นักวิทยาศาสตร์ ถอดรหัสเชื้อโควิด พบสายพันธุ์แอฟริกาใต้ จากคลัสเตอร์ตากใบ นราธิวาส
https://www.prachachat.net/prachachat-top-story/news-675079
นักวิทยาศาสตร์รายงานผลการตรวจสอบพบ สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
วันที่ 22 พฤษภาคม 2564 นักวิจัยหลากหลายสถาบัน ซึ่งรวมตัวเป็นกลุ่ม COVID-19 Network Investigations หรือ CONI เพื่อหยุดยั้งการระบาดของโควิด-19 ด้วยข้อมูลระดับจีโนม เผยแพร่รายงานสำหรับประชาคมวิทยาศาสตร์ เรื่อง การระบาดในประเทศของเชื้อ สายตระกูล B.1.351 (20H/501Y.V2) ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2564 ระบุว่า
ปัจจุบันประเทศไทยมีการระบาดในประเทศของเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สายตระกูล B.1.351 (20H/501Y.V2) หรือที่มักเรียกกันในสื่อว่าเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ทางกลุ่มพันธมิตร COVID-19 Network Investigations (CONI) ได้รับการประสานจากทางกระทรวงสาธารณสุขให้ร่วมสืบสวนคลัสเตอร์ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โดยได้รับข้อมูลว่าอาจเป็นคลัสเตอร์ติดเชื้อต่อเนื่องในประเทศไทย จากผู้ลักลอบเข้าเมือง
จากการถอดรหัสพันธุกรรมระดับจีโนมพบว่าเป็นเชื้อสายตระกูล B.1351 ทางกลุ่มฯ ได้ส่งต่อข้อมูลทั้งหมดให้กับหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขในระดับภูมิภาคและระดับชาติเพื่อสื่อสารกับประชาชนต่อไป
ทั้งนี้ ทางกลุ่มขอสื่อสารข้อมูลชุดนี้ให้ประชาคมวิทยาศาสตร์เพื่อร่วมกัน ติดตาม เฝ้าระวัง และพัฒนาวิธีป้องกันรักษาโรค
1. ตัวอย่างชุดนี้จัดเก็บโดยทางกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2564 ทางกลุ่มฯ ได้รับตัวอย่างเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2564 และคัดเลือกมาสามตัวอย่าง เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมระดับจีโนม โดยตำแหน่งที่ถอดได้มีลำดับการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมตรงกับสายตระกูล B.1.351 ตามระบบ PANGO
2. การถอดรหัสใช้วิธี MinION ของ Oxford Nanopore Techonlogies
3. Genomic Coverage ของสามตัวอย่างอยู่ที่ 85.01%, 90.11% และ 84.93% ตามลำดับ
4. โดยปกติทางกลุ่มจะนำเสนอข้อมูลให้กระทรวงสาธารณสุขและนำข้อมูลเข้ GISAI โดยตรง แต่เนื่องจากข้อมูลชุดนี้มีความสำคัญ ทางกลุ่มจึงนำมาแสดงต่อประชาคมวิทยาศาตร์ทันที
5. เชื้อสายตระกูล B.1.351 มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่คาดว่ามีผลกระทบต่อการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันมนุษย์ต่อไวรัส และลดประสิทธิภาพการทำงานของวัคซีน แต่มิได้แปลว่าวัคซีนจะใช้ไม่ได้ เพียงแต่ต้องเพิ่มอัตราส่วนประชากรผู้ได้รับวัคซีนให้สูงขึ้นเพื่อเกิดการป้องกันระดับประชากร
สลด สาวร้อยเอ็ดหนีพิษเศรษฐกิจ นำลูกไปฝากพ่อ ก่อนตัดสินใจจบชีวิต
https://www.matichon.co.th/bullet-news-today/news_2737035
สลด สาวร้อยเอ็ดผูกคอตาย หนีพิษเศรษฐกิจ
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ต.ต.
