เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานชุด
ชื่อเดียวเอี่ยวทุกเรื่อง
ขอขอบคุณคุณเสี่ย Kasareev ที่มาเขียน join ในบางฉากครับ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
......
ชีวิตในวัยเรียนของเด็กหญิง ระดับชั้น ม.1 ความสนุกสนานอย่างหนึ่งในโรงเรียนคือการแกล้งเพื่อน ๆ นี่ละ มันเป็นความรู้สึกสุดแสนวิเศษ แบบอธิบายได้ยาก นอกจากจะทดลองแกล้งเอง หัวใจของฉันเต้นถี่แรง ขณะสังเกตดูผลลัพธ์ที่ออกมาจากปฏิบัติการแห่งความเร้าใจ วัยเด็กคือวัยแห่งความสนุกสนาน ไม่ต้องคิดมาก ในห้องเรียนก็เหมือนสังคมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีทั้งผู้นำ ผู้ตาม คนแข็งแรง ผู้อ่อนแอ คนรวย คนจน คนแกล้งคน และคนถูกแกล้ง ทุกคนต้องเรียนรู้และเอาตัวรอด
ฉันทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชั้น ตำแหน่งได้มาโดยไม่มีการโกงเหมือนการเลือกตั้งของพวกผู้ใหญ่ จะว่าไปฉันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย เพียงแต่เรียนเก่ง มีความมั่นใจสูง มีความเป็นผู้นำ ฐานะทางบ้านดี เท่านี้ก็มากเกินพอ ที่จะให้เพื่อนทุกคนยกมือ เทคะแนนให้ โดยไม่ต้องออกไปเดินหาเสียง ไม่ต้องมีหัวคะแนน เหมือนการเลือกตั้งของพวกผู้ใหญ่ อ้อ...ที่มักเปรียบเทียบพวกผู้ใหญ่ เป็นความตั้งใจล้อเลียนประชดประชันของฉันเองเลยทีเดียว ฉันอยากโตเป็นผู้ใหญ่บ้าง คงจะทำอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้น
ฉันมีรองหัวหน้าอยู่สองคน เด็กชายปัญญากับเด็กหญิงวันดี ทำไมไม่เป็นเด็กชายปัญญากับเด็กหญิงเรณูก็ไม่รู้ ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ทำหน้าที่ได้ดี ปัญญาผู้เงียบขรึมไม่ค่อยพูด เขาเป็นลูกชายคนเล็กของเสี่ยเจ้าของร้านขายยาในอำเภอ สวมแว่นเหมือนโนบิตาแต่ฉลาดเหมือนเดคิสึงิ (ตัวละครที่เก่งดีทุกอย่าง แต่เหมือนไร้ตัวตน และเป็นคนในอุดมคติของโนบิตะ) ส่วนวันดี ถ้าจะนึกถึงเธอ ต้องนึกถึง เสียงพูดแจ๋นจ๋าของเธอเสมอ เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของห้อง การติดต่อเข้าหาครูอาจารย์ต้องยกให้เธอ แต่คนที่คอยเดินตามหลังของฉันเวลาทำงานต่าง ๆ ก็ต้องยัยแจ๋นคนนี้ละ เรียกว่ารู้บทบาทหน้าที่เป็นอย่างดี
เราสามคนเป็นผู้บุคคลระดับสูงของสังคมห้อง และแน่นอนว่าทุกสังคมไม่ได้สมบูรณ์เต็มร้อย ต้องมีอะไรบางอย่างมาบั่นทอนความสง่างามของสังคมลงบ้าง ทุกคนในห้อง ปอ6/1 เป็นเด็กเก่งพิเศษ เรียกว่าเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียน เวลาทางโรงเรียนจะเลือกเด็กไปประกวดด้านวิชาการกับโรงเรียนอื่น ต้องเลือกนักเรียนจากห้องเราเท่านั้น
