หนังสือ “สิบคำนิยามจีน” ของหยูหัวกล่าวคำกวีชาวโรมันท่านหนึ่งว่า “หวนรำลึกถึงชีวิตในอดีต ดุจได้คืนชีพ”
ช่วงหลัง ๆ นี่ผมคืนชีพด้วยวิธีนี้อยู่บ่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะช่วงวัยที่ล่วงเลยประกอบกับเวลาว่างที่เหลือเฟือ ก็นึกถึงเรื่อง “วิ่ง”ขึ้นมา จำได้เมื่อโควิดระบาดเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลพลเอกประยุทธสั่งให้ประชาชนกักตัวเองอยู่ในบ้าน ห้างร้าน บริษัท ร้านอาหาร ผับ บาร์ และสวนสาธาณะทุกแห่ง ปิดให้บริการ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังหมกมุ่นอยู่กับการซ้อมวิ่ง ถึงแม้สวนสาธารณะสองแห่งที่ผมใช้บริการเป็นประจำคือสวนศรีนครินทร์ปากเกร็ด กับสวนหน้าศาลางกลางนนทบุรีจะปิดรั้วล็อคกุญแจ แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายาม ไม่เคยคิดที่จะหยุดวิ่ง ตกเย็นก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะไปวิ่งเต็มแก่ เมื่อออกไปวิ่งตามสวนสาธารณะไม่ได้ ผมก็เลือกวิ่งวนอยู่รอบบ้าน วิ่งไปเรื่อย ๆ วันละห้าหกกิโล ด้วยเนื้อที่จำกัด บางทีวิ่งวนมาก ๆก็เวียนหัว รอจนค่ำมืดสองทุ่มสามทุ่มไม่มีคนออกนอกบ้านกันแล้ว หมู่บ้านเงียบสงัดเหมือนเป็นหมู่บ้านผีสิง มีแต่โคมไฟส่องถนนราง ๆ ผมก็ออกไปวิ่งอยู่ในซอย22หน้าบ้าน ระยะทางประมาณสองร้อยเมตร วิ่งไปกลับอยู่หลายสิบเที่ยว จนได้หกเจ็ดกิโลก็ถือว่าจบภาระกิจ ตอนวิ่งก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองแปลก คิดว่าเป็นการซ้อมสำหรับงานวิ่งที่สมัครเอาไว้หลายรายการ ถ้างานเลื่อนก็ดี ถ้าไม่เลื่อนก็จะถือได้ เป็นการซ้อมไว้เพื่อความไม่ประมาท
จำได้ว่าวิ่งทุกวัน มุ่งมั่นเรื่องจะไปให้จบร้อยกิโลที่งานCMเชียงใหม่ แต่ในที่สุดด้วยความที่ซ้อมอยู่แต่ในหมู่บ้าน แทบไม่ได้ออกไปวิ่งขึ้นเขาลงเขาตามที่วางแผนไว้ เมื่อทางผู้จัดซึ่งเป็นนักวิ่งเข้าใจปัญหานี้ จึงประกาศว่า ถึงงานจะไม่เลื่อน แต่นักวิ่งสามารถขอลดระยะทางได้ ผมจึงขอลดจาก100 กิโลเหลือเพียง 60 เมื่อโควิดซาลง จึงได้ออกไปซ้อมตามสวนสาธาณะอยู่สักสองเดือน ถึงวันแข่งก็ไปร่วมงานด้วยใจไม่เต็มร้อยเท่าไรนัก
จำได้ว่า คืนวันแข่งนั้นฝนตกหนักและพายุก็พัดจนต้นไม้โค่น ตามทางเป็นดินโคลนเละ ลื่น และทุลักทุเล ออกจากจุดสตาร์ทประมาณ6 โมงเช้า กลับเข้ามาที่เส้นชัยราวตี1 วิ่งฝ่าความมืดลงมาจากภูเขาเละๆ ตามลำพัง ถึงเส้นชัยแล้วก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ยิ้มให้ตัวเอง ยิ้มให้กองเชียร์ และชูมือทั้งสองขึ้นด้วยความยินดีที่ฝ่าฟันมาได้จนสำเร็จ