ชลิต วิไลลักษณ์ตระกูล พนักงานสอบสวน สภ.นครชัยศรี รับแจ้งมีหญิงผูกคอเสียชีวิตในบ้านเช่า ม.1 ต.วัดละมุด อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมแพทย์และเจ้าหน้าที่มูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม พบนางสาว
ศิรินธา สีหา อายุ 32 ปี ชาว ต.ภูเงิน อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด แขวนคอตนเองเสียชีวิต
จากการสอบถามญาติทราบว่า ผู้เสียชีวิตเคยทำงานโรงงานแห่งหนึ่ง เมื่อโควิด-19 ระบาดก็ออกมาขายของเอง รายได้ไม่พอใช้จ่าย ส่วนสามีก็ทำงาน มีลูกน้อย 1 คน ระยะหลังเครียด เงินทองไม่พอใช้จ่าย เมื่อช่วงเช้าเอาลูกน้อยไปฝากกับพ่อตัวเอง ย้อนกลับบ้านแล้วผูกคอตัวเองจนเสียชีวิตดังกล่าว
จับสัญญาณ “ยึดรถ-ยึดบ้าน” แบงก์ตั้งการ์ดรับมือหนี้เสียพุ่ง
https://www.prachachat.net/finance/news-674692
แบงก์ตั้งการ์ดรับมือหนี้เสียเร่งตั้งสำรองหนี้สูญ-ตัดขายรักษาคุณภาพพอร์ต ธปท.เผยเอ็นพีแอล ไตรมาสแรกแตะ 5.37 แสนล้าน จับสัญญาณ “ยึดบ้าน-ยึดรถ” เพิ่มจากเศรษฐกิจชะลอเช่าซื้อเปิดตัวเลข “ยึดรถ” เพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี “BAM” ชี้ตลาด NPA ฝืดแบงก์แตะเบรกตัดขายพอร์ตหนี้เสีย หลังโดนกดราคาหนัก
แบงก์กัดฟันกรอด “หนี้เสีย”
นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ หรือ BAM เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุริกจ” ว่า สถานการณ์การตัดขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน พบว่า มีปริมาณกิจกรรมการตัดขายหนี้ไม่ได้เยอะมากเมื่อเทียบกับช่วงปกติ ส่วนหนึ่งมาจากที่ผ่านมา ธนาคารต่าง ๆ รอดูมาตรการช่วยเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ชะลอการตัดขายหนี้ นอกจากนี้ พบว่ามีหลายครั้งที่ธนาคารยกเลิกการขาย ซึ่งเป็นผลมาจากราคาประมูลที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ธนาคารต้องยกเลิกการขายหนี้ อย่างไรก็ดี มองว่าหากมาตรการผ่อนปรนของ ธปท.หมดลงจะเห็นกิจกรรมการตัดขายหนี้กลับมาเพิ่มขึ้น
“ที่ผ่านมาแบงก์ชะลอการขายหนี้ เพื่อรอดูมาตรการแบงก์ชาติ ทั้งสินเชื่อฟื้นฟูและพักทรัพย์ พักหนี้ จากปกติแบงก์จะตัดขายหนี้เสียเฉลี่ยปีละประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาท และยกเลิกการขายบางพอร์ต เพราะได้ราคาต่ำเกินไป เช่น ตัดขาย 3,000 ล้านบาท และซอยย่อยขายกองละ 200-500 ล้านบาท หากกองไหนราคาที่แบงก์ไม่แฮปปี้ก็ยกเลิกการขาย มีให้เห็นมากขึ้น”
ตลาดฝืด-ถูกกดราคา
สำหรับ BAM ตั้งเป้ารับซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (non-performing asset : NPA) มาบริหารในปีนี้ประมาณ 9,000 ล้านบาท โดยผ่านมา 4-5 เดือน สามารถซื้อหนี้ได้ไม่ถึง 1,000 ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก เนื่องจากบริษัทเน้นซื้อในราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการ เพราะถ้ารับซื้อหมดทรัพย์จะมากองไว้ สร้างภาระต้นทุนให้บริษัท และเน้นขายหนี้เก่าและประนอมลูกค้าเก่าก่อน เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้อต่อการรับซื้อทรัพย์จำนวนมาก เพราะโอกาสการขายออกก็ยาก อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ บริษัทจะมีการรับซื้อหนี้ดีลใหญ่มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท
