“อยู่บ้านอ่านหนังสือ” เป็นสโลแกนที่ผมเอามาจากที่ไหนสักแห่งแล้วก็นำมาใช้ตอนที่โควิดระบาดระลอกแรกเมื่อต้นปี 2563 ตอนโควิดระบาดมาครั้งแรกนั้น รู้สึกตกใจกลัว หวาดระแวง กังวล เครียด คิดไปต่าง ๆ นานาว่าโรคนี้อันตรายทำให้คนตายทั่วโลกนับแสน ตัวเลขแสนนั้นผมนึกถึงยอดผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาลเต็มท้องถนน รู้สึกว่ามันเป็นตัวเลขที่มากเหลือเกิน คนตายหนึ่งคนย่อมส่งผลกระทบต่อคนแวดล้อมอีกไม่น้อยกว่าสิบ เช่นพ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวคนหนึ่งตายลง ลูกสองคนต้องลำบาก ภรรยาย่อมประสบกับความทุกข์ยาก พ่อแม่ พี่น้องรวมถึงเพื่อนฝูงที่เคยร่วมงานกันอีก มันจะส่งผลกระทบต่อไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นลูกโซ่
ตอนนั้นนอกจากกลัวว่าตัวเองจะตายแล้วก็ยังกลัวญาติมิตรพี่น้องจะต้องตายด้วย ข่าวของโควิดช่วงแรกนั้นบอกเราว่ามียอดผู้ป่วยนับล้าน บางประเทศหมดทางรักษาให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองอยู่ในบ้าน กินยาพาราไปตามสภาพ ใครแข็งแรงคนนั้นรอด ใครอ่อนแอก็ต้องตายจากไป ยิ่งเห็นข่าวเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์สวมชุดคลุมมิดชิด ประคองคนไข้เข้าไปในรักษาในโรงพยาบาลแล้วรู้สึกเหมือนโลกนี้กำลังจะถล่ม ทางหน้าจอโทรทัศน์มีหมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคระบาดออกมาให้ข้อมูลทุกวันว่า โควิดอันตรายอย่างไร จะส่งผลต่อปอดและสุขภาพของเราแค่ไหน บางข้อมูลนั้นยืนยันว่า ถึงแม้จะรักษาหายแล้วแต่ปอดของเราจะไม่กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมอีก
ปีที่แล้ว รัฐบาลประกาศปิดเมือง และให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งห้ามคนเข้าออกได้ตามสถานการณ์
ประเทศเราก็เหมือนกับเข้าสู่ยุคสงครามและก่อให้เกิดข้าวยากหมากแพง
ช่วงเวลาอันทุกข์ยากนั้นก็มีแต่หนังสือที่ช่วยได้ ผมอยู่บ้านทุกวันแทบไม่ก้าวขาออกไปไหน อ่านหนังสือติดต่อกันได้วันละหลายชั่วโมง เวลาหนึ่งเดือนอ่านจบไปหลายเล่ม บางเล่มก็หยิบกลับมาอ่านใหม่ ว่างจากอ่านก็เขียนหนังสือทิ้งไว้ แม้ว่าการเขียนในปัจจุบันแทบจะไม่ทำรายได้อะไรอีก แต่สำหรับคนที่รักการเขียน ชอบเขียน มุ่งมั่นที่จะเขียน ถึงจะไม่มีใครมาขอให้เขียน ไม่มีใครมาเรียกร้องต้องการ ไม่มีนิตยสารเล่มไหนต้องการเรื่องไปตีพิมพ์ ไม่มีใครบอกว่าอยากจะอ่าน ก็ยังต้องเขียนอยู่อย่างสม่ำเสมอ
การเขียนเป็นการทบทวนตัวเอง เป็นการสร้างสมาธิให้อยู่กับตัวเอง และที่สำคัญการเขียนยังเป็นการเยียวยาตัวเองได้อีกทางหนึ่งด้วย
ในหนังสือแนะนำการเขียนทุกเล่มก็จะพูดเกริ่นเหมือนกันว่า “ถ้าคุณอยากเป็นนักเขียนคุณต้องเขียน” ไม่มีทางลัดให้คุณเลือกเดิน
“รากฐานอันจำเป็นสำหรับการเป็นนักเขียนนั้นมีอยู่หลายประการ แต่ที่สำคัญนั้นมีอยู่อย่างหนึ่ง คือการตระหนักและเชื่อมั่นในคุณค่าของงานวรรณกรรม”
“การตระหนักและเชื่อมั่นในคุณค่าของงานวรรณกรรม เป็นเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวเราไว้ไม่ให้หวั่นไหวกับสิ่งยวนเย้านานา ศรัทธาปสาทนี้จะนำเราลงลึกสู่ดินแดนอันชุ่มชื่น เป็นรากแก้วของชีวิต ในขณะเดียวกันจะนำเราโผล่พ้นระดับดิน ให้สัมผัสสิ่งแปลกใหม่ที่เราไม่เคยคิดไปถึง”