เรื่องวิ่งนี่คุยได้ไม่รู้เบื่อ รู้ทั้งรู้ว่าคนที่เขาไม่วิ่ง ไม่ชอบวิ่ง เขาก็ไม่เข้าใจว่า คนเราจะวิ่งอะไรนักหนา วิ่งเป็นบ้าทั้งวันทั้งคืน แต่คนที่เป็นนักวิ่งด้วยกันจะเข้าใจดี แลกเปลี่ยนเรื่องประสบการณ์วิ่ง เล่าสู่กันฟังทีไรก็ก่อให้เกิดความประทับใจทุกที
อย่างหมอภานุเพื่อนนักวิ่งของผม เขาลงวิ่ง100กิโลในรายการเดียวกับผมที่เชียงใหม่ เขาใช้เวลาวิ่งสองวันกับหนึ่งคืน ออกจากจุดสตาร์ทตั้งแต่แปดโมงเช้า วิ่งอยู่บนดอยหนึ่งคืน และกลับมาที่เส้นชัยตอนเย็น ก่อนถึงจุดคัทออฟราวสองกิโล ภรรยากับลูกสาววิ่งไปรับเขาและวิ่งตามกลับมาพร้อมส่งเสียงเชียร์ให้พ่อสู้ ๆ พ่อก็ถามอยู่ประโยคเดียวว่า “ทันไหม ๆ” ลูกก็บอกว่าทัน ตอนนั้นคนเป็นพ่อก้าวขาวิ่งไม่ออกแล้ว แต่ก็พยายามจ้ำให้เร็วขึ้น เขามีอาการเหนื่อยแสนสาหัส หน้าตาเหยเก ร่างสูงใหญ่นั้นค้อมคู้ลงมาแทบขนานไปกับพื้นถนน แต่เขาก็ไม่หยุด ภรรยาก็วิ่งประกบมาพร้อมกับส่งเสียเชียร์จนกระทั่งเขาถึงเส้นชัย ก่อนเวลาคัทออฟสามนาที เขาหันไปยิ้มให้ลูกเมีย พูดไม่ออก เสร็จแล้วก็นั่งก้มหน้าลงกับเข่า ก่อนจะหายหลังหลับไปในชั่วพริบตา ได้ยินเสียงภรรยาของเขาพูดแว่ว ๆ ว่า “เก่งจัง ๆ “
ผมดูคลิปที่ลูกสาวเขาถ่ายไว้แล้วน้ำตารื้น นี่คือนักวิ่งผู้ไม่ยอมแพ้ ร้อยกิโลขับรถก็ยังไกลจนท้อ แต่เขาซึ่งเป็นคนที่เคยอ้วนมาก่อน น้ำหนัก97 กิโลกรัม เพราะเปลี่ยนชีวิตจากคนชอบกิน ไม่ชอบออกกำลังกาย หันมาเป็นนักวิ่งตามภรรยา เขาก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ วิ่งจนพุงที่บรรจุด้วยไขมันล้วน ๆ หายไปจากหน้าท้อง กางเกงหลวม เสื้อหลวม จนต้องซื้อใหม่ยกตู้ เขากลายเป็นอีกคนที่หุ่นดี สุภาพจิตดี ออกกำลังกายด้วยการวิ่งอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อเขาวิ่งจนมั่นใจเต็มที่แล้ว เขาจึงพิสูจน์ตัวเองด้วยการลงแข่งวิ่ง100 กิโล และเขาก็ทำสำเร็จ
ผมชอบคนแบบนี้ คนที่ไม่ท้อ คนที่มุ่งมั่น ทำอะไรสักอย่างก็ลงมือด้วยความจริงจัง จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ
เรื่องลดความอ้วนก็เช่นเดียวกัน บางคนพยายามแล้วพยายามอีกแต่ก็ไม่สำเร็จ หุ่นพังอย่างไรก็ยังปล่อยให้พังอยู่อย่างนั้น ทั้งนี้เพราะไม่เอาจริง ไม่เด็ดเดี่ยว ไม่มีความพยายามอย่างเต็มที่ เห็นอะไรอร่อยก็หยิบจับเข้าปาก หิวทีไรก็สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะด้วยความลืมตัว เดินผ่านตู้เย็นเป็นไม่ได้ ต้องเกิดความสงสัยว่า มีอะไรน่ากินซุกซ่อนอยู่บ้าง อยากลดความอ้วนแต่ไม่เคยคิดจะออกกำลังกาย อยากลดน้ำหนักแต่ก็ยังเลือกกินแต่ของอร่อย (กินแบบลืมตัว) และบางคนนั้นคิดจะทำให้ตัวเองผอมทางลัดด้วยการกินยาช่วย บางคนหนักกว่านั้นก็คือไปหาหมอดูดไขมันออกจากต้นขา ท่อนแขน หน้าท้อง เพื่อให้ตัวเองกลับมาเป็นคนผอมหุ่นดีเหมือนางแบบที่เดินอยู่ในจอโทรทัศน์
