สิ่งที่คอยค้ำจุนให้เราเรียนจบป.โทในต่างแดนมาได้ ก็น่าจะเป็นเมืองที่น่าเดินเล่นนี่แหละครับ

(มีการแก้ไขกระทู้โดยเพิ่มภาพครับ)

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกคน

เมื่อสมัยตอนที่ผมเรียนมอปลายและปริญญาตรี ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ของคนไทยในต่างแดนมากๆ ครับ เรียกได้ว่าทุกครั้งที่มีงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ นอกจากจะซื้อนวนิยายแฟนตาซีหลายเล่มมาอ่านแล้ว (ซึ่งเป็นหนังสือที่ผมชอบอีกแนวหนึ่ง) สิ่งที่ผมต้องทำทุกครั้งคือตรงดิ่งไปที่บูทของแซลมอนหรืออะบุ๊ก เพื่อดูว่าในปีนั้นๆ จะมีหนังสือเกี่ยวกับการเรียนหรือทำงานในต่างประเทศเล่มไหนสนุกๆ มาให้อ่านอีกบ้าง
 ขณะที่ผมอ่านหนังสือจากนักเขียนที่ชื่นชอบ ผมก็ใฝ่ฝัน จินตนาการว่าหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย สักวันหนึ่งจะขอทุนไปเรียนต่อต่างประเทศบ้าง เพราะอยากมีประสบการณ์การใช้ชีวิตในต่างแดนเหมือนพวกเขาเหล่านั้น และในที่สุดตอนปี 2018 ผมก็ได้ทุนจากองค์กรแห่งหนึ่งสำหรับไปเรียนต่อป.โทด้านรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไต้หวันครับ (ตอนนี้เรียนจบแล้วครับ)
หลังจากที่ผมได้ไปเรียนที่ไต้หวันมาสองปี ผมก็ได้ค้นพบความจริงที่ว่า การไปเรียนในต่างแดนนี่ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้มีแต่ความสุขและสนุกสนานจากการพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ และไปในสถานที่ที่ไม่เคยไปอย่างเดียวหรอกนะครับ นักเขียนที่ผมชื่นชอบน่าจะเล่าความจริงให้ผมฟังไม่หมดในหนังสือทุกเล่มที่ผมเคยอ่านมา T_T ความสนุกสนานก็มีอยู่บ้างแหละครับ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ประสบการณ์ครึ่งเดียวของประสบการณ์ทั้งหมดที่เราต้องเจอเท่านั้นเอง การไปเรียนต่างประเทศเนี่ย ยังมีอีกด้านหนึ่งของเหรียญอยู่ และเป็นด้านที่สำคัญมากๆ ด้วย นั่นก็คือด้านของ “การเรียน” ครับ

ผมเข้าใจว่าน่าจะไม่ค่อยมีใครอยากเล่าเรื่องของการเรียนในหนังสือที่เขียนเท่าไหร่ เพราะถึงแม้การเรียนจะเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ในต่างแดนก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ส่วนที่สนุกสนาน และน่าเล่าเท่าไหร่นัก เพราะมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและรวดร้าวครับ นักอ่านก็คงไม่น่าจะอยากอ่านเท่าไหร่ ฮ่ะๆ ผมเองก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเรียนตามเพื่อนในคลาสให้ทันครับ เพราะก่อนที่ผมจะไปเรียนที่ไต้หวันนั้น ผมไม่มีประสบการณ์ในด้านการเรียนรัฐศาสตร์มาก่อนเลย ตอนไปถึงที่นู่นเลยต้องเริ่มปูพื้นใหม่หมด ในช่วงเปิดเทอมนี่ก็แทบจะไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นที่ไหน ต้องพยายามปั่นเปเปอร์ให้ทันแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ยิ่งในเทอมสุดท้ายที่ต้องเขียนทีสิสนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แทบจะเรียกได้ว่าขังตัวเองจำศีลอยู่ในห้องยิ่งกว่าหมีขั้วโลกใต้