เมื่อคืนผมหยิบผลงานเรื่อง “หิมะ” ของออร์ฮาน ปามุกมาอ่านซ้ำ ทั้งที่เคยอ่านมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่หนังสือออกมาใหม่ ๆ ในปี 2560 (โดยสำนักพิมพ์บทจร) ผมพลิกดูปกหน้า ปกใน ปกหลัง ทำเหมือนครั้งที่แล้ว ราวกับไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อน เพื่อจะดูข้อความเดิม ๆ และอ่านซ้ำ
“หิมะ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2002 เป็นผลงานชิ้นสำคัญของออร์ฮาน ปามุก นักเขียนรางวัลโนเบลคนแรกของตุรกี ปี2006 ซึ่งปามุกได้รับรางวัลโนเบลสาวรรณกรรม นิตยสารไทม์ได้จัดให้เขาเป็นหนึ่งในร้อยของ “บุคคลผู้ขับเคลื่อนโลก” ปามุกเกิดปี 1952 ในครอบครัวของชนชั้นกลางในอิสตันบูล ประเทศตุรกี เขาฝันว่าจะเป็นจิตรกรก่อนที่จะเปลี่ยนมาสนใจงานเขียน ปามุกได้รับปริญญาสาขาวารสารศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอิสตันบูล ก่อนจะได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา วรรณกรรมของปามุกจัดอยู่ในแนวร่วมสมัย งานของเขาสำรวจประเด็นเรื่องความรัก ตัวตน ความเชื่อทางศาสนา และการเมืองอย่างเข้มข้น และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงถูกวิพากษ์วิจารย์อย่างหนักหน่วง ในปี 2005 ปามุกถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเพราะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาแล้ว
ปามุกเชื่อเรื่องเสรีภาพในการพูด เขาถือว่าภาระอย่างหนึ่งของนักเขียนก็คือการรักษาคุณค่านี้ไว้ เขายังคงอาจหาญสร้างงานเขียนที่พูดถึงความแตกต่างทางการเมืองและความเชื่อออกมาอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันเขายังคงอาศัยอยู่ที่อิสตัลบูลในบ้านหลังเดิมที่หันหน้าเข้าสู่ช่องแคบบอสฟอรัส
เมื่อหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านซ้ำ ผมเลือกอ่านสองบทสุดท้าย อยากรู้ว่าเขาเล่าด้วยน้ำเสียงอย่างไร และให้เรื่องมันขมวดจบลงอย่างสะเทือนใจเป็นที่จดจำของคนอ่านไปอีกยาวนาน ผมชอบที่เขาพูดว่า "มนุษย์เป็นผลงานชั้นยอดของพระเจ้า และการฆ่าตัวตายเป็นการลบหลู่พระองค์ "
ประโยคสุดท้ายในหน้า564นั้นเรียบง่าย และงดงาม
“ผมนั่งลงข้างหน้าต่างมองฝ่าสายหิมะต้องแสงสีส้มของบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมสุดของชุมชนรอบนอกคาร์ส ห้องซอมซ่อที่คนนั่งดูทีวีกันอยู่เต็มห้อง ขณะที่ผมมองดูหลังคาบ้านหลังท้าย ๆ ปกคลุมด้วยหิมะและควันไฟลอยขึ้นจากปล่องไฟแตกหักคล้ายกับสายริบบิ้นบาง ๆ สั่นพลิ้ว ผมก็เริ่มร้องไห้...
ผมอ่านหิมะสองบทสุดท้ายจบก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ผมเคยเขียนเรื่องสั้นคาไว้ตั้งแต่ปี 2560 จนบัดนี้ผมก็ยังไม่เขียนให้จบ เป็นเรื่องของผู้หญิงที่อ่าน”หิมะ”จบลงเช่นเดียวกัน