แหล่งข่าวจากบริษัทบริหารสินทรัพย์กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า ในปีนี้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีการตัดขายหนี้ออกมาให้บริษัทบริหารสินทรัพย์น้อยมาก เป็นเพราะภาวะราคาประมูลขาย NPA ถูกกดราคาต่ำ ทำให้แบงก์ตัดสินใจเก็บไว้ก่อน ขณะที่ธนาคารทีเอ็มบี-ธนชาต มีการตัดขายหนี้ออกมาในจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากการควบรวมธนาคาร ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และกรุงไทย กลุ่มนี้มีการทยอยขายหนี้เสียออกมาบ้าง
โดยล่าสุดที่กำลังจะออกมาประมูลขายเร็ว ๆ นี้ เป็นของธนาคารทีเอ็มบี-ธนชาต วงเงินราว 2,000 ล้านบาท เป็นหนี้ประเภทกลุ่มเอสเอ็มอี ธุรกิจขนาดเล็ก และรายย่อย โดยจะแบ่งขายเป็นพอร์ตย่อย ๆ ซึ่งโดยปกติธนาคารจะมีประมูลขายกันทุกเดือน
จับสัญญาณ “ยึดรถ-ยึดบ้าน”
นาย
เอกสิทธิ์ พฤฒิพลากร ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การบริหารจัดการพอร์ตหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ของธนาคารมี 2 ส่วน คือ บริหารจัดการเอง และตัดขายให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) อย่างไรก็ดี การพิจารณาการตัดขายจะดูตามจังหวะและโอกาส เนื่องจากหากในช่วงที่มีการเทขายเอ็นพีแอลออกมาในตลาดจำนวนมาก จะทำให้ถูกกดราคาต่ำ ขณะเดียวกัน หากเอ็นพีแอลอยู่ในระดับสูงและเกินกว่าที่ธนาคารจะบริหารจัดการ ธนาคารก็จำเป็นต้องตัดขาย เพื่อบริหารงบดุลให้ดูแข็งแรง
สำหรับสถานการณ์การฟ้องร้องยึดทรัพย์สินของลูกค้า ทั้งในส่วนของที่อยู่อาศัย รถยนต์ มีสัญญาณเพิ่มขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งไม่ได้เป็นการเพิ่มขึ้นจนมีนัยสำคัญหรือยึดทรัพย์กันจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการของ ธปท.ที่คาดว่าเห็นสัญญาณจึงออกมาตรการมาช่วย และชะลอไม่ให้เกิดการยึดทรัพย์จำนวนมาก
อย่างไรก็ดี การเร่งรัดฟ้องร้องยึดทรัพย์จะเกิดขึ้นได้ 3 กรณี คือ 1.เกิดการทุจริต 2.ลูกหนี้ถูกฟ้องร้องจากเจ้าหนี้รายอื่น เช่น ลูกหนี้มีหนี้หลายธนาคาร ซึ่งมีบ้านเป็นหลักประกันจึงต้องเฉลี่ยทรัพย์กัน และ 3.ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้
“ตอนนี้มองว่ายังไม่ถึงจุดวิกฤตที่เห็นการยึดบ้านและยึดรถที่มากขึ้นผิดปกติ ต้องยอมรับว่ามาตรการ ธปท.ช่วยได้พอสมควร ไม่เช่นนั้นจะเห็นยึดระนาวแน่นอน ซึ่งเชื่อว่า ธปท.คงเห็นสัญญาณจึงออกเครื่องมือและมาตรการต่าง ๆ มาช่วยลดภาระหนี้ แต่ก็ยังคงต้องติดตามหนี้ครัวเรือนหากแตะ 100% จะเป็นจุดที่น่ากลัว”
เช่าซื้อยอมรับ “ยึดรถ” เพิ่ม
ด้านนาย
