สวัสดี เราจะมาเล่าถึงการเดินทางสู่งานในฝันของเราให้อ่านกันนะคะ
เราหวังว่า เรื่องราวของเราจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคนได้ลุกขึ้นสู้นะคะ
เรามาอยู่นอร์เวย์ได้ 4ปี 8 เดือน เราจึงได้ทำงานที่เราใฝ่ฝัน
งานแรกที่เราทำ คือการเป็นเด็กเสริฟ์ตามงานอีเวนท์ค่ะ งานเลี้ยงคริตส์มาสบริษัท งานแต่ง งานปีใหม่
เราก็ทำตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ได้ 2 เดือน ได้งานเพราะเพื่อนแนะนำ งานหนักมาก ไม่มีทิป เริ่ม 19.00 เลิก 02.00
ความที่เราพอจะรู้ว่าเราทำงานอื่นได้ เราก็เลยออกหางานค่ะ เราตัดสินใจไม่เทียบ ป ตรีจากไทย ตามเหตุผลในกระทู้ก่อนหน้า
หลังจากนั้นเราได้ทำงานร้านขายเสื้อผ้าร้านดังแถว shopping street เราโดนกดค่าแรง นายจ้างไม่ยอมให้สัญญางานประจำ
เราเลยไปทำงานออฟฟิศไม่ ขอเอ่ยนาม 555 งานเราเป็นงานเอกสาร มีความละเอียดอ่อนเยอะ งานจุกจิกแล้ว คนจุกจิกกว่า
ที่นี่มีคนไทยทำงานอยู่เยอะ และเราโดนพนักงานรุ่นพี่คนนึง สาดอารมณ์ใส่ตลอด เราว่าเราหนีเมืองไทยมาไกลขนาดนี้แล้ว เรายังมาเจอเรื่องบ้าๆแบบนี้อีก เราเลยไม่ทนจ้า เราว่าเรามีทางเลือกเยอะ....มั่นใจมาก 555 เลยลาออก ด้วยเหตุผลว่าเราจะเรียนต่อ สวยๆค่ะ
เราไปทำงานซุปเปอร์มาร์เกต ถ้าเมืองไทยก็ โลตัสมั้ง งานหนักมาก คุณคิดดู ในชีวิต ไม่เคยลำบากขนาดนี้ ขนของเป็น 20-30 โล
งานยืนและเดินตลอด แต่เงินดี สวัสดิการดี เพื่อนร่วมงานดี ไม่โรคจิต ระหว่างนั้นเราเรียนเภสัชเทคนิค ด้วยความฝันว่า วันนึงฉันจะยืนขายยาสวยๆหลังเค้าท์เตอร์ยา และแนะนำวิธีใช้ยาพ่นให้ลูกค้า
เราเรียนไปทำงานไป เรียน 7 วิชา รวมภาษานอร์เวย์ด้วย คุณขา ตำราทุกอัขระเป็นภาษานอร์เวย์ค่ะ ตอนบอกครูและเพื่อนร่วมชั้นว่า ฉันชื่อ....อยู่ที่นี่มา 3 ปี 4 เดือน คุณพระ เราไม่ได้หน้าบานเพราะโดนชม แต่โดนปรามาศ ว่าเออยังไง กล้ามากนะ ลงทะเบียน 7 วิชาเลยหรอ เราก็ยิ้มสยาม ไม่สนใคร เรามาเรียนเสียเงินเอง ไม่ได้ให้ใครออกให้ เรื่องอะไรจะต้องไปแคร์คนอื่น ครบกำหนด เราสอบผ่านทุกวิชา เราได้รับคำชมจากาอจารย์ที่ปรึกษาว่าเราเป็นคนมีความตั้งใจดี มีความพยายาม อดทน เราก็ยิ้มรับ
หลังจากนั้นเราไปฝึกงานที่ร้านขายยา เราฝึกฟรี ไม่ได้เงินเดือนเหมือนเด็กที่เรียนตามหลักสูตร คือ เด็กที่อายุต่ำกว่า 23 จะได้เงินฝีกงานจากรัฐบาล
เราก็ไม่ท้อนะ เราไม่คิดว่าเราฝึกงานฟรี แต่คิดว่าฝึกแลกประสบการ์ณ เพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราเลยต้องทุ่มเต็มที่