(ตัวละครในหนังสือของผมส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง เพราะผมมีรสนิยมหรือสันดานบางอย่างที่ชอบนั่งฟังผู้หญิงพูดคุยได้ตลอดทั้งวัน ผมสามารถนั่งอยู่กับที่โดยไม่เบื่อ ฟังและจดจำรายละเอียดเอาไว้ยิ่งกว่าใช้กล้องถ่ายหนัง ผมเคยนั่งในร้านกาแฟฟังป้าแก่ๆ นินทาผู้อำนวยการในโรงเรียนที่หยิ่งยะโสไม่ยอมไปงานศพของชาวบ้าน ฟังแม่บ้านคุยเรื่องผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มว่ายี่ห้อไหนดีกว่า ฟังครูผู้หญิงเล่าเรื่องประสบการณ์หย่าสามีมาสามครั้ง ฟังเพื่อนสาวเล่าเรื่องผัวที่ไม่เอาไหน ให้แต่เงินกับซื้อรถแต่ไม่ค่อยมีเวลามานอนเกาหลังให้เหมือนก่อน ฟังเด็กหญิงเล่าเรื่องเพื่อนในชั้นอนุบาลเอายางรัดผมมาฝาก ฟังสาว ๆ ฝันเฟื่องอยากได้ผู้ชายรวย หล่อ เอาใจเก่ง รักเดียวใจเดียวและเป็นโสดมาเป็นพ่อของลูก (ทั้งที่ผมอยากพูดว่าหาให้ตายก็ไม่เจอ แต่ผมก็ไม่ได้พูด เพราะไม่ชอบขัดคอใคร) ผมอยู่ได้กับทั้งผู้หญิงแก่คราวยาย ผู้หญิงรุ่นป้า ผู้หญิงรุ่นน้า สาว ๆ รุ่นน้อง รุ่นลูก หรือเด็กผู้หญิงที่กำลังช่างพูด แต่ละคนมีเรื่องเล่าที่สนุกสนาน และแน่นอนย่อมแตกต่างกว่าเรื่องเล่าของผู้ชายและให้ความบันเทิงสนุกสนานกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด ดังนั้นเวลาจะเขียนเรื่องสั้นหรือนิยาย ผมจึงมักจะเขียนถึงผู้หญิงแทบทั้งหมด)
เรื่องนี้ตัวละครก็เป็นผู้หญิง
---
ย้อนคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้น ระหว่างเราสองคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย เรื่องดีมีให้คิดมากมาย ตั้งแต่เรารักกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นอนกอดกัน คุยหยอกล้อกัน คุณเป็นคนขำ ๆ ชอบทำหน้านิ่งเวลางอนหรือมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ บางครั้งก็ออกอาการ หน้าหักงอเหมือนผีเข้าสิง กว่าจะทำให้สงบกลับมายิ้มมาหัวได้ก็ยากเย็นเป็นที่สุด ฉันเองก็คงจะเป็นเช่นกัน คงจะมีหน้างอบ้างตามสมควร ฉันเคยคิดว่า ตัวเองเป็นคนแบบสบาย ๆ ปล่อยวางให้ได้ทุกเรื่อง แต่พอถึงคราวเข้าจริงกลับปล่อยไม่ได้ มีแต่ความโมโหโกรธาอย่างรุนแรง เรื่องก็ไม่มีอะไรมากนอกจากความหึงหวงที่ไม่ค่อยมีสาระอะไร เพียงแค่ฉันคิดไปเองว่าคุณต้องนอนกับคนนั้น ทำอะไรกับคนนี้ เรื่องมโนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ข้องเกี่ยวกับทางเพศนั้นฉันชำนาญนัก
ตอนอยู่กับแฟนเก่าก็ไม่มีความสุขสักเท่าไร ฉันมักจะคิดว่าแฟนฉันต้องไปนอนกับผู้หญิงที่เขาคุยด้วยทุกคน คิด ๆ จนกระทั่งเป็นความจริง ตรงกับที่ “เดอะซีเคร็ด” สอนไว้ว่า “ฉันคิดอะไรฉันจะได้แบบนั้น” ตอนที่จับได้คาหนังคาเขาว่าแฟนฉันแอบเอาผู้หญิงขึ้นไปนอนบนเตียง มันก็สายไปแล้ว แม้ว่าฉันจะให้อภัยและอยู่ต่อด้วยกันอีกสักพัก แต่ลึก ๆ ฉันยังเก็บความแค้นเอาไว้เงียบ ๆ ไม่ยอมพูดถึงเหตุการณ์นั้นอีก เมื่อสบโอกาสตอนที่เขาหลงลืมว่าเคยทำอะไรกับฉันไว้บ้าง ฉันตัดสินใจทิ้งชีวิตตรงนั้นทันที เดินหนีออกมาเฉย ๆ หนีตอนที่เขาไม่คิดว่าฉันจะหนี เขาพยายามงอนง้อ ตามตื้อ ขอโอกาส หยิบยื่นสินบนต่าง ๆ นานา แต่ฉันพูดคำเดียวว่า ไม่ และก็ตอกกลับไปด้วยถ้อยคำรุนแรงเท่าที่จะคิดขึ้นมาได้ จนเขาฉันโมโหและก็ด่ากลับเอาบ้างว่าฉันไม่เอาไหนอย่างไร ไม่ดีแบบไหน ฉันก็ได้ทีบอกว่า ถ้าฉันเลว ฉันไม่ดี ก็อย่าได้ติดต่อมาอีก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดถึงขึ้นมา เขาก็จะพยายามโทรหาหรือส่งข้อความมาให้อ่าน ฉันจัดการบล็อกเสียทุกทิศทาง และคิดว่า จบกันเสียที ชาตินี้ไม่จำเป็นจำไม่ข้องเกี่ยว จะไม่พยายามเดินสวนทางให้เผชิญหน้ากันอีก