วิสิทธิ์ พึ่งพรสวรรค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ และในฐานะประธานสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วยังคงมีการแข่งขันกันต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มที่มีศักยภาพและประวัติการชำระหนี้ที่ดี จะมีการเสนอโปรโมชั่นแข่งขันกัน เช่น ดาวน์ 0% เป็นต้น อย่างไรก็ดี ภายใต้การระบาดโควิด-19 ระลอก 3 นโยบายการปล่อยสินเชื่อหลังจากนี้คาดว่าจะกลับมาเข้มงวดอีกครั้ง
ขณะที่สถานการณ์รถยึด ยอมรับว่ามีทิศทางเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยสัดส่วนจากอดีตอยู่ที่ระดับ 10-15% เพิ่มเป็น 20% แต่เป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่ไม่ได้ก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการของ ธปท.ที่ให้สถาบันการเงินเร่งช่วยลูกค้าในการปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้สถานการณ์รถยึดไม่ได้เพิ่มขึ้นจนน่ากังวลมากนัก อาจต้องรอประเมินสถานการณ์หลังจากเดือนพฤษภาคมนี้อีกครั้ง เนื่องจากการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 เพิ่งจะเกิดขึ้น จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
แบงก์ตั้งสำรองเพิ่มรับ NPL
นาย
ไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมการจัดการเอ็นพีแอลของธนาคารในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี โดยธนาคารมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ไว้พอสมควร ประกอบกับมาตรการผ่อนปรนของ ธปท. ช่วยให้การไหลของเอ็นพีแอลไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะมีทิศทางเพิ่มขึ้น แต่อยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้ รวมถึงสถาบันการเงินแห่งอื่นเช่นกัน
สำหรับสถานการณ์การยึดทรัพย์ เช่น ที่อยู่อาศัย และรถยนต์จากลูกค้าไม่ได้เพิ่มขึ้นกว่าช่วงปกติมากนัก ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการยึดบ้านและยึดรถยังเป็นปกติ ส่วนหนึ่งเพราะธนาคารดูแลลูกค้าตั้งแต่ก่อนเป็นเอ็นพีแอล หากลูกค้าติดขัดสามารถขอรับความช่วยเหลือจากธนาคารได้
“ส่วนการบริหารจัดการหนี้เสียของธนาคารก็มีทั้งบริหารหนี้เองและตัดขายบางส่วน โดยที่ตัดขายจะเป็นกลุ่มที่ตามจนถึงที่สุดยังไม่ได้ ก็ตัดขายแม้ว่าจะได้ผลตอบแทนไม่เท่ากับบริหารจัดการเอง”
นาย
มาณพ เสงี่ยมบุตร รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 สร้างความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า ธนาคารจึงยังคงนโยบายการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้ในระดับที่เหมาะสม โดยปีที่ผ่านมาธนาคารได้ตั้งสำรองในระดับสูง สำหรับไตรมาส 1 ปีนี้ แม้ว่าจะลดลง แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่รองรับหนี้เสียได้ ในแง่การจัดการพอร์ตเอ็นพีแอล ธนาคารจะเน้นดูจังหวะและโอกาส ความเหมาะสมของราคาสินทรัพย์ และการรักษามูลค่าในระยะยาว
“การบริหารเอ็นพีแอล เราดูตั้งแต่ก่อนลูกค้าจะเป็นหนี้เสีย โดยพยายามช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่อง เพราะเราคิดว่าโควิด ระลอก 3 กระทบลูกค้าพอสมควร และปีนี้เอ็นพีแอลก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราจึงจะตั้งสำรองให้เพียงพอ”
