สึกถึงความเป็นหนังผีเลย (ฮา) เพราะมันไม่มีความน่ากลัวเลย (สำหรับเรานะ) แต่รู้สึกได้ถึงความเป็นหนังดราม่า หนังขายความสัมพันธ์ของตัวละครมากกว่า
พอดูมาซักกลาง ๆ เรื่องก็สังเกตเห็นความพยายามของผู้กำกับที่จะบิ้วให้เรารู้สึกถึง “ความเป็นคู่หู” ความเป็นเพื่อนที่รักกันมาก (ขนาดยอมตายแทนกันได้) ของหมอวีกับหมอกล้าอยู่หรอกนะ แต่มันยังทำได้ไม่ถึง พอจะมาบิ้วให้เราซึ้งไปกับความรักของทั้งคู่ในตอนท้าย มันเลยไม่อิน ไม่ทัชอะไรเลย แต่กลับรู้สึก #อิหยังวะ เพราะหนังปูมาให้รู้สึกอย่างหนึ่ง แต่กลับมาให้บทสรุปในตอนท้ายอีกอย่างหนึ่งในแบบที่เราไม่ได้รู้สึกตามไปด้วย
เหมือนดูหนังที่ตัวละครกำลังบ้าคลั่ง สติแตก กำลังจะหลุด ก้าวข้ามความเป็นคนไปอยู่แล้ว แต่อยู่ดี ๆ ก็เกิดพุทธิปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาได้อย่างง่าย ๆ ซะงั้น
ในขณะที่บท ‘ใหม่’ แฟนของหมอกล้าที่ ‘ณิชา’ เล่น ต้องเรียกว่า ‘น้อยแต่มาก’ คือ ออกมาไม่เยอะ แต่กลับทำให้รู้สึก ทำให้เราอินไปกับเธอได้ ทั้งบทพูด (ตอนที่บอกว่าความไม่รู้นี่มันเจ็บปวด) และการแสดงของณิชาคือดีทั้งหมด
ยกเว้น…..ความสัมพันธ์ของหมอกล้ากับแฟน…….
คือช่วงแรกไม่ได้ปูมาว่าหมอกล้ารักแฟนเลย มีแต่ปูว่ารักเพื่อน คือ หมอวี จนสาววายแอบจิ้นได้เลยนะเนี่ย 5555555 เพราะมันมีแต่บทแฟนแอบบ่นว่าหมอทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้จนต้องมาหาที่โรงพยาบาลเอง / หรือแฟนขอเลื่อนทริปเที่ยวทะเลออกไปแล้วหมอกล้าไม่รู้สึกอะไรเพราะอยากทำการทดลองมากกว่า / หรือตอนที่หมอกล้าตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปโดยไม่เห็นจะคิดถึงแม่ คิดถึงน้อง คิดถึงแฟน (แบบที่หมอวีด่า) เลย
แต่พอตอนท้าย ความรักที่หมอกล้ามีให้แฟนกลับกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องไปซะงั้น ทั้งที่ตอนต้นบทปูไปคนละทางเลย แล้วมันก็ไม่มีฉากไหนที่เป็นตัวทริกเกอร์ ทำให้เราเห็นว่าหมอกล้าเปลี่ยนใจเลย คือ อยู่ดี ๆ อยากจะรักแฟน อยากจะรักแม่ขึ้นมาก็รักซะงั้น
ความที่ทำให้หนัง #อิหยังวะ ก็คือ
ตอนแรกปูมาซะดิบดีว่า หมอกล้าหมกมุ่นเรื่องการทดลอง และรักเพื่อนมากจนยอมทำอะไรที่มันสุดโต่งแบบนั้นได้ แต่พอตอนท้ายกลับทิ้งเรื่องทั้งหมดนี้ไปง่าย ๆ เพราะความรักที่มีให้แฟน ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาหนังไม่ได้ปูมาให้คนดูรู้สึกแบบนั้นเลย
พอหมอกล้าเปลี่ยนใจ ทิ้งทุกอย่างที่ทำร่วมกับหมอวีมา มันก็เลยพัง เพราะคนเชื่อไม่ลง และรู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้รู้สึกแบบนั้นเพื่อความฟีลกู้ด
ส่วนเรื่องการแสดง ‘ต่อ ธนภพ’ นี่ไม่ต้องพูดถึงแล้วเพราะหายห่วง แถมยังพัฒนาได้ขึ้นไปอีกทั้ง ๆ ที่เราก็รู้สึกว่าเค้าเก่งมากอยู่แล้ว
‘ไอซ์ พาริส’ มีเอเนอจี้เยอะแบบที่ผู้กำกับบอกจริงๆ ไอซ์ส่งพลังออกมาได้มากพอที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นหมอกล้าที่บ้าระห่ำจนสามารถทำแบบในหนังได้จริง แต่….ขอโทษน้องไอซ์ด้วยที่ต้องบอกว่าการแสดงของน้องมันยังขาดเสน่ห์บางอย่าง สายตาของน้องมันแรงกล้าสมกับเป็นหมอวีแล้ว แต่ลักษณะการพูด และการแสดงมันยังมี ‘ความเค้น’ ที่ไม่ได้มาจากอินเนอร์ มีความเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ แบบของต่อ มันเลยทำให้เราไม่รู้สึกรัก หลงเสน่ห์ หรือเอาใจช่วยตัวละครหมอกล้าซักเท่าไร
แต่เท่านี้ก็ถือว่าดีมาก เก่งมากแล้ว ขอปรบมือให้ แค่มีสมาธิ มีความละเอียดในการแสดงให้มากกว่านี้คงพัฒนาไปได้อีกไกล
งานภาพสวยสมเป็นหนังของ กอล์ฟ-ปวีณ ทั้งที่ถ่ายทำช่วงโควิด ซึ่งหาโลเคชั่นลำบาก แต่ก็ยังปั้นซีนออกมาได้สวยขนาดนี้
สรุปว่า Ghost Lab เป็นหนังที่เห็นได้ถึงความตั้งใจเป็นอย่างมากของทีมงาน และนักแสดง
ให้คะแนนความพยายามเป็นเลิศ
แต่พล็อตมันอิหลักอิเหลื่อ อยากฉีกกฎ แต่ดันไม่กล้าไปจนสุดทาง มันก็เลยออกมาครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้แล