ฉันจำไม่ค่อยได้ว่าเคยทำให้ใครเสียใจบ้าง แต่ที่ติดใจก็มีอยู่ครั้งเดียวตอนวัยรุ่นยังเรียนหนังสืออยู่ เคยมีความรักกับพนักงาเสิร์ฟ ทำทุกอย่างจนเขาหลงรัก พอสมใจ ฉันก็มานั่งคิดว่า ฉันจะใช้ชีวิตอยู่กินกับผู้หญิงแบบนี้ได้หรือ คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนชื่อตัวเองก็ไม่ค่อยจะถูก ทำงานก็ไม่มีอนาคต ฉันจึงติดสินใจหนีไปต่อหน้าต่อตา รู้ว่าเขาเสียใจ ร้องไห้ พยายามที่จะตามหาฉัน งอนง้อฉัน แต่ฉันไปแล้ว กู่ไม่กลับอีก และมันก็เป็นตราบาปมาชั่วชีวิต จนต้องเล่าระบายให้ใครต่อใครฟังเสมอว่าฉันทำบาปหนักเอาไว้ อยากเจอเขาสักหนก่อนตาย จะได้ขอโทษและขอให้เขาอโหสิกรรมให้
ตอนไปนอนที่ราชบุรี โรงแรมดีมาก ในห้องมีสองเตียงและฉันก็ไม่ชอบนอนคนเดียวในห้องที่มีเตียงว่างอยู่อีกหนึ่ง ฉันกลัวว่าใครที่ไม่ได้รับเชิญจะมานอนด้วย ฉันจึงเปิดไฟครบทุกดวง ในห้องสว่างไสวและฉันก็นอนไม่ค่อยจะหลับ คิดว่าคุณนอนหรือยัง หลับดีไหม คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า
เวลาห่างกันทีไรก็มักคิดว่า ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม คุณอาจโทรคุยกับคนอื่น พร้อม ๆ กับที่คุณโทรหาฉัน ฉันไม่ค่อยชอบเรื่องแบบนี้ เพราะมันทำให้รู้สึกไม่สงบสุข
พยายามคิดบวกว่าคุณคงไม่ทำ ตอนนี้คุณบอกว่าไม่รักเธอคนนั้นแล้ว คงไม่ทำอีก แต่คิดอีกที คุณเองก็คงไม่อยากอยู่เฉยๆ อะไรที่ทำให้ตื่นเต้นได้ก็ทำ อะไรที่ทำให้สนุกก็ทำ ฉันคิดถึงตอนนี้ก็ไม่อยากคิดอีก คิดเสียว่า ช่างมัน อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับคุณเลย ฉันเพิ่งไปหาหมอดูมา หมอดูก็แนะนำว่าอย่าหมกมุ่นกับคุณให้มาก ถ้าไว้วางใจกันก็จะอยู่ด้วยกันรอด ถ้าไม่วางใจกันอยู่ไปก็ไม่มีความสุข ไม่คุณก็ฉัน ก็จะหาทางออกจนเจอด้วยตัวเอง หมอบอกว่า เรื่องความรักนั้น ถ้ามันจะจบ ไม่มีทางจบลงด้วยดีเหมือนในนิยาย เพราะจะมีคนหนึ่งที่จะเจ็บปวด มีคนหนึ่งที่รู้สึกสบายใจ แต่เรื่องต่อจากนี้ อยู่ที่ว่าคนที่เจ็บปวดจะเยียวยาตัวเองได้เร็วแค่ไหน บางคนก็ช้ามาก ถึงขนาดชาตินี้ก็ไม่มีวันลืม บางคนก็เร็วมากจนแทบจะไม่ทันกระพริบตา จู่ ๆ ก็มีแฟนใหม่ เดินเกี่ยวก้อยจูงมือหัวเราะด้วยกันเสียงดังลั่นถนน
ฉันตื่นสาย ตื่นแล้วปวดหัวอย่างรุนแรง คิดว่าถ้าฉันปวดหัวด้วยเรื่องแบบนี้ไปจนแก่เฒ่ามันจะเป็นอย่างไร ฉันต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลประสาทไหม แต่ฟังจากคนมีประสบการณ์ เขาบอกว่า ความรักนั้นมีทั้งทั้งทุกข์และสุข ปวดหัวได้ก็หายได้เช่นเดียวกัน
เก็บของเสร็จตอนเก้าโมง หิ้วกระเป๋ากับเครื่องคอมฯลงมาชงกาแฟที่หน้าล็อบบี้ นั่งอ่านหนังสือ “หิมะ” ของออร์ฮาน ปากมุกต่ออีกหนึ่งชั่วโมง
เรื่องหิมะ ทำไปทำมาก็ให้สัจธรรมอีกเหมือนเดิม คือความหึงหวงนำมาซึ่งความทุกข์
พระเอกหลงรักนางเอกตั้งแต่เรียนหนังสือ ต่อมาเธอแต่งงานกับเพื่อน แต่เขาก็ยังแอบคิดถึงอยู่บ่อย ๆ พอรู้ว่าเธอหย่า เขากลับจากเยอรมันเพื่อไปหาเธอที่เมืองคาร์สซึ่งเป็นเมืองชายแดนในประเทศตุรกี เมืองคาร์สตกอยู่ในช่วงมรสุม เส้นทางทุกสายถูกตัดขาด เขาไปถึงที่นั่น พักอยู่ในโรงแรมของพ่อเธอ ด้วยความที่ตนเองเป็นกวีที่มีชื่อเสียง คนเมืองคาร์สก็ให้เกียรติต้อนรับ เขากับเธอได้เจอหน้า และปรับความเข้าใจกัน จนนำไปสู่การร่วมเตียงและเกิดความรักอย่างดูดดื่ม เขาต้องการให้เธอไปอยู่เยอรมันกับเขา เธอตกลงใจ ทั้งคู่วางแผนจะออกเดินทางหลังหิมะตก แต่บังเอิญที่เขารู้ว่า ตอนที่เธออย่กับสามีเธอก็คบชู้ นอนกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง เขารู้สึกหึงหวงนอนครุ่นคิดและร้องไห้อยู่สองวัน ถามเธอว่าข่าวลือนั้นจริงไหม เธอบอกว่าจริง ที่รักผู้ชายคน