แต่กฏทุกข้อก็มีข้อยกเว้น เอาละ ฉันจะเล่าเรื่องจุดด่างพร้อยของห้องให้ฟัง
“นิด เธอเอาขยะหลังห้องไปเททิ้งด้วย” ฉันออกคำสั่งเสียงเข้ม ขณะเอามือกอดอกวางท่า ยืนอยู่หน้าห้องเรียน ม.1/1 ในฐานะหัวหน้าห้อง เวลาบ่ายสามกว่าของวันศุกร์ นักเรียนแต่ละคนตั้งหน้าตั้งตารอเสียงสัญญาณดังบอกเวลาเลิกเรียน ความจริงฉันรู้ว่าภายในถังขยะหลังห้องมีเศษขยะไม่กี่ชิ้น แต่ฉันจงใจสั่ง เพราะอยากแกล้งยัยนิดนั่นเอง กลุ่มเพื่อนของฉันสามสี่คนมองแล้วพากันเอามือปิดปากหัวเราะ รู้ว่านั่นคือ ‘การแกล้งแบบนิ่มเนียน’ อย่างหนึ่ง
เด็กหญิงนิชธิมา หรือที่พวกเราตั้งฉายาให้ว่า ‘นิดมอมแมม’ เด็กผู้หญิงที่ฉันไม่ชอบหน้ามากที่สุดในห้อง เพราะเสื้อผ้าเก่า ๆ รองเท้าสีดำมีรอยขาดรอยปะอย่างน่ารังเกียจ นั่นละรองเท้าพวกนักเรียนคนจน ที่มาของคำว่า ‘นิดมอมแมม’ ผู้เป็นเหมือนแกะดำในฝูงกาขาว เพราะนักเรียนทั้งห้อง ต่างมีพ่อแม่ผู้ปกครองฐานะดี ด้วยกันทั้งนั้น
นิดรับคำ เดินถือถังขยะเดินออกไปจากห้องโดยไม่ปริปากบ่น ทั้งที่วันนี้ไม่ใช่เวรของเธอ แต่ฉันหาเรื่องใช้งาน เพื่อให้นิดกลับบ้านช้าเท่านั้น เพราะรู้ว่าจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปช่วยยายทำงานบ้าน ต้องหาเรื่องให้กลับช้า จะได้โดนยายด่ายายตี ก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเกลียดเพื่อนร่วมชั้นคนนี้เหลือเกิน ทั้งที่นิดไม่เคยทำอะไรให้เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักครั้ง
เมื่อเห็นนิดมอมแมมถือถังขยะกลับมา ฉันก็บอกอีก “เอาถังขยะไปล้างให้สะอาดก่อนสิ แหม ทิ้งอะไรต่อมิอะไรมาทั้งวันสกปรกแย่ เอาไปขัดล้างให้ดีเลยนะ”
ยัยนิดก้มลงมองถังขยะในมือ ยิ้มเล็กน้อย ไปหยิบผ้าขี้ริ้วจากหลังมุมห้อง เดินลิ่วออกไป ซึ่งไม่ต้องทายก็รู้ว่า ต้องไปบริเวณหน้าห้องน้ำของโรงเรียน บริเวณนั้นอยู่ด้านหลังอาคารของโรงเรียน จัดทำเป็นลานคอนกรีตขนาดย่อม มีก๊อกน้ำให้นักเรียนใช้ทำความสะอาดแบบเอนกประสงค์ มีแปรงมีผงซักฟอกให้ใช้
นี่ถ้ายัยนิดจะอิดออด ชักสีหน้าไม่พอใจสักหน่อย ฉันคงจะสนุกมากกว่านี้ เพราะจะได้หาเรื่องอบรมสั่งสอนเสียบ้าง ในฐานะหัวหน้าชั้นที่ดี ถ้าเป็นฉันนะ ลองมีใครมาใช้ให้เอาถังขยะไปล้าง คงได้โลกแตกกันไปข้าง พ่อกับแม่ยังไม่กล้า บางทีอาจเป็นเพราะความยากจนของเธอก็เป็นได้ ทำให้นิดเป็นคนสู้งาน ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมทางโรงเรียนถึงปล่อยให้เด็กยากจน มาเรียนปนอยู่กับเด็กร่ำรวยอย่างพวกเรา