JJNY : 4in1 พบสายพันธุ์แอฟริกาใต้จากคลัสเตอร์ตากใบ│สาวหนีพิษศก.จบชีวิต│จับสัญญาณ“ยึดรถ-ยึดบ้าน”│คลัสเตอร์รง.แคลคอมพ์พุ่ง
https://www.prachachat.net/prachachat-top-story/news-675079
นักวิทยาศาสตร์รายงานผลการตรวจสอบพบ สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
วันที่ 22 พฤษภาคม 2564 นักวิจัยหลากหลายสถาบัน ซึ่งรวมตัวเป็นกลุ่ม COVID-19 Network Investigations หรือ CONI เพื่อหยุดยั้งการระบาดของโควิด-19 ด้วยข้อมูลระดับจีโนม เผยแพร่รายงานสำหรับประชาคมวิทยาศาสตร์ เรื่อง การระบาดในประเทศของเชื้อ สายตระกูล B.1.351 (20H/501Y.V2) ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2564 ระบุว่า
ปัจจุบันประเทศไทยมีการระบาดในประเทศของเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สายตระกูล B.1.351 (20H/501Y.V2) หรือที่มักเรียกกันในสื่อว่าเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ทางกลุ่มพันธมิตร COVID-19 Network Investigations (CONI) ได้รับการประสานจากทางกระทรวงสาธารณสุขให้ร่วมสืบสวนคลัสเตอร์ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โดยได้รับข้อมูลว่าอาจเป็นคลัสเตอร์ติดเชื้อต่อเนื่องในประเทศไทย จากผู้ลักลอบเข้าเมือง
จากการถอดรหัสพันธุกรรมระดับจีโนมพบว่าเป็นเชื้อสายตระกูล B.1351 ทางกลุ่มฯ ได้ส่งต่อข้อมูลทั้งหมดให้กับหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขในระดับภูมิภาคและระดับชาติเพื่อสื่อสารกับประชาชนต่อไป
ทั้งนี้ ทางกลุ่มขอสื่อสารข้อมูลชุดนี้ให้ประชาคมวิทยาศาสตร์เพื่อร่วมกัน ติดตาม เฝ้าระวัง และพัฒนาวิธีป้องกันรักษาโรค
1. ตัวอย่างชุดนี้จัดเก็บโดยทางกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2564 ทางกลุ่มฯ ได้รับตัวอย่างเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2564 และคัดเลือกมาสามตัวอย่าง เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมระดับจีโนม โดยตำแหน่งที่ถอดได้มีลำดับการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมตรงกับสายตระกูล B.1.351 ตามระบบ PANGO
2. การถอดรหัสใช้วิธี MinION ของ Oxford Nanopore Techonlogies
3. Genomic Coverage ของสามตัวอย่างอยู่ที่ 85.01%, 90.11% และ 84.93% ตามลำดับ
4. โดยปกติทางกลุ่มจะนำเสนอข้อมูลให้กระทรวงสาธารณสุขและนำข้อมูลเข้ GISAI โดยตรง แต่เนื่องจากข้อมูลชุดนี้มีความสำคัญ ทางกลุ่มจึงนำมาแสดงต่อประชาคมวิทยาศาตร์ทันที
5. เชื้อสายตระกูล B.1.351 มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่คาดว่ามีผลกระทบต่อการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันมนุษย์ต่อไวรัส และลดประสิทธิภาพการทำงานของวัคซีน แต่มิได้แปลว่าวัคซีนจะใช้ไม่ได้ เพียงแต่ต้องเพิ่มอัตราส่วนประชากรผู้ได้รับวัคซีนให้สูงขึ้นเพื่อเกิดการป้องกันระดับประชากร
สลด สาวร้อยเอ็ดหนีพิษเศรษฐกิจ นำลูกไปฝากพ่อ ก่อนตัดสินใจจบชีวิต
https://www.matichon.co.th/bullet-news-today/news_2737035
สลด สาวร้อยเอ็ดผูกคอตาย หนีพิษเศรษฐกิจ