อยู่บ้านอ่านหนังสือ
ตอนนั้นนอกจากกลัวว่าตัวเองจะตายแล้วก็ยังกลัวญาติมิตรพี่น้องจะต้องตายด้วย ข่าวของโควิดช่วงแรกนั้นบอกเราว่ามียอดผู้ป่วยนับล้าน บางประเทศหมดทางรักษาให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองอยู่ในบ้าน กินยาพาราไปตามสภาพ ใครแข็งแรงคนนั้นรอด ใครอ่อนแอก็ต้องตายจากไป ยิ่งเห็นข่าวเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์สวมชุดคลุมมิดชิด ประคองคนไข้เข้าไปในรักษาในโรงพยาบาลแล้วรู้สึกเหมือนโลกนี้กำลังจะถล่ม ทางหน้าจอโทรทัศน์มีหมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคระบาดออกมาให้ข้อมูลทุกวันว่า โควิดอันตรายอย่างไร จะส่งผลต่อปอดและสุขภาพของเราแค่ไหน บางข้อมูลนั้นยืนยันว่า ถึงแม้จะรักษาหายแล้วแต่ปอดของเราจะไม่กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมอีก
ปีที่แล้ว รัฐบาลประกาศปิดเมือง และให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งห้ามคนเข้าออกได้ตามสถานการณ์
ประเทศเราก็เหมือนกับเข้าสู่ยุคสงครามและก่อให้เกิดข้าวยากหมากแพง
ช่วงเวลาอันทุกข์ยากนั้นก็มีแต่หนังสือที่ช่วยได้ ผมอยู่บ้านทุกวันแทบไม่ก้าวขาออกไปไหน อ่านหนังสือติดต่อกันได้วันละหลายชั่วโมง เวลาหนึ่งเดือนอ่านจบไปหลายเล่ม บางเล่มก็หยิบกลับมาอ่านใหม่ ว่างจากอ่านก็เขียนหนังสือทิ้งไว้ แม้ว่าการเขียนในปัจจุบันแทบจะไม่ทำรายได้อะไรอีก แต่สำหรับคนที่รักการเขียน ชอบเขียน มุ่งมั่นที่จะเขียน ถึงจะไม่มีใครมาขอให้เขียน ไม่มีใครมาเรียกร้องต้องการ ไม่มีนิตยสารเล่มไหนต้องการเรื่องไปตีพิมพ์ ไม่มีใครบอกว่าอยากจะอ่าน ก็ยังต้องเขียนอยู่อย่างสม่ำเสมอ
การเขียนเป็นการทบทวนตัวเอง เป็นการสร้างสมาธิให้อยู่กับตัวเอง และที่สำคัญการเขียนยังเป็นการเยียวยาตัวเองได้อีกทางหนึ่งด้วย
ในหนังสือแนะนำการเขียนทุกเล่มก็จะพูดเกริ่นเหมือนกันว่า “ถ้าคุณอยากเป็นนักเขียนคุณต้องเขียน” ไม่มีทางลัดให้คุณเลือกเดิน
“รากฐานอันจำเป็นสำหรับการเป็นนักเขียนนั้นมีอยู่หลายประการ แต่ที่สำคัญนั้นมีอยู่อย่างหนึ่ง คือการตระหนักและเชื่อมั่นในคุณค่าของงานวรรณกรรม”
“การตระหนักและเชื่อมั่นในคุณค่าของงานวรรณกรรม เป็นเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวเราไว้ไม่ให้หวั่นไหวกับสิ่งยวนเย้านานา ศรัทธาปสาทนี้จะนำเราลงลึกสู่ดินแดนอันชุ่มชื่น เป็นรากแก้วของชีวิต ในขณะเดียวกันจะนำเราโผล่พ้นระดับดิน ให้สัมผัสสิ่งแปลกใหม่ที่เราไม่เคยคิดไปถึง”
เมื่อคืนผมหยิบผลงานเรื่อง “หิมะ” ของออร์ฮาน ปามุกมาอ่านซ้ำ ทั้งที่เคยอ่านมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่หนังสือออกมาใหม่ ๆ ในปี 2560 (โดยสำนักพิมพ์บทจร) ผมพลิกดูปกหน้า ปกใน ปกหลัง ทำเหมือนครั้งที่แล้ว ราวกับไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อน เพื่อจะดูข้อความเดิม ๆ และอ่านซ้ำ