ดูเพื่อนของฉันแต่ละคน กรกานต์หรือยัยแจ๋น เป็นลูกสาวนายอำเภอ ไอรีนเป็นลูกครึ่งฝรั่งไทย มีเรือนผมสีสวยแปลกตา ใช้สิ่งของราคาแพง ปัญญาเป็นลูกชายเถ้าแก่ร้านค้าใหญ่ของอำเภอ สุนีย์เป็นลูกสาวนายตำรวจ ส่วนฉันเอง เด็กหญิงมินตรา เป็นลูกสาวคนเดียวของครูใหญ่ ที่พ่อแม่ได้รับการยอมรับนับถือจากผู้คนทั้งอำเภอ มีบ้านหลังใหญ่โตฐานะดีไม่แพ้เพื่อนคนไหน
“อย่าไปยุ่งกับยัยนิดมอมแมม เสียราศี” สุนีย์เพื่อนรักเคยประกาศในกลุ่ม พวกเราต่างอยากให้เด็กยากจนย้ายออกจากห้อง โน่น...ไปอยู่ห้องท้าย ๆ ยังมีที่ว่างสำหรับเด็กยากจนเรียนไม่ดี”
แต่ยัยนิดมอมแมนกลับเรียนดี นี่สิ...แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ก็ไม่ควรมาอยู่ห้องคิง คุณสมบัติไม่ครบ ไม่รู้ฝ่ายบริหารโรงเรียนพากันคิดอย่างไร ไม่เข้าใจเอาเสียเลย
แต่เปิดเทอมสองมาได้เกือบเดือนแล้ว เด็กหญิงตัวปัญหาของห้อง ยัยนิดมอมแมม ยังไม่ถูกย้ายไปไหน เป็นจุดด่างพร้อยของห้องตามเคย ทั้งที่ฉันบอกคุณพ่อไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“นิดก็ไม่ได้ทำอะไรให้มินเดือดร้อนไม่ใช่เหรอ” คุณพ่อพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่เข้าใจความรู้สึกของลูกสาวเอาเสียเลย
“แต่นิดเข้ากับเพื่อนไม่ได้เลยนะคุณพ่อ อยู่กับพวกเรา เธอจะมีปัญหา”
“ปัญหาอะไรล่ะ”
“ก็....!!! ” ฉันพูดไม่ออก เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่า ยัยนิดจะมีปัญหาอะไร คุณพ่อเองก็ไม่ได้มีทีท่าสนใจคำร้องของลูกสาวตัวเองเลย แถมยังบอกในตอนท้ายว่า
“เอาเถอะน่า...วันจันทร์ทางโรงเรียนจะส่งนิดไปแข่งขันการตอบปัญหาภาษาไทยในจังหวัด เพราะหนูนิดทำคะแนนวิชาภาษาไทยเป็นที่หนึ่งของระดับเชียวนะ”
คำพูดของคุณพ่อทำให้ฉันตัวชา รู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก เพราะคะแนนวิชาภาษาไทยของฉัน อยู่อันดับสามของระดับ ทำไมทางโรงเรียนถึงไม่เลือกเข้าไปแข่ง ที่หนึ่งกับที่สามไม่ได้ห่างกันมากนัก ด้วยรูปร่างหน้าตา การแต่งกายฉันเหนือกว่ายัยนิดมอมแมมตัวร้ายทุกประตู
ฉันและเพื่อนมักพากันมองนิด ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม คนจนทำไมถึงทนต่อการกลั่นแกล้งสารพัดได้ขนาดนี้ ฉันเองก็เคยหาเรื่องแกล้งนับครั้งไม่ถ้วน เอากระดาษติดกาวเขียนว่า ‘เชิญเตะฟรี หยิกฟรี’ บ้างละ แอบเอารองเท้าไปซ่อนบ้างละ ใช้ทำงานโน่นนี่ หนักที่สุดคือ แกล้งทำสมุดของเธอหาย ซึ่งมีฉันผู้เป็นหัวหน้า อาสารวบรวมสมุดวิชาภาษาไทยไปส่งคุณครู นั่นละ...ครั้งแรกที่เห็นยัยนิดร้องไห้อยู่คนเดียวหลังห้อง พวกเพื่อนพากันหัวเราะเยาะสนุกสนาน แต่ฉันรู้สึกเสียใจนิด ๆ และก็พยายามลืมการกระทำของตัวเอง หลังจากนั้นก็ไม่แกล้งอะไรร้ายแรงอีกเลย ทั้งที่ใจยังเกลียดไม่หาย