เราไม่เคยเข้างานสาย เราวางแผนว่าเราต้องยืนเคาท์เตอร์คนเดียวให้ได้ และจะเรียกเภสัชเมื่อจ่ายยาครบแล้วเท่าน้น เราไม่เคยลังเลที่จะจ่ายยา(โดยควบคุมจากเภสัช) เพราะเราอยากทำได้เหมือนพนักงานคนอื่น
หัวหน้าเคยถามเราว่า เธอจะฝึกงานกี่ชั่วโมง โรงเรียนเธอกำหนดมากี่ชั่วโมง เราตอบแบบไม่ลังเล
ฉันจะฝีกจนกว่าฉันจะทำได้ทุกอย่างที่พนักงานร้านเธอทำได้ ฉันไม่รู่ว่ามันต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่ฉันยินดีทำ
หลังจากเราฝึกงานครบ และเลยเวลามานิดหน่อย เพื่อนๆในร้านก็เชียร์ให้เราไปสมัครงาน ช่วงนั้นเราอ่านหนังสือสอบ เราก็ อิดออด แบบ เออฉันอ่านหนังสือนะ แต่จะลองดูละกัน เราก็ส่งใบสมัครไป 2-3 ที่ ไม่ได้คาดหวัง ใจคือ อยากทำร้านที่ฝึกงานนั้นแหละ เพราะเพื่อนร่วมงานดี เงินดีมากกก
วันนั้น เราก็ทำงานซุปเปอร์มาร์เกต ก็ยกของ ขนของ สอนงานเด็กใหม่ไป มีโทรศัพท์เข้า เราก็ไม่รับ

เป็นคนที่ไม่รับเบอร์แปลก พอบ่ายๆจะไปพักเที่ยงมีข้อความมาจ้า
"ฉันเป็น พนักงานฝ่ายบุคคล ร้านยาที่เธอสมัครไป เธอช่วยติดต่อกลับมาหน่อย"
เท่านั้นหล่ะคุณเอ้ย ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลยค่ะ พระเจ้า นี่เรายังสอบไม่เสร็จจะได้งานแล้วหรอเนี่ย 555 คิดเยอะ ขนาดยังไม่ได้ไปสัมภาษณ์เลยนะนั่น
เราก็โทรกลับไป เค้าเรียกไปสัมภาษณ์วันเกิด เราก็ดีใจมาก เที่ยงวันนั้นเราอิ่มแบบไม่ต้องเปลืองข้าวเลย
นึกแล้วยังขำตัวเองไม่หาย ความดีใจมันล้นปรี่หน่ะคุณ บอกกับสามี "เธอปีนี้ฉันจะได้งานที่ฉันรักเป็นของขวัญวันเกิดหล่ะ "
ให้คุณลองนึก เราโดนดูถูก ว่า "เราเรียน กศน. ไปหาที่ฝึกงานไม่น่าจะได้หรอก ไม่มีใครอยากเสียเวลามาสอนเด็กนักเรียนหรอก" เราหาที่ฝึกงานได้สองวันหลังจากยื่นใบสมัคร
"งานเภสัชเทคนิค หรอ หางานยากมากเลยนะ" เรา หางานได้แค่ยื่นซีวีไปสามที่ เรียนยังไม่ครบหน่วยกิตเลย
จากวันนั้นถึงวันนี้ 4 ปี 8 เดือน กับงานประจำที่เราฝัน พร้อมข้อเสนอให้เป็นพนักงานร้านอื่นซึงให้เงินเดือนสูงกว่า (โดนแย่งตัวนั่นเอง)ขอบคุณพี่โรคจิตที่ทำให้เราลาออกจากงานออฟฟิศนั้น ขอบคุณคำดูถูกต่างๆ ที่ทำให้เราสู้สุดพลัง
เส้นทางของเรายังอีกไกล ไว้อัพเดทเมื่อไรจะมาเหลาต่อนะ
สุดท้าย เราว่า คนเรา อย่าไปฟังคนอื่นให้มาก จะฟังอะไรใช้สติฟัง อ่อ เค้าว่ามางี้ แต่เค้าไม่รู้จักเรา ไม่เป็นไร เรารัจักตัวเองดีที่สุด เพราะงั้น คำพูดบั่นทอนกำลังใจจะทำอะไรคนสติดีไม่ได้เลย