ถึงจะซัฟเฟอร์กับการเรียนอย่างไร เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือหน้าที่หลักที่เราถูกส่งไปเพื่อกระทำในขณะที่อยู่ต่างแดนครับ และเมื่อเราผ่านพ้นมาได้ มันก็ทำให้เรากลายเป็นบุคคลที่เติบโตมากขึ้นจริงๆ ที่จริงถ้ามีโอกาสหน้ามาตั้งกระทู้ ผมก็อยากมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ในด้านการเรียนที่เจอมาทั้งหมดครับ อย่างไรก็ดี สาเหตุหลักที่มาตั้งกระทู้นี่ก็เพราะผมอยากบอกว่า ท่ามกลางช่วงเวลาการฝ่าฟันการเขียนเปเปอร์ การอ่านงานวิจัยจำนวนมากเพื่อเตรียมไปดิสคัสในคลาส (ถึงส่วนมากผมจะพูดตามเพื่อนไม่ทันจนต้องนั่งเงียบๆ ก็ตามที) และการเขียนทีสิสสุดโหดร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษา (ซึ่งใจดีมากๆ) เนี่ย สิ่งที่คอยค้ำจุนจิตใจผมให้อยู่รอดปลอดภัยในไต้หวันนั่นก็คือ

เมืองที่น่าอยู่มากๆ ที่ชื่อว่าไทเปครับ
ในตอนที่ผมต้องเขียนทีสิส สารภาพตามตรงว่าไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้ออกไปดูบ้านเมืองข้างนอกเท่าไหร่ เพราะทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกผมจะรู้สึกว่า “นี่ตัวเราทำอะไรอยู่เนี่ย ทำไมถึงไม่เอาเวลาไปเขียนทีสิสต่อกันนะ” แต่ถึงแม้จะไม่ได้ออกไปไหนไกล ผมรู้สึกว่าแค่ได้เดินเล่นในแถบหอพักผมนี่ก็ทำให้ใจมันนุ่มฟูขึ้นมาได้นิดนึงแล้วล่ะครับ

ไทเปเป็นเมืองที่...จะอธิบายอย่างไรดีล่ะ… มีทั้งความเป็นธรรมชาติและเมโทรโพลิสอยู่ในเมืองเดียวกัน และเป็นเมืองเดินเที่ยวได้สะดวกมากๆ (หากมีแรงเดินมากพอ) ในความคิดเห็นของผม เมืองไทเปน่าจะแบ่งเขตตามธรรมชาติออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือส่วนที่อยู่ใกล้ทะเลแบบ Tamsui กับส่วนที่มีแต่ภูเขากับธรรมชาติอันแสนร่มรื่นครับ


ภาพ: ตัวอย่างของพื้นที่น่าเที่ยวในโซนภูเขาและทะเลของไทเปครับ รูปบนจาก Fishermen's wharf ที่ Tamsui รูปล่างจาก Yanmingshan National Park รูปล่างขึ้นเขาเหนื่อยมากกว่าจะได้ภาพมา

มหาวิทยลัยที่ผมเคยเรียนอยู่ตั้งอยู่ใกล้กับ Maokong Station ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นบริเวณที่อยู่ในเขตภูเขาล่ะนะครับ มหาวิทยาลัยจะมีวิทยาเขตที่ดูภายนอกจากสายตาของผู้เยี่ยมชมแล้วเหมือนว่าค่อนข้างเล็ก แต่จริงๆแล้วก็กว้างอยู่เหมือนกัน (ถึงจะไม่กว้างเท่าที่อื่นๆ ก็ตามที) เพราะเมื่อเข้าไปข้างในวิทยาเขตแล้วก็จะพบว่าจริงๆ แคมปัสจะแบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือส่วนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบล่างเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของอาคารเรียน โรงอาหาร โรงยิม สนามวิ่ง และส่วนที่อยู่บนเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของหอพักครับ (ผู้คนภายนอกจะนึกออกแต่ส่วนที่อยู่ล่างเขา)