“เรียบร้อยแล้วนะหัวหน้า” ยัยนิดมอมแมมเดินถือถังขยะดูสะอาดทั้งภายนอกภายในเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเธอมีแววดีใจกับการล้างถังขยะ “ดูสิ ถังขยะพอล้างพอขัดแล้วดูสะอาดดีจังเลย ขอบใจหัวหน้ามากเลยที่ทำให้เราคิดได้ มองข้ามไปตั้งนาน มัวแต่ไปสนใจกระดานดำ โต๊ะเก้าอี้ พิ้นห้อง ถังขยะก็สำคัญเหมือนกันนะ มีผลกับคะแนนความสะอาดของห้อง เดี๋ยวจะไปบอกห้องอื่นทำบ้าง”
ฉันถึงกับคอแข็ง พูดไม่ออก นี่ยัยนิดมอมแมมมันแกล้งโง่หรือบ้า หรือว่ามองโลกให้แง่ดีเกินไปกันแน่ ถึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการโดนแกล้ง กลับมาทำเป็นดีใจอีกต่างหาก ยังมีหน้าจะเอาไอเดียบรรเจิดของฉันไปขยายผลอีกต่างหาก
ถึงไม่ชอบหน้าเพียงใด กลุ่มของเราก็ไม่เคยใช้วิธีการรุนแรงแบบในละครหรือในภาพยนตร์ เช่น การไปรุมทำร้ายในห้องน้ำหรือช่วงเลิกเรียน เราไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น เป็นคุณความดีน่าชื่นชมของกลุ่ม ที่ไม่เคยทำตามหนัง หรือละครในทางไม่ดี เพราะแยกแยะออกว่าอะไรคือละคร อะไรคือเรื่องจริง อย่างมากก็แกล้งพอหอมปากหอมคอ
เย็นฉันกับพวกยังคงจับกลุ่มพูดคุยกันต่อไป ไม่มีใครอยากรีบร้อนกลับบ้านกันสักคน ช่วงหนึ่งของการสนทนา ไอรีนเด็กลูกครึ่งคนน่ารัก คนเจ้าคิดของกลุ่มถามขึ้นว่า
“จะให้ยัยนิดมอมแมมเป็นตัวแทนของโรงเรียน ไปแข่งภาษาไทยจริงเหรอ” ทำให้พวกเราพากันหันไปมองตาเดียว เป็นคำถามที่น่าคิดและค้างคาใจตลอดสัปดาห์ แต่ยังหาทางออกสวยงามไม่ได้
“วันจันทร์ก็ถึงวันแข่งขันแล้วนะ” ไอรีนพูดต่อไป สีหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้
“นั่นสินะ จะให้ทำยังไงล่ะ” ฉันถามอย่างเสียดาย นึกถึงภาพยัยนิดมอมแมมกับเสื้อผ้าเก่า ๆ เดินขึ้นรถโรงเรียนไปประกวดการแข่งขันวิชาภาษาไทย วิชาโปรดของฉันด้วย ทำให้รู้สึกเสียดายและเสียใจว่าไม่ใช่ฉัน
“เราตามยัยนิดไปดีไหม” ไอรีนเอ่ยถามทั้งกลุ่ม ทุกคนเงียบ ไอรีนจึงพูดต่อไป “เราตามไปที่บ้านเลย ช่วยกันพูดให้ยัยมอมแมมถอนตัวออกจากการเป็นตัวแทน พวกเธอว่าไง”
“มันจะดีหรือ” กรกานต์มีสีหน้าท่าทางลังเล “ยัยนั่นคงยอมอยู่หรอก”
“เราก็ช่วยกันพูด ช่วยกันขู่สิ ไปพูดกับยายของยัยมอมแมมก็ได้ อ้างว่าเสียเวลาช่วยงานบ้าน เสียเงินเสียอะไรก็ว่าเข้าไป บอกไปเลยก็ได้ว่า ยัยนิดจะไปขัดขวางความเจริญของหัวหน้า ว่าไงหัวหน้า ถ้าจะทำก็ต้องทำวันนี้นะ ตีดาบต้องตีร้อน ๆ พวกเราหลายคนช่วยกันพูด ปล่อยช้าไปไม่ทันการณ์ ถ้าวันจันทร์ยัยนิดโผล่ไปโรงเรียน ก็ต้องไปแข่ง ถ้ายัยนิดลาป่วย เธอก็เสียบแทนได้เนียน ๆ” คนต้นคิดหันมาทางฉัน
.