“หิมะ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2002 เป็นผลงานชิ้นสำคัญของออร์ฮาน ปามุก นักเขียนรางวัลโนเบลคนแรกของตุรกี ปี2006 ซึ่งปามุกได้รับรางวัลโนเบลสาวรรณกรรม นิตยสารไทม์ได้จัดให้เขาเป็นหนึ่งในร้อยของ “บุคคลผู้ขับเคลื่อนโลก” ปามุกเกิดปี 1952 ในครอบครัวของชนชั้นกลางในอิสตันบูล ประเทศตุรกี เขาฝันว่าจะเป็นจิตรกรก่อนที่จะเปลี่ยนมาสนใจงานเขียน ปามุกได้รับปริญญาสาขาวารสารศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอิสตันบูล ก่อนจะได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา วรรณกรรมของปามุกจัดอยู่ในแนวร่วมสมัย งานของเขาสำรวจประเด็นเรื่องความรัก ตัวตน ความเชื่อทางศาสนา และการเมืองอย่างเข้มข้น และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงถูกวิพากษ์วิจารย์อย่างหนักหน่วง ในปี 2005 ปามุกถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเพราะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาแล้ว
ปามุกเชื่อเรื่องเสรีภาพในการพูด เขาถือว่าภาระอย่างหนึ่งของนักเขียนก็คือการรักษาคุณค่านี้ไว้ เขายังคงอาจหาญสร้างงานเขียนที่พูดถึงความแตกต่างทางการเมืองและความเชื่อออกมาอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันเขายังคงอาศัยอยู่ที่อิสตัลบูลในบ้านหลังเดิมที่หันหน้าเข้าสู่ช่องแคบบอสฟอรัส
เมื่อหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านซ้ำ ผมเลือกอ่านสองบทสุดท้าย อยากรู้ว่าเขาเล่าด้วยน้ำเสียงอย่างไร และให้เรื่องมันขมวดจบลงอย่างสะเทือนใจเป็นที่จดจำของคนอ่านไปอีกยาวนาน ผมชอบที่เขาพูดว่า "มนุษย์เป็นผลงานชั้นยอดของพระเจ้า และการฆ่าตัวตายเป็นการลบหลู่พระองค์ "
ประโยคสุดท้ายในหน้า564นั้นเรียบง่าย และงดงาม
“ผมนั่งลงข้างหน้าต่างมองฝ่าสายหิมะต้องแสงสีส้มของบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมสุดของชุมชนรอบนอกคาร์ส ห้องซอมซ่อที่คนนั่งดูทีวีกันอยู่เต็มห้อง ขณะที่ผมมองดูหลังคาบ้านหลังท้าย ๆ ปกคลุมด้วยหิมะและควันไฟลอยขึ้นจากปล่องไฟแตกหักคล้ายกับสายริบบิ้นบาง ๆ สั่นพลิ้ว ผมก็เริ่มร้องไห้...
ผมอ่านหิมะสองบทสุดท้ายจบก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ผมเคยเขียนเรื่องสั้นคาไว้ตั้งแต่ปี 2560 จนบัดนี้ผมก็ยังไม่เขียนให้จบ เป็นเรื่องของผู้หญิงที่อ่าน”หิมะ”จบลงเช่นเดียวกัน
(ตัวละครในหนังสือของผมส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง เพราะผมมีรสนิยมหรือสันดานบางอย่างที่ชอบนั่งฟังผู้หญิงพูดคุยได้ตลอดทั้งวัน ผมสามารถนั่งอยู่กับที่โดยไม่เบื่อ ฟังและจดจำรายละเอียดเอาไว้ยิ่งกว่าใช้กล้องถ่ายหนัง ผมเคยนั่งในร้านกาแฟฟังป้าแก่ๆ นินทาผู้อำนวยการในโรงเรียนที่หยิ่งยะโสไม่ยอมไปงานศพของชาวบ้าน ฟังแม่บ้านคุยเรื่องผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มว่ายี่ห้อไหนดีกว่า ฟังครูผู้หญิงเล่าเรื่องประสบการณ์หย่าสามีมาสามครั้ง ฟังเพื่อนสาวเล่าเรื่องผัวที่ไม่เอาไหน ให้แต่เงินกับซื้อรถแต่ไม่ค่อยมีเวลามานอนเกาหลังให้เหมือนก่อน ฟังเด็กหญิงเล่าเรื่องเพื่อนในชั้นอนุบาลเอายางรัดผมมาฝาก ฟังสาว ๆ ฝันเฟื่องอยากได้ผู้ชายรวย หล่อ เอาใจเก่ง