ผมเคยคุยกับพี่จำลอง ฝั่งชลจิตรครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นพี่เขารักษาสุขภาพด้วยการเดิน และงดอาหารบางมื้อ เลือกกินแต่ของที่มีประโยชน์ ตอนที่นั่งดื่มกาแฟกันในสนามบินจังหวัดตรัง ผมถามเคล็ดลับว่าทำได้อย่างไร น้ำหนักส่วนเกินจึงได้หายไปจนหมด พี่จำลองบอกสั้น ๆ ว่า “ เวลานั่งร่วมโต๊ะกับใครก็ตาม เมื่อเห็นของอร่อยหรือของที่เราชอบวางอยู่ตรงหน้าให้ผลักออกไปห่าง ๆ และกินเฉพาะของที่เราไม่ชอบ ทำให้กินได้ไม่มาก นี่เป็นเคล็ดลับที่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใครก็นำไปใช้ได้”
คนอ้วนที่มีสุขภาพดี คนอ้วนที่มีความสุขก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมไม่ตั้งแง่กับคนที่มีน้ำหนักเกิน ไม่แม้แต่จะรู้สึกรังเกียจรังงอน ชีวิตใครก็ชีวิตมัน อ้วนหรือผอมก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม และผมก็ไม่อยากให้ใครมาด่าว่า อ้วนแล้วไง หนักหัวผมตรงไหน
แต่สำหรับคนอ้วนที่บ่นอยากลดน้ำหนักในขณะที่ปากเคี้ยวหยุบหยับ กินจุกจิก และไม่เคยคิดจะเคลื่อนไหวด้วยการเดิน วิ่ง แกว่งแขน กระโดดเชือก หรือเข้ายิม คนพวกนี้ไม่ถึงขนาดน่ารังเกียจ แต่รู้สึกว่าเป็นคนน่ารำคาญ ผมบอกเคล็ดลับให้พี่จำลองฟังเหมือนกันว่า ของผมนั้นง่ายกว่าพี่คือ “หยุดกิน”
ตอนที่ผมตั้งใจลดน้ำหนักจาก81 ให้เหลือ70 ผมหยุดกินของที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตโดยสิ้นเชิง ออกวิ่งทุกวันวันละสิบกิโล กินข้าวครบสามมื้อ แต่กินน้อยมาก ถ้าเผื่อว่าดึกๆ หิวจนทนไม่ไหว ผมจะเลือกกินขนมปังหนึ่งแผ่นและกินน้ำตามเข้าไปสองสามแก้ว มันก็จะทำให้อิ่มได้โดยไม่ต้องเปิดหม้อคดข้าวใส่จานพร้อมกับอาหารอีกสองอย่าง
ตอนผมอายุ48 ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ"อีสเพรเลิฟ" ที่เขียนถึงการอดอาหารและสวดมนต์ที่บาหลี ผมอยากทำตามบ้าง จึงนั่งเครื่องบินไปพักที่อูบุด เสาะหาอาศรมของคุรุชาวอินเดียจนพบ ที่นั่นมีคนมาอดอาหารกันเป็นจำนวนมาก ไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่สามารถบริจากได้ตามกำลังศรัทธา หรือถ้าไม่มีเงินก็ทำงานในอาศรมแลกกับการเข้ามาฝึกปฏิบัติ