ลังเล ชื่อเดียวเอี่ยวทุกเรื่อง.........ยัยนิดมอมแมม
ขอขอบคุณคุณเสี่ย Kasareev ที่มาเขียน join ในบางฉากครับ
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
......
ชีวิตในวัยเรียนของเด็กหญิง ระดับชั้น ม.1 ความสนุกสนานอย่างหนึ่งในโรงเรียนคือการแกล้งเพื่อน ๆ นี่ละ มันเป็นความรู้สึกสุดแสนวิเศษ แบบอธิบายได้ยาก นอกจากจะทดลองแกล้งเอง หัวใจของฉันเต้นถี่แรง ขณะสังเกตดูผลลัพธ์ที่ออกมาจากปฏิบัติการแห่งความเร้าใจ วัยเด็กคือวัยแห่งความสนุกสนาน ไม่ต้องคิดมาก ในห้องเรียนก็เหมือนสังคมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีทั้งผู้นำ ผู้ตาม คนแข็งแรง ผู้อ่อนแอ คนรวย คนจน คนแกล้งคน และคนถูกแกล้ง ทุกคนต้องเรียนรู้และเอาตัวรอด
ฉันทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชั้น ตำแหน่งได้มาโดยไม่มีการโกงเหมือนการเลือกตั้งของพวกผู้ใหญ่ จะว่าไปฉันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย เพียงแต่เรียนเก่ง มีความมั่นใจสูง มีความเป็นผู้นำ ฐานะทางบ้านดี เท่านี้ก็มากเกินพอ ที่จะให้เพื่อนทุกคนยกมือ เทคะแนนให้ โดยไม่ต้องออกไปเดินหาเสียง ไม่ต้องมีหัวคะแนน เหมือนการเลือกตั้งของพวกผู้ใหญ่ อ้อ...ที่มักเปรียบเทียบพวกผู้ใหญ่ เป็นความตั้งใจล้อเลียนประชดประชันของฉันเองเลยทีเดียว ฉันอยากโตเป็นผู้ใหญ่บ้าง คงจะทำอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้น
ฉันมีรองหัวหน้าอยู่สองคน เด็กชายปัญญากับเด็กหญิงวันดี ทำไมไม่เป็นเด็กชายปัญญากับเด็กหญิงเรณูก็ไม่รู้ ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ทำหน้าที่ได้ดี ปัญญาผู้เงียบขรึมไม่ค่อยพูด เขาเป็นลูกชายคนเล็กของเสี่ยเจ้าของร้านขายยาในอำเภอ สวมแว่นเหมือนโนบิตาแต่ฉลาดเหมือนเดคิสึงิ (ตัวละครที่เก่งดีทุกอย่าง แต่เหมือนไร้ตัวตน และเป็นคนในอุดมคติของโนบิตะ) ส่วนวันดี ถ้าจะนึกถึงเธอ ต้องนึกถึง เสียงพูดแจ๋นจ๋าของเธอเสมอ เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของห้อง การติดต่อเข้าหาครูอาจารย์ต้องยกให้เธอ แต่คนที่คอยเดินตามหลังของฉันเวลาทำงานต่าง ๆ ก็ต้องยัยแจ๋นคนนี้ละ เรียกว่ารู้บทบาทหน้าที่เป็นอย่างดี
เราสามคนเป็นผู้บุคคลระดับสูงของสังคมห้อง และแน่นอนว่าทุกสังคมไม่ได้สมบูรณ์เต็มร้อย ต้องมีอะไรบางอย่างมาบั่นทอนความสง่างามของสังคมลงบ้าง ทุกคนในห้อง ปอ6/1 เป็นเด็กเก่งพิเศษ เรียกว่าเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียน เวลาทางโรงเรียนจะเลือกเด็กไปประกวดด้านวิชาการกับโรงเรียนอื่น ต้องเลือกนักเรียนจากห้องเราเท่านั้น