รักเดียวใจเดียวและเป็นโสดมาเป็นพ่อของลูก (ทั้งที่ผมอยากพูดว่าหาให้ตายก็ไม่เจอ แต่ผมก็ไม่ได้พูด เพราะไม่ชอบขัดคอใคร) ผมอยู่ได้กับทั้งผู้หญิงแก่คราวยาย ผู้หญิงรุ่นป้า ผู้หญิงรุ่นน้า สาว ๆ รุ่นน้อง รุ่นลูก หรือเด็กผู้หญิงที่กำลังช่างพูด แต่ละคนมีเรื่องเล่าที่สนุกสนาน และแน่นอนย่อมแตกต่างกว่าเรื่องเล่าของผู้ชายและให้ความบันเทิงสนุกสนานกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด ดังนั้นเวลาจะเขียนเรื่องสั้นหรือนิยาย ผมจึงมักจะเขียนถึงผู้หญิงแทบทั้งหมด)
เรื่องนี้ตัวละครก็เป็นผู้หญิง
---
ย้อนคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้น ระหว่างเราสองคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย เรื่องดีมีให้คิดมากมาย ตั้งแต่เรารักกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นอนกอดกัน คุยหยอกล้อกัน คุณเป็นคนขำ ๆ ชอบทำหน้านิ่งเวลางอนหรือมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ บางครั้งก็ออกอาการ หน้าหักงอเหมือนผีเข้าสิง กว่าจะทำให้สงบกลับมายิ้มมาหัวได้ก็ยากเย็นเป็นที่สุด ฉันเองก็คงจะเป็นเช่นกัน คงจะมีหน้างอบ้างตามสมควร ฉันเคยคิดว่า ตัวเองเป็นคนแบบสบาย ๆ ปล่อยวางให้ได้ทุกเรื่อง แต่พอถึงคราวเข้าจริงกลับปล่อยไม่ได้ มีแต่ความโมโหโกรธาอย่างรุนแรง เรื่องก็ไม่มีอะไรมากนอกจากความหึงหวงที่ไม่ค่อยมีสาระอะไร เพียงแค่ฉันคิดไปเองว่าคุณต้องนอนกับคนนั้น ทำอะไรกับคนนี้ เรื่องมโนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ข้องเกี่ยวกับทางเพศนั้นฉันชำนาญนัก
ตอนอยู่กับแฟนเก่าก็ไม่มีความสุขสักเท่าไร ฉันมักจะคิดว่าแฟนฉันต้องไปนอนกับผู้หญิงที่เขาคุยด้วยทุกคน คิด ๆ จนกระทั่งเป็นความจริง ตรงกับที่ “เดอะซีเคร็ด” สอนไว้ว่า “ฉันคิดอะไรฉันจะได้แบบนั้น” ตอนที่จับได้คาหนังคาเขาว่าแฟนฉันแอบเอาผู้หญิงขึ้นไปนอนบนเตียง มันก็สายไปแล้ว แม้ว่าฉันจะให้อภัยและอยู่ต่อด้วยกันอีกสักพัก แต่ลึก ๆ ฉันยังเก็บความแค้นเอาไว้เงียบ ๆ ไม่ยอมพูดถึงเหตุการณ์นั้นอีก เมื่อสบโอกาสตอนที่เขาหลงลืมว่าเคยทำอะไรกับฉันไว้บ้าง ฉันตัดสินใจทิ้งชีวิตตรงนั้นทันที เดินหนีออกมาเฉย ๆ หนีตอนที่เขาไม่คิดว่าฉันจะหนี เขาพยายามงอนง้อ ตามตื้อ ขอโอกาส หยิบยื่นสินบนต่าง ๆ นานา แต่ฉันพูดคำเดียวว่า ไม่ และก็ตอกกลับไปด้วยถ้อยคำรุนแรงเท่าที่จะคิดขึ้นมาได้ จนเขาฉันโมโหและก็ด่ากลับเอาบ้างว่าฉันไม่เอาไหนอย่างไร ไม่ดีแบบไหน ฉันก็ได้ทีบอกว่า ถ้าฉันเลว ฉันไม่ดี ก็อย่าได้ติดต่อมาอีก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดถึงขึ้นมา เขาก็จะพยายามโทรหาหรือส่งข้อความมาให้อ่าน ฉันจัดการบล็อกเสียทุกทิศทาง และคิดว่า จบกันเสียที ชาตินี้ไม่จำเป็นจำไม่ข้องเกี่ยว จะไม่พยายามเดินสวนทางให้เผชิญหน้ากันอีก
ฉันจำไม่ค่อยได้ว่าเคยทำให้ใครเสียใจบ้าง แต่ที่ติดใจก็มีอยู่ครั้งเดียวตอนวัยรุ่นยังเรียนหนังสืออยู่ เคยมีความรักกับพนักงาเสิร์ฟ ทำทุกอย่างจนเขาหลงรัก พอสมใจ ฉันก็มานั่งคิดว่า ฉันจะใช้ชีวิตอยู่กินกับผู้หญิงแบบนี้ได้หรือ คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนชื่อตัวเองก็ไม่ค่อยจะถูก ทำงานก็ไม่มีอนาคต ฉันจึงติดสินใจหนีไปต่อหน้าต่อตา รู้ว่าเขาเสียใจ ร้องไห้ พยายามที่จะตามหาฉัน งอนง้อฉัน แต่ฉันไปแล้ว กู่ไม่กลับอีก และมันก็เป็นตราบาปมาชั่วชีวิต จนต้องเล่าระบายให้ใครต่อใครฟังเสมอว่าฉันทำบาปหนักเอาไว้ อยากเจอเขาสักหนก่อนตาย จะได้ขอโทษและขอให้เขาอโหสิกรรมให้