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ต.ต.ชลิต วิไลลักษณ์ตระกูล พนักงานสอบสวน สภ.นครชัยศรี รับแจ้งมีหญิงผูกคอเสียชีวิตในบ้านเช่า ม.1 ต.วัดละมุด อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมแพทย์และเจ้าหน้าที่มูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม พบนางสาวศิรินธา สีหา อายุ 32 ปี ชาว ต.ภูเงิน อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด แขวนคอตนเองเสียชีวิต
จากการสอบถามญาติทราบว่า ผู้เสียชีวิตเคยทำงานโรงงานแห่งหนึ่ง เมื่อโควิด-19 ระบาดก็ออกมาขายของเอง รายได้ไม่พอใช้จ่าย ส่วนสามีก็ทำงาน มีลูกน้อย 1 คน ระยะหลังเครียด เงินทองไม่พอใช้จ่าย เมื่อช่วงเช้าเอาลูกน้อยไปฝากกับพ่อตัวเอง ย้อนกลับบ้านแล้วผูกคอตัวเองจนเสียชีวิตดังกล่าว
จับสัญญาณ “ยึดรถ-ยึดบ้าน” แบงก์ตั้งการ์ดรับมือหนี้เสียพุ่ง
https://www.prachachat.net/finance/news-674692
แบงก์ตั้งการ์ดรับมือหนี้เสียเร่งตั้งสำรองหนี้สูญ-ตัดขายรักษาคุณภาพพอร์ต ธปท.เผยเอ็นพีแอล ไตรมาสแรกแตะ 5.37 แสนล้าน จับสัญญาณ “ยึดบ้าน-ยึดรถ” เพิ่มจากเศรษฐกิจชะลอเช่าซื้อเปิดตัวเลข “ยึดรถ” เพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี “BAM” ชี้ตลาด NPA ฝืดแบงก์แตะเบรกตัดขายพอร์ตหนี้เสีย หลังโดนกดราคาหนัก
แบงก์กัดฟันกรอด “หนี้เสีย”
นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ หรือ BAM เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุริกจ” ว่า สถานการณ์การตัดขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน พบว่า มีปริมาณกิจกรรมการตัดขายหนี้ไม่ได้เยอะมากเมื่อเทียบกับช่วงปกติ ส่วนหนึ่งมาจากที่ผ่านมา ธนาคารต่าง ๆ รอดูมาตรการช่วยเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ชะลอการตัดขายหนี้ นอกจากนี้ พบว่ามีหลายครั้งที่ธนาคารยกเลิกการขาย ซึ่งเป็นผลมาจากราคาประมูลที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ธนาคารต้องยกเลิกการขายหนี้ อย่างไรก็ดี มองว่าหากมาตรการผ่อนปรนของ ธปท.หมดลงจะเห็นกิจกรรมการตัดขายหนี้กลับมาเพิ่มขึ้น
“ที่ผ่านมาแบงก์ชะลอการขายหนี้ เพื่อรอดูมาตรการแบงก์ชาติ ทั้งสินเชื่อฟื้นฟูและพักทรัพย์ พักหนี้ จากปกติแบงก์จะตัดขายหนี้เสียเฉลี่ยปีละประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาท และยกเลิกการขายบางพอร์ต เพราะได้ราคาต่ำเกินไป เช่น ตัดขาย 3,000 ล้านบาท และซอยย่อยขายกองละ 200-500 ล้านบาท หากกองไหนราคาที่แบงก์ไม่แฮปปี้ก็ยกเลิกการขาย มีให้เห็นมากขึ้น”
ตลาดฝืด-ถูกกดราคา
สำหรับ BAM ตั้งเป้ารับซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (non-performing asset : NPA) มาบริหารในปีนี้ประมาณ 9,000 ล้านบาท โดยผ่านมา 4-5 เดือน สามารถซื้อหนี้ได้ไม่ถึง 1,000 ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก เนื่องจากบริษัทเน้นซื้อในราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการ เพราะถ้ารับซื้อหมดทรัพย์จะมากองไว้ สร้างภาระต้นทุนให้บริษัท และเน้นขายหนี้เก่าและประนอมลูกค้าเก่าก่อน เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้อต่อการรับซื้อทรัพย์จำนวนมาก เพราะโอกาสการขายออกก็ยาก อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ บริษัทจะมีการรับซื้อหนี้ดีลใหญ่มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท
แหล่งข่าวจากบริษัทบริหารสินทรัพย์กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า ในปีนี้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีการตัดขายหนี้ออกมาให้บริษัทบริหารสินทรัพย์น้อยมาก เป็นเพราะภาวะราคาประมูลขาย NPA ถูกกดราคาต่ำ ทำให้แบงก์ตัดสินใจเก็บไว้ก่อน ขณะที่ธนาคารทีเอ็มบี-ธนชาต มีการตัดขายหนี้ออกมาในจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากการควบรวมธนาคาร ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และกรุงไทย กลุ่มนี้มีการทยอยขายหนี้เสียออกมาบ้าง
โดยล่าสุดที่กำลังจะออกมาประมูลขายเร็ว ๆ นี้ เป็นของธนาคารทีเอ็มบี-ธนชาต วงเงินราว 2,000 ล้านบาท เป็นหนี้ประเภทกลุ่มเอสเอ็มอี ธุรกิจขนาดเล็ก และรายย่อย โดยจะแบ่งขายเป็นพอร์ตย่อย ๆ ซึ่งโดยปกติธนาคารจะมีประมูลขายกันทุกเดือน
จับสัญญาณ “ยึดรถ-ยึดบ้าน”
นายเอกสิทธิ์ พฤฒิพลากร ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การบริหารจัดการพอร์ตหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ของธนาคารมี 2 ส่วน คือ บริหารจัดการเอง และตัดขายให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) อย่างไรก็ดี การพิจารณาการตัดขายจะดูตามจังหวะและโอกาส เนื่องจากหากในช่วงที่มีการเทขายเอ็นพีแอลออกมาในตลาดจำนวนมาก จะทำให้ถูกกดราคาต่ำ ขณะเดียวกัน หากเอ็นพีแอลอยู่ในระดับสูงและเกินกว่าที่ธนาคารจะบริหารจัดการ ธนาคารก็จำเป็นต้องตัดขาย เพื่อบริหารงบดุลให้ดูแข็งแรง
สำหรับสถานการณ์การฟ้องร้องยึดทรัพย์สินของลูกค้า ทั้งในส่วนของที่อยู่อาศัย รถยนต์ มีสัญญาณเพิ่มขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งไม่ได้เป็นการเพิ่มขึ้นจนมีนัยสำคัญหรือยึดทรัพย์กันจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการของ ธปท.ที่คาดว่าเห็นสัญญาณจึงออกมาตรการมาช่วย และชะลอไม่ให้เกิดการยึดทรัพย์จำนวนมาก
อย่างไรก็ดี การเร่งรัดฟ้องร้องยึดทรัพย์จะเกิดขึ้นได้ 3 กรณี คือ 1.เกิดการทุจริต 2.ลูกหนี้ถูกฟ้องร้องจากเจ้าหนี้รายอื่น เช่น ลูกหนี้มีหนี้หลายธนาคาร ซึ่งมีบ้านเป็นหลักประกันจึงต้องเฉลี่ยทรัพย์กัน และ 3.ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้
“ตอนนี้มองว่ายังไม่ถึงจุดวิกฤตที่เห็นการยึดบ้านและยึดรถที่มากขึ้นผิดปกติ ต้องยอมรับว่ามาตรการ ธปท.ช่วยได้พอสมควร ไม่เช่นนั้นจะเห็นยึดระนาวแน่นอน ซึ่งเชื่อว่า ธปท.คงเห็นสัญญาณจึงออกเครื่องมือและมาตรการต่าง ๆ มาช่วยลดภาระหนี้ แต่ก็ยังคงต้องติดตามหนี้ครัวเรือนหากแตะ 100% จะเป็นจุดที่น่ากลัว”
เช่าซื้อยอมรับ “ยึดรถ” เพิ่ม