แต่กฏทุกข้อก็มีข้อยกเว้น เอาละ ฉันจะเล่าเรื่องจุดด่างพร้อยของห้องให้ฟัง
“นิด เธอเอาขยะหลังห้องไปเททิ้งด้วย” ฉันออกคำสั่งเสียงเข้ม ขณะเอามือกอดอกวางท่า ยืนอยู่หน้าห้องเรียน ม.1/1 ในฐานะหัวหน้าห้อง เวลาบ่ายสามกว่าของวันศุกร์ นักเรียนแต่ละคนตั้งหน้าตั้งตารอเสียงสัญญาณดังบอกเวลาเลิกเรียน ความจริงฉันรู้ว่าภายในถังขยะหลังห้องมีเศษขยะไม่กี่ชิ้น แต่ฉันจงใจสั่ง เพราะอยากแกล้งยัยนิดนั่นเอง กลุ่มเพื่อนของฉันสามสี่คนมองแล้วพากันเอามือปิดปากหัวเราะ รู้ว่านั่นคือ ‘การแกล้งแบบนิ่มเนียน’ อย่างหนึ่ง
เด็กหญิงนิชธิมา หรือที่พวกเราตั้งฉายาให้ว่า ‘นิดมอมแมม’ เด็กผู้หญิงที่ฉันไม่ชอบหน้ามากที่สุดในห้อง เพราะเสื้อผ้าเก่า ๆ รองเท้าสีดำมีรอยขาดรอยปะอย่างน่ารังเกียจ นั่นละรองเท้าพวกนักเรียนคนจน ที่มาของคำว่า ‘นิดมอมแมม’ ผู้เป็นเหมือนแกะดำในฝูงกาขาว เพราะนักเรียนทั้งห้อง ต่างมีพ่อแม่ผู้ปกครองฐานะดี ด้วยกันทั้งนั้น
นิดรับคำ เดินถือถังขยะเดินออกไปจากห้องโดยไม่ปริปากบ่น ทั้งที่วันนี้ไม่ใช่เวรของเธอ แต่ฉันหาเรื่องใช้งาน เพื่อให้นิดกลับบ้านช้าเท่านั้น เพราะรู้ว่าจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปช่วยยายทำงานบ้าน ต้องหาเรื่องให้กลับช้า จะได้โดนยายด่ายายตี ก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเกลียดเพื่อนร่วมชั้นคนนี้เหลือเกิน ทั้งที่นิดไม่เคยทำอะไรให้เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักครั้ง
เมื่อเห็นนิดมอมแมมถือถังขยะกลับมา ฉันก็บอกอีก “เอาถังขยะไปล้างให้สะอาดก่อนสิ แหม ทิ้งอะไรต่อมิอะไรมาทั้งวันสกปรกแย่ เอาไปขัดล้างให้ดีเลยนะ”
ยัยนิดก้มลงมองถังขยะในมือ ยิ้มเล็กน้อย ไปหยิบผ้าขี้ริ้วจากหลังมุมห้อง เดินลิ่วออกไป ซึ่งไม่ต้องทายก็รู้ว่า ต้องไปบริเวณหน้าห้องน้ำของโรงเรียน บริเวณนั้นอยู่ด้านหลังอาคารของโรงเรียน จัดทำเป็นลานคอนกรีตขนาดย่อม มีก๊อกน้ำให้นักเรียนใช้ทำความสะอาดแบบเอนกประสงค์ มีแปรงมีผงซักฟอกให้ใช้
นี่ถ้ายัยนิดจะอิดออด ชักสีหน้าไม่พอใจสักหน่อย ฉันคงจะสนุกมากกว่านี้ เพราะจะได้หาเรื่องอบรมสั่งสอนเสียบ้าง ในฐานะหัวหน้าชั้นที่ดี ถ้าเป็นฉันนะ ลองมีใครมาใช้ให้เอาถังขยะไปล้าง คงได้โลกแตกกันไปข้าง พ่อกับแม่ยังไม่กล้า บางทีอาจเป็นเพราะความยากจนของเธอก็เป็นได้ ทำให้นิดเป็นคนสู้งาน ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมทางโรงเรียนถึงปล่อยให้เด็กยากจน มาเรียนปนอยู่กับเด็กร่ำรวยอย่างพวกเรา