ส่วนที่อยู่บนเขาเนี่ย ถ้าหากเราเดินจนผ่านหอพักหมายเลขสิบ (ซึ่งเป็นหอพักที่อยู่สูงสุด) ขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็จะพาตัวเองออกนอกวิทยาเขตไปโดยไม่รู้ตัว มีครั้งหนึ่งที่ผมรู้สึกเหงาหงอยและเครียดมากๆ กับทีสิส เลยสวมเสื้อฮู้ดแล้วก็เดินๆ เดินขึ้นเขาไป ปล่อยใจตัวเองให้ว่างๆ จนพาตัวเองมาถึงเส้นทางปีนเขา (Hiking Trail) ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะกลับไปมหาวิทยาลัยก็กลับไม่เป็น เลยเดินไปเรื่อยๆ จนไปโผล่ที่ Yinhe Cave (แลนด์มาร์กหนึ่งสำหรับนักปีนเขาแถวนั้น มีน้ำตกสวยๆ) ได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ตอนนั้นรนมากเพราะไม่รู้จะหาทางกลับมหาวิทยาลัยได้ไหม แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินต่อไปเรื่อยๆ จนหาทางออกจากเขาได้แล้วก็นั่งรถเมล์ต่อนิดหน่อยไปโผล่สถานีที่ใกล้ที่สุดคือ Beitou Station เรางงมากว่าพาตัวเองเดินผ่านเขามาหลายสถานีถึงขนาดนี้เลยเหรอ ยอมรับว่าวันนั้นลืมเรื่องทีสิสไปเลย


ภาพ: วิวแถว Beitou Station ที่เดินข้ามเขาจนไปโผล่ที่นั่นได้อย่างไรไม่รู้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เหมือนเป็นภาพจำติดชีวิตช่วงที่อยู่ไทเปสำหรับผมมากที่สุดก็คือ ริมแม่น้ำใกล้ๆ หอพักเนี่ยแหละครับ อย่างที่บอกไปข้างบนว่าพอเริ่มเขียนทีสิสแล้วก็จะไม่มีเวลาออกไปไหน เพราะฉะนั้นผมไม่สามารถเดินหายไปบนเขาเป็นวันๆ ได้ตลอดไปหรอกนะ เมื่อใดก็ตามที่ผมรู้สึกไม่ดีหรือไม่ไหวแล้วกับชีวิต ผมก็จะพาตัวเองออกมานอกห้องแล้วก็เดินคอตกริมแม่น้ำไปเรื่อยๆให้อาการมันดีขึ้นบ้าง (และให้คนแก่และเด็กๆที่มาเดินเล่นตอนกลางวันแสกๆแถวนั้นมองว่าผมเป็นคนตกงาน 55) ริมแม่น้ำแถวหอพักเป็นวิวที่ผมเห็นอยู่ทุกวัน ตอนนั้นผมเลยไม่ได้รู้สึกว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่พิเศษอะไร แต่พอนึกย้อนกลับไปก็รู้สึกได้เลยว่า มันเป็นสถานที่ที่ดูดีและเหมาะกับการเดินคอตกเวลาหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตจริงๆ นั่นแหละ ถ้าผมเปลี่ยนมาเรียนปอโทที่ไทยแทน เวลาที่รู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตมากๆ จะมีที่ให้เดินสบายๆ เพื่อปลอบประโลมตนเองแบบนี้บ้างไหมนะ

โพสนี้แด่สถานที่ในความทรงจำครับ


ภาพ: ริมแม่น้ำแห่งความทรงจำ

ป.ล. พอมาถึงไทยแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่า จริงๆ ตอนอยู่ที่โน่นเราน่าจะพกมือถือที่มีกล้องดีๆ กว่านี้ไปนะ จะได้เก็บภาพสวยๆมารำลึกได้ ไม่น่าพกไปแค่มือถือถูกๆ ราคาหลักสามพันเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่