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี่แล
จากเด็กเสริฟ์ตามงานอีเวนท์ สู้อาชีพเภสัชเทคนิคในนอร์เวย์
เราหวังว่า เรื่องราวของเราจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคนได้ลุกขึ้นสู้นะคะ
เรามาอยู่นอร์เวย์ได้ 4ปี 8 เดือน เราจึงได้ทำงานที่เราใฝ่ฝัน
งานแรกที่เราทำ คือการเป็นเด็กเสริฟ์ตามงานอีเวนท์ค่ะ งานเลี้ยงคริตส์มาสบริษัท งานแต่ง งานปีใหม่
เราก็ทำตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ได้ 2 เดือน ได้งานเพราะเพื่อนแนะนำ งานหนักมาก ไม่มีทิป เริ่ม 19.00 เลิก 02.00
ความที่เราพอจะรู้ว่าเราทำงานอื่นได้ เราก็เลยออกหางานค่ะ เราตัดสินใจไม่เทียบ ป ตรีจากไทย ตามเหตุผลในกระทู้ก่อนหน้า
หลังจากนั้นเราได้ทำงานร้านขายเสื้อผ้าร้านดังแถว shopping street เราโดนกดค่าแรง นายจ้างไม่ยอมให้สัญญางานประจำ
เราเลยไปทำงานออฟฟิศไม่ ขอเอ่ยนาม 555 งานเราเป็นงานเอกสาร มีความละเอียดอ่อนเยอะ งานจุกจิกแล้ว คนจุกจิกกว่า
ที่นี่มีคนไทยทำงานอยู่เยอะ และเราโดนพนักงานรุ่นพี่คนนึง สาดอารมณ์ใส่ตลอด เราว่าเราหนีเมืองไทยมาไกลขนาดนี้แล้ว เรายังมาเจอเรื่องบ้าๆแบบนี้อีก เราเลยไม่ทนจ้า เราว่าเรามีทางเลือกเยอะ....มั่นใจมาก 555 เลยลาออก ด้วยเหตุผลว่าเราจะเรียนต่อ สวยๆค่ะ
เราไปทำงานซุปเปอร์มาร์เกต ถ้าเมืองไทยก็ โลตัสมั้ง งานหนักมาก คุณคิดดู ในชีวิต ไม่เคยลำบากขนาดนี้ ขนของเป็น 20-30 โล
งานยืนและเดินตลอด แต่เงินดี สวัสดิการดี เพื่อนร่วมงานดี ไม่โรคจิต ระหว่างนั้นเราเรียนเภสัชเทคนิค ด้วยความฝันว่า วันนึงฉันจะยืนขายยาสวยๆหลังเค้าท์เตอร์ยา และแนะนำวิธีใช้ยาพ่นให้ลูกค้า
เราเรียนไปทำงานไป เรียน 7 วิชา รวมภาษานอร์เวย์ด้วย คุณขา ตำราทุกอัขระเป็นภาษานอร์เวย์ค่ะ ตอนบอกครูและเพื่อนร่วมชั้นว่า ฉันชื่อ....อยู่ที่นี่มา 3 ปี 4 เดือน คุณพระ เราไม่ได้หน้าบานเพราะโดนชม แต่โดนปรามาศ ว่าเออยังไง กล้ามากนะ ลงทะเบียน 7 วิชาเลยหรอ เราก็ยิ้มสยาม ไม่สนใคร เรามาเรียนเสียเงินเอง ไม่ได้ให้ใครออกให้ เรื่องอะไรจะต้องไปแคร์คนอื่น ครบกำหนด เราสอบผ่านทุกวิชา เราได้รับคำชมจากาอจารย์ที่ปรึกษาว่าเราเป็นคนมีความตั้งใจดี มีความพยายาม อดทน เราก็ยิ้มรับ
หลังจากนั้นเราไปฝึกงานที่ร้านขายยา เราฝึกฟรี ไม่ได้เงินเดือนเหมือนเด็กที่เรียนตามหลักสูตร คือ เด็กที่อายุต่ำกว่า 23 จะได้เงินฝีกงานจากรัฐบาล