ดูเพื่อนของฉันแต่ละคน กรกานต์หรือยัยแจ๋น เป็นลูกสาวนายอำเภอ ไอรีนเป็นลูกครึ่งฝรั่งไทย มีเรือนผมสีสวยแปลกตา ใช้สิ่งของราคาแพง ปัญญาเป็นลูกชายเถ้าแก่ร้านค้าใหญ่ของอำเภอ สุนีย์เป็นลูกสาวนายตำรวจ ส่วนฉันเอง เด็กหญิงมินตรา เป็นลูกสาวคนเดียวของครูใหญ่ ที่พ่อแม่ได้รับการยอมรับนับถือจากผู้คนทั้งอำเภอ มีบ้านหลังใหญ่โตฐานะดีไม่แพ้เพื่อนคนไหน
“อย่าไปยุ่งกับยัยนิดมอมแมม เสียราศี” สุนีย์เพื่อนรักเคยประกาศในกลุ่ม พวกเราต่างอยากให้เด็กยากจนย้ายออกจากห้อง โน่น...ไปอยู่ห้องท้าย ๆ ยังมีที่ว่างสำหรับเด็กยากจนเรียนไม่ดี”
แต่ยัยนิดมอมแมนกลับเรียนดี นี่สิ...แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ก็ไม่ควรมาอยู่ห้องคิง คุณสมบัติไม่ครบ ไม่รู้ฝ่ายบริหารโรงเรียนพากันคิดอย่างไร ไม่เข้าใจเอาเสียเลย
แต่เปิดเทอมสองมาได้เกือบเดือนแล้ว เด็กหญิงตัวปัญหาของห้อง ยัยนิดมอมแมม ยังไม่ถูกย้ายไปไหน เป็นจุดด่างพร้อยของห้องตามเคย ทั้งที่ฉันบอกคุณพ่อไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“นิดก็ไม่ได้ทำอะไรให้มินเดือดร้อนไม่ใช่เหรอ” คุณพ่อพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่เข้าใจความรู้สึกของลูกสาวเอาเสียเลย
“แต่นิดเข้ากับเพื่อนไม่ได้เลยนะคุณพ่อ อยู่กับพวกเรา เธอจะมีปัญหา”
“ปัญหาอะไรล่ะ”
“ก็....!!! ” ฉันพูดไม่ออก เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่า ยัยนิดจะมีปัญหาอะไร คุณพ่อเองก็ไม่ได้มีทีท่าสนใจคำร้องของลูกสาวตัวเองเลย แถมยังบอกในตอนท้ายว่า
“เอาเถอะน่า...วันจันทร์ทางโรงเรียนจะส่งนิดไปแข่งขันการตอบปัญหาภาษาไทยในจังหวัด เพราะหนูนิดทำคะแนนวิชาภาษาไทยเป็นที่หนึ่งของระดับเชียวนะ”
คำพูดของคุณพ่อทำให้ฉันตัวชา รู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก เพราะคะแนนวิชาภาษาไทยของฉัน อยู่อันดับสามของระดับ ทำไมทางโรงเรียนถึงไม่เลือกเข้าไปแข่ง ที่หนึ่งกับที่สามไม่ได้ห่างกันมากนัก ด้วยรูปร่างหน้าตา การแต่งกายฉันเหนือกว่ายัยนิดมอมแมมตัวร้ายทุกประตู
ฉันและเพื่อนมักพากันมองนิด ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม คนจนทำไมถึงทนต่อการกลั่นแกล้งสารพัดได้ขนาดนี้ ฉันเองก็เคยหาเรื่องแกล้งนับครั้งไม่ถ้วน เอากระดาษติดกาวเขียนว่า ‘เชิญเตะฟรี หยิกฟรี’ บ้างละ แอบเอารองเท้าไปซ่อนบ้างละ ใช้ทำงานโน่นนี่ หนักที่สุดคือ แกล้งทำสมุดของเธอหาย ซึ่งมีฉันผู้เป็นหัวหน้า อาสารวบรวมสมุดวิชาภาษาไทยไปส่งคุณครู นั่นละ...ครั้งแรกที่เห็นยัยนิดร้องไห้อยู่คนเดียวหลังห้อง พวกเพื่อนพากันหัวเราะเยาะสนุกสนาน แต่ฉันรู้สึกเสียใจนิด ๆ และก็พยายามลืมการกระทำของตัวเอง หลังจากนั้นก็ไม่แกล้งอะไรร้ายแรงอีกเลย ทั้งที่ใจยังเกลียดไม่หาย