ด้านนายวิสิทธิ์ พึ่งพรสวรรค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ และในฐานะประธานสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วยังคงมีการแข่งขันกันต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มที่มีศักยภาพและประวัติการชำระหนี้ที่ดี จะมีการเสนอโปรโมชั่นแข่งขันกัน เช่น ดาวน์ 0% เป็นต้น อย่างไรก็ดี ภายใต้การระบาดโควิด-19 ระลอก 3 นโยบายการปล่อยสินเชื่อหลังจากนี้คาดว่าจะกลับมาเข้มงวดอีกครั้ง
ขณะที่สถานการณ์รถยึด ยอมรับว่ามีทิศทางเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยสัดส่วนจากอดีตอยู่ที่ระดับ 10-15% เพิ่มเป็น 20% แต่เป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่ไม่ได้ก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการของ ธปท.ที่ให้สถาบันการเงินเร่งช่วยลูกค้าในการปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้สถานการณ์รถยึดไม่ได้เพิ่มขึ้นจนน่ากังวลมากนัก อาจต้องรอประเมินสถานการณ์หลังจากเดือนพฤษภาคมนี้อีกครั้ง เนื่องจากการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 เพิ่งจะเกิดขึ้น จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
แบงก์ตั้งสำรองเพิ่มรับ NPL
นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมการจัดการเอ็นพีแอลของธนาคารในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี โดยธนาคารมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ไว้พอสมควร ประกอบกับมาตรการผ่อนปรนของ ธปท. ช่วยให้การไหลของเอ็นพีแอลไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะมีทิศทางเพิ่มขึ้น แต่อยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้ รวมถึงสถาบันการเงินแห่งอื่นเช่นกัน
สำหรับสถานการณ์การยึดทรัพย์ เช่น ที่อยู่อาศัย และรถยนต์จากลูกค้าไม่ได้เพิ่มขึ้นกว่าช่วงปกติมากนัก ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการยึดบ้านและยึดรถยังเป็นปกติ ส่วนหนึ่งเพราะธนาคารดูแลลูกค้าตั้งแต่ก่อนเป็นเอ็นพีแอล หากลูกค้าติดขัดสามารถขอรับความช่วยเหลือจากธนาคารได้
“ส่วนการบริหารจัดการหนี้เสียของธนาคารก็มีทั้งบริหารหนี้เองและตัดขายบางส่วน โดยที่ตัดขายจะเป็นกลุ่มที่ตามจนถึงที่สุดยังไม่ได้ ก็ตัดขายแม้ว่าจะได้ผลตอบแทนไม่เท่ากับบริหารจัดการเอง”
นายมาณพ เสงี่ยมบุตร รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 สร้างความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า ธนาคารจึงยังคงนโยบายการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้ในระดับที่เหมาะสม โดยปีที่ผ่านมาธนาคารได้ตั้งสำรองในระดับสูง สำหรับไตรมาส 1 ปีนี้ แม้ว่าจะลดลง แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่รองรับหนี้เสียได้ ในแง่การจัดการพอร์ตเอ็นพีแอล ธนาคารจะเน้นดูจังหวะและโอกาส ความเหมาะสมของราคาสินทรัพย์ และการรักษามูลค่าในระยะยาว
“การบริหารเอ็นพีแอล เราดูตั้งแต่ก่อนลูกค้าจะเป็นหนี้เสีย โดยพยายามช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่อง เพราะเราคิดว่าโควิด ระลอก 3 กระทบลูกค้าพอสมควร และปีนี้เอ็นพีแอลก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราจึงจะตั้งสำรองให้เพียงพอ”