ตอนไปนอนที่ราชบุรี โรงแรมดีมาก ในห้องมีสองเตียงและฉันก็ไม่ชอบนอนคนเดียวในห้องที่มีเตียงว่างอยู่อีกหนึ่ง ฉันกลัวว่าใครที่ไม่ได้รับเชิญจะมานอนด้วย ฉันจึงเปิดไฟครบทุกดวง ในห้องสว่างไสวและฉันก็นอนไม่ค่อยจะหลับ คิดว่าคุณนอนหรือยัง หลับดีไหม คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า
เวลาห่างกันทีไรก็มักคิดว่า ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม คุณอาจโทรคุยกับคนอื่น พร้อม ๆ กับที่คุณโทรหาฉัน ฉันไม่ค่อยชอบเรื่องแบบนี้ เพราะมันทำให้รู้สึกไม่สงบสุข
พยายามคิดบวกว่าคุณคงไม่ทำ ตอนนี้คุณบอกว่าไม่รักเธอคนนั้นแล้ว คงไม่ทำอีก แต่คิดอีกที คุณเองก็คงไม่อยากอยู่เฉยๆ อะไรที่ทำให้ตื่นเต้นได้ก็ทำ อะไรที่ทำให้สนุกก็ทำ ฉันคิดถึงตอนนี้ก็ไม่อยากคิดอีก คิดเสียว่า ช่างมัน อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับคุณเลย ฉันเพิ่งไปหาหมอดูมา หมอดูก็แนะนำว่าอย่าหมกมุ่นกับคุณให้มาก ถ้าไว้วางใจกันก็จะอยู่ด้วยกันรอด ถ้าไม่วางใจกันอยู่ไปก็ไม่มีความสุข ไม่คุณก็ฉัน ก็จะหาทางออกจนเจอด้วยตัวเอง หมอบอกว่า เรื่องความรักนั้น ถ้ามันจะจบ ไม่มีทางจบลงด้วยดีเหมือนในนิยาย เพราะจะมีคนหนึ่งที่จะเจ็บปวด มีคนหนึ่งที่รู้สึกสบายใจ แต่เรื่องต่อจากนี้ อยู่ที่ว่าคนที่เจ็บปวดจะเยียวยาตัวเองได้เร็วแค่ไหน บางคนก็ช้ามาก ถึงขนาดชาตินี้ก็ไม่มีวันลืม บางคนก็เร็วมากจนแทบจะไม่ทันกระพริบตา จู่ ๆ ก็มีแฟนใหม่ เดินเกี่ยวก้อยจูงมือหัวเราะด้วยกันเสียงดังลั่นถนน
ฉันตื่นสาย ตื่นแล้วปวดหัวอย่างรุนแรง คิดว่าถ้าฉันปวดหัวด้วยเรื่องแบบนี้ไปจนแก่เฒ่ามันจะเป็นอย่างไร ฉันต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลประสาทไหม แต่ฟังจากคนมีประสบการณ์ เขาบอกว่า ความรักนั้นมีทั้งทั้งทุกข์และสุข ปวดหัวได้ก็หายได้เช่นเดียวกัน
เก็บของเสร็จตอนเก้าโมง หิ้วกระเป๋ากับเครื่องคอมฯลงมาชงกาแฟที่หน้าล็อบบี้ นั่งอ่านหนังสือ “หิมะ” ของออร์ฮาน ปากมุกต่ออีกหนึ่งชั่วโมง
เรื่องหิมะ ทำไปทำมาก็ให้สัจธรรมอีกเหมือนเดิม คือความหึงหวงนำมาซึ่งความทุกข์
พระเอกหลงรักนางเอกตั้งแต่เรียนหนังสือ ต่อมาเธอแต่งงานกับเพื่อน แต่เขาก็ยังแอบคิดถึงอยู่บ่อย ๆ พอรู้ว่าเธอหย่า เขากลับจากเยอรมันเพื่อไปหาเธอที่เมืองคาร์สซึ่งเป็นเมืองชายแดนในประเทศตุรกี เมืองคาร์สตกอยู่ในช่วงมรสุม เส้นทางทุกสายถูกตัดขาด เขาไปถึงที่นั่น พักอยู่ในโรงแรมของพ่อเธอ ด้วยความที่ตนเองเป็นกวีที่มีชื่อเสียง คนเมืองคาร์สก็ให้เกียรติต้อนรับ เขากับเธอได้เจอหน้า และปรับความเข้าใจกัน จนนำไปสู่การร่วมเตียงและเกิดความรักอย่างดูดดื่ม เขาต้องการให้เธอไปอยู่เยอรมันกับเขา เธอตกลงใจ ทั้งคู่วางแผนจะออกเดินทางหลังหิมะตก แต่บังเอิญที่เขารู้ว่า ตอนที่เธออย่กับสามีเธอก็คบชู้ นอนกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง เขารู้สึกหึงหวงนอนครุ่นคิดและร้องไห้อยู่สองวัน ถามเธอว่าข่าวลือนั้นจริงไหม เธอบอกว่าจริง ที่รักผู้ชายคน