“เรียบร้อยแล้วนะหัวหน้า” ยัยนิดมอมแมมเดินถือถังขยะดูสะอาดทั้งภายนอกภายในเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเธอมีแววดีใจกับการล้างถังขยะ “ดูสิ ถังขยะพอล้างพอขัดแล้วดูสะอาดดีจังเลย ขอบใจหัวหน้ามากเลยที่ทำให้เราคิดได้ มองข้ามไปตั้งนาน มัวแต่ไปสนใจกระดานดำ โต๊ะเก้าอี้ พิ้นห้อง ถังขยะก็สำคัญเหมือนกันนะ มีผลกับคะแนนความสะอาดของห้อง เดี๋ยวจะไปบอกห้องอื่นทำบ้าง”
ฉันถึงกับคอแข็ง พูดไม่ออก นี่ยัยนิดมอมแมมมันแกล้งโง่หรือบ้า หรือว่ามองโลกให้แง่ดีเกินไปกันแน่ ถึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการโดนแกล้ง กลับมาทำเป็นดีใจอีกต่างหาก ยังมีหน้าจะเอาไอเดียบรรเจิดของฉันไปขยายผลอีกต่างหาก
ถึงไม่ชอบหน้าเพียงใด กลุ่มของเราก็ไม่เคยใช้วิธีการรุนแรงแบบในละครหรือในภาพยนตร์ เช่น การไปรุมทำร้ายในห้องน้ำหรือช่วงเลิกเรียน เราไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น เป็นคุณความดีน่าชื่นชมของกลุ่ม ที่ไม่เคยทำตามหนัง หรือละครในทางไม่ดี เพราะแยกแยะออกว่าอะไรคือละคร อะไรคือเรื่องจริง อย่างมากก็แกล้งพอหอมปากหอมคอ
เย็นฉันกับพวกยังคงจับกลุ่มพูดคุยกันต่อไป ไม่มีใครอยากรีบร้อนกลับบ้านกันสักคน ช่วงหนึ่งของการสนทนา ไอรีนเด็กลูกครึ่งคนน่ารัก คนเจ้าคิดของกลุ่มถามขึ้นว่า
“จะให้ยัยนิดมอมแมมเป็นตัวแทนของโรงเรียน ไปแข่งภาษาไทยจริงเหรอ” ทำให้พวกเราพากันหันไปมองตาเดียว เป็นคำถามที่น่าคิดและค้างคาใจตลอดสัปดาห์ แต่ยังหาทางออกสวยงามไม่ได้
“วันจันทร์ก็ถึงวันแข่งขันแล้วนะ” ไอรีนพูดต่อไป สีหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้
“นั่นสินะ จะให้ทำยังไงล่ะ” ฉันถามอย่างเสียดาย นึกถึงภาพยัยนิดมอมแมมกับเสื้อผ้าเก่า ๆ เดินขึ้นรถโรงเรียนไปประกวดการแข่งขันวิชาภาษาไทย วิชาโปรดของฉันด้วย ทำให้รู้สึกเสียดายและเสียใจว่าไม่ใช่ฉัน
“เราตามยัยนิดไปดีไหม” ไอรีนเอ่ยถามทั้งกลุ่ม ทุกคนเงียบ ไอรีนจึงพูดต่อไป “เราตามไปที่บ้านเลย ช่วยกันพูดให้ยัยมอมแมมถอนตัวออกจากการเป็นตัวแทน พวกเธอว่าไง”
“มันจะดีหรือ” กรกานต์มีสีหน้าท่าทางลังเล “ยัยนั่นคงยอมอยู่หรอก”
“เราก็ช่วยกันพูด ช่วยกันขู่สิ ไปพูดกับยายของยัยมอมแมมก็ได้ อ้างว่าเสียเวลาช่วยงานบ้าน เสียเงินเสียอะไรก็ว่าเข้าไป บอกไปเลยก็ได้ว่า ยัยนิดจะไปขัดขวางความเจริญของหัวหน้า ว่าไงหัวหน้า ถ้าจะทำก็ต้องทำวันนี้นะ ตีดาบต้องตีร้อน ๆ พวกเราหลายคนช่วยกันพูด ปล่อยช้าไปไม่ทันการณ์ ถ้าวันจันทร์ยัยนิดโผล่ไปโรงเรียน ก็ต้องไปแข่ง ถ้ายัยนิดลาป่วย เธอก็เสียบแทนได้เนียน ๆ” คนต้นคิดหันมาทางฉัน
.