เราก็ไม่ท้อนะ เราไม่คิดว่าเราฝึกงานฟรี แต่คิดว่าฝึกแลกประสบการ์ณ เพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราเลยต้องทุ่มเต็มที่
เราไม่เคยเข้างานสาย เราวางแผนว่าเราต้องยืนเคาท์เตอร์คนเดียวให้ได้ และจะเรียกเภสัชเมื่อจ่ายยาครบแล้วเท่าน้น เราไม่เคยลังเลที่จะจ่ายยา(โดยควบคุมจากเภสัช) เพราะเราอยากทำได้เหมือนพนักงานคนอื่น
หัวหน้าเคยถามเราว่า เธอจะฝึกงานกี่ชั่วโมง โรงเรียนเธอกำหนดมากี่ชั่วโมง เราตอบแบบไม่ลังเล
ฉันจะฝีกจนกว่าฉันจะทำได้ทุกอย่างที่พนักงานร้านเธอทำได้ ฉันไม่รู่ว่ามันต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่ฉันยินดีทำ
หลังจากเราฝึกงานครบ และเลยเวลามานิดหน่อย เพื่อนๆในร้านก็เชียร์ให้เราไปสมัครงาน ช่วงนั้นเราอ่านหนังสือสอบ เราก็ อิดออด แบบ เออฉันอ่านหนังสือนะ แต่จะลองดูละกัน เราก็ส่งใบสมัครไป 2-3 ที่ ไม่ได้คาดหวัง ใจคือ อยากทำร้านที่ฝึกงานนั้นแหละ เพราะเพื่อนร่วมงานดี เงินดีมากกก
วันนั้น เราก็ทำงานซุปเปอร์มาร์เกต ก็ยกของ ขนของ สอนงานเด็กใหม่ไป มีโทรศัพท์เข้า เราก็ไม่รับ
"ฉันเป็น พนักงานฝ่ายบุคคล ร้านยาที่เธอสมัครไป เธอช่วยติดต่อกลับมาหน่อย"
เท่านั้นหล่ะคุณเอ้ย ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลยค่ะ พระเจ้า นี่เรายังสอบไม่เสร็จจะได้งานแล้วหรอเนี่ย 555 คิดเยอะ ขนาดยังไม่ได้ไปสัมภาษณ์เลยนะนั่น
เราก็โทรกลับไป เค้าเรียกไปสัมภาษณ์วันเกิด เราก็ดีใจมาก เที่ยงวันนั้นเราอิ่มแบบไม่ต้องเปลืองข้าวเลย
นึกแล้วยังขำตัวเองไม่หาย ความดีใจมันล้นปรี่หน่ะคุณ บอกกับสามี "เธอปีนี้ฉันจะได้งานที่ฉันรักเป็นของขวัญวันเกิดหล่ะ "
ให้คุณลองนึก เราโดนดูถูก ว่า "เราเรียน กศน. ไปหาที่ฝึกงานไม่น่าจะได้หรอก ไม่มีใครอยากเสียเวลามาสอนเด็กนักเรียนหรอก" เราหาที่ฝึกงานได้สองวันหลังจากยื่นใบสมัคร
"งานเภสัชเทคนิค หรอ หางานยากมากเลยนะ" เรา หางานได้แค่ยื่นซีวีไปสามที่ เรียนยังไม่ครบหน่วยกิตเลย
จากวันนั้นถึงวันนี้ 4 ปี 8 เดือน กับงานประจำที่เราฝัน พร้อมข้อเสนอให้เป็นพนักงานร้านอื่นซึงให้เงินเดือนสูงกว่า (โดนแย่งตัวนั่นเอง)ขอบคุณพี่โรคจิตที่ทำให้เราลาออกจากงานออฟฟิศนั้น ขอบคุณคำดูถูกต่างๆ ที่ทำให้เราสู้สุดพลัง
เส้นทางของเรายังอีกไกล ไว้อัพเดทเมื่อไรจะมาเหลาต่อนะ
สุดท้าย เราว่า คนเรา อย่าไปฟังคนอื่นให้มาก จะฟังอะไรใช้สติฟัง อ่อ เค้าว่ามางี้ แต่เค้าไม่รู้จักเรา ไม่เป็นไร เรารัจักตัวเองดีที่สุด เพราะงั้น คำพูดบั่นทอนกำลังใจจะทำอะไรคนสติดีไม่ได้เลย