เราขอเขามากเกินไปหรือเปล่า (ชายกับชาย)

เราไปยืมแอคเคาท์พี่คนนึงมาขอตั้งกระทู้ ก่อนเราต้องบอกก่อนว่าเราเป็นเกย์ ที่ผ่านมาเราไม่เคยมีแฟนมาก่อน จนกระทั่งเขานี่แหละที่เป็นแฟน ผู้ชายคนนี้เขาเป็นข้าราชการ ส่วนเราเป็นพนักงานบริษัท เราเริ่มคบกันตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ตลอดเวลาที่เราคบหากันมาจนถึงวันที่ตั้งกระทู้ ก็จะ 3 เดือนได้ มันมีความรู้สึกว่าเราไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาเลย ในเฟซบุ๊คของเขาตั้งแต่ที่คบกัน ไม่มีซักโพสต์ที่จะโพสต์ถึงเรา แม้แต่รูปคู่ก็ไม่มี เวลาที่เราโพสต์รูปคู่ลงเฟซเราเขามักจะสั่งห้ามว่าห้ามแท็กเฟซเขาเด็ดขาด การไม่เป็นส่วนหนึ่งบนพื้นที่ออนไลน์ของเขาคือยังพอทน แต่เราเริ่มมีความรู้สึกว่าเราจะไม่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของเขาด้วย ในขณะที่เรา เขาคือที่หนึ่งในใจของเรา เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของเขา ด้วยการดูแลเทคแคร์ ซื้อของ ไปรับไปส่งที่ทำงานของเขา แต่กลับกันมีแต่เราที่ทำเพื่อเขาอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่เขาไม่ทำเพื่อเราเลย

เวลาที่เขาอยู่กับเพื่อน เขาดูจะมีความสุข สนุกสนาน พูดจาหัวเราะ ครั้งหนึ่งที่เราไปกับแฟน เขาเลือกที่จะอยู่กับเพื่อนมากกว่าเรา ปล่อยให้เรานั่งหัวโด่แบบนั้น ความรู้สึกในตอนนั้นคือน้อยใจ คุณเห็นฉันเป็นอะไร

ในการตอบแชท เป็นอะไรที่เราไม่เข้าใจสุด ๆ ในขณะที่เราเห็นเขาออนเฟซ เราก็ทักแชทไปหาเขา แต่แทนที่เขาจะตอบแชท เราไปเห็นว่าเขาโพสต์สเตตัส โพสต์สตอรี่ ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกับแชทที่เราทักไปหา จึงไม่เข้าใจว่าการตอบแชทเรามันยากตรงไหน เขาจะตอบแชทได้ก็ต่อเมื่อเขาคิดอยากจะตอบ กับอีกอย่างคือเราโพสต์สตอรี่-ดันเขาบ้าง สำนวนไทยคือ "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" เขาก็คือ "ไม่เห็นสตอรี่ ไม่ตอบแชท"

เรื่องนี้ก็สำคัญ เราไม่รู้ว่าเพราะโครงสร้างทางความคิดของไทยมันมีผลหรือเปล่า ด้วยความที่เขาเป็นข้าราชการ ครั้งหนึ่งเรากับเขาจะไปเดินห้างหาของกิน สิ่งที่เขาขอจากเราคือเขาขอไม่นั่งรถไฟฟ้า ขอให้นั่งแท็กซี่ไป ด้วยเหตุผลคือไม่ต้องการให้ใครเห็น เพราะเห็นแล้วอาจไปรายงานผู้บังคับบัญชาของเขา ก็เลยความไม่เข้าใจขึ้นอีกว่าทำไมจะต้องไปรายงาน มันเข้าข่ายเป็นความผิดทางวินัยข้อไหน

และสุดท้าย เขาเองมีพ่อแม่ เราก็มีพ่อแม่ ลูกที่ดีต้องไม่ทำให้พ่อแม่เกิดความไม่สบายใจ อาจจะเป็นตัวแฟนที่ในอดีตเคยผิดพลาดจากความรักมาก่อนชนิดที่เขาเคยเกือบฆ่าตัวตาย เลยทำให้พ่อแม่เขาต้องระวังทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งผู้ชายที่เป็นเพื่อนของเขา และผู้หญิง ด้วยเหตุนี้เราเหมือนถูกพ่อแม่ของแฟนกีดกัน ผ่านการไม่ให้ไปไหนด้วยกันหรือแม้กระทั่งนัดเจอกัน ต้องขอบอกก่อนว่าแฟนเรายังไม่เคยพาเราไปแนะนำตัวกับพ่อแม่ และพ่อแม่ของเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกของเขามาคบหากับเราอยู่ ซึ่งเราเชื่อว่ายังไงเราก็อาจจะถูกกีดกันด้วยเหตุผลที่ว่าเราจะไปหลอกเอาเงินจากลูกของเขา เพราะลูกเขาเคยเจอมา เขาจึงต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก

เราขอเขามากเกินไปหรือไม่

ความรักมันคือการให้ แต่การที่เราขอให้เขาทำดีกับเราแบบที่เราทำให้เขา มันคือการขอมากไปหรือไม่

เขาเองก็ต้องมีสังคม มีเพื่อนฝูง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไร้เพื่อนอย่างเราอาจไม่เข้าใจ แต่การที่เราต้องการให้เขามาสนใจเรา ไม่ให้เราต้องนิ่งและดูไม่มีตัวตนกลางวงเพื่อนของเขา มันคือการขอมากไปหรือไม่

การที่เราอยากให้เขาพยายามต่อสู้เพื่อความรักของเรา ด้วยการทำให้พ่อแม่ของตัวเขาเองเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่กลับไปก้าวพลาดอย่างในอดีตและเดินหน้าคบหากับเรา มันคือการขอมากไปหรือไม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่