ที่นั่นเขาสอนให้ผมกินอาหารวันละมื้อ ทุกมื้อต้องเคี้ยวช้า ๆ และที่สำคัญเขาให้สวดมนต์ก่อนและหลังอาหาร การสวดนั้นผมฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เปล่งเสียงตามเขา แต่ก็พยายามนั่งนิ่ง ๆ ฟังเขาสวดจนจบ ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็กินอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า เป็นข้าวกล้องจานเดียว มีทั้งเนื้อไก่และผัก บางวันก็แถมไข่ต้มหนึ่งฟอง ก่อนกินก็ให้มองที่อาหารว่าเราจะกินอะไรก่อนหลัง จะเคี้ยวอย่างไรให้ละเอียดที่สุด จะกินมูมมามแบบที่บ้าน ตักเข้าปากพรวด ๆ ยังไม่ทันเคี้ยวก็กลืนลงท้องแล้วไม่ได้ อยู่ที่บ้าน ข้าวจานหนึ่งผมกวาดสามสี่ทีก็ลงไปอยู่ในท้องด้วยความรวดเร็ว กินจุเหมือนชูชก หมดแล้วก็ตักเพิ่มโดยไม่รู้ว่าเคี้ยวช้า ๆ อย่างมีสมาธิ หรืออย่างที่เห็นคุณค่าของอาหารนั้นเป็นอย่างไร คุรุชาวอินเดียสอนเป็นภาษาอังกฤษที่ผมแปลได้กระท่อนกระแท่นว่า ให้เราคิดว่าอาหารจานนี้เป็นมื้อสุดท้ายของเรา เราจะกินให้มันอร่อยที่สุด กินอย่างช้า ๆ ที่สุด เขาพูดว่า เวลาเรามีเหลือทั้งวัน ไม่ต้องรีบ กินให้ช้าที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
อาหารเริ่มตั้งแต่สิบโมง กว่าจะสวดเสร็จ กินหมดจานก็ประมาณเที่ยง จากเที่ยงก็พักผ่อน ด้วยการนั่งสมาธิ นั่งเฉย ๆ หรือนั่งอ่านหนังสือก็ไม่มีใครว่าอะไร เย็นก็มีชาให้ดื่ม ใครว่างก็กวาดลาน ตกเย็นก็เดินออกกำลังกายตามแต่สะดวก ผมเช่าห้องอยู่ข้างอาศรมคืนละห้าร้อยบาท ที่อุบุดนั้นเป็นเมืองภูเขาอากาศเย็นทั้งปี ผมฝึกกิน ฝึกเคี้ยว ฝึกปฏิบัติ เดือนเดียวผมก็กลับมาเมืองไทยด้วยน้ำหนักที่เหลือแค่ 69 กิโลกรัม ผมทำหายไป12 กิโลภายในสามสิบวัน
เพื่อนว่า ผอมไป จะทำให้เนื้อตัวเหี่ยวย่น กลับบ้านผมก็กินเพิ่มอีกหน่อย จนน้ำหนักขึ้นมาอยู่ที่72 และไม่นานต่อมา ด้วยความไม่ระมัดระมัดระวัง ด้วยความไม่มีสติ ไม่สำรวมในเรื่องของการกิน ลืมคำสอนที่บอกให้เคี้ยวอาหารทุกคำอย่างช้า ๆ ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก วัยห้าสิบห้า ผมก็เลยออกมาวิ่ง เพื่อจะเอาไขมันออกจากหน้าท้อง และเริ่มกลับมาสู่การกินอาหารเฉพาะที่จำเป็นต่อชีวิตเท่านั้น ผมไม่กินของอร่อย ไม่นิยมกินบุปเฟ่ ไม่ชอบกินอาหารในงานเลี้ยง ไม่มีความสุขที่เห็นของเหลือบนโต๊ะ ผมจึงเลี่ยงที่จะไปกินงานเลี้ยงทุกชนิด ยกเว้นแต่เฉพาะกับพี่ๆ ในก๊วนกอล์ฟเท่านั้น
คนอ้วนตุ้ยนุ้ยที่ชอบมาปรึกษาบ่อยว่า อยากจะผอมบ้าง ผมมีข้อแนะนำอีกอย่างหนึ่ง คือเอาอาหารออกจากตู้เย็นให้หมด เวลาหิวจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นของง่ายที่เราจะหยิบอะไรออกมาจากตู้เย็นแล้วมาปรุงเป็นอาหารรสอร่อยที่เราชอบ ถ้าไม่มีหมู ไม่มีเนื้อ ไม่มีไก่ ไม่มีใส้กรอก ไม่มีกุ้ง หรือหมึก เราก็จะต้องแต่งตัวออกไปหาสิ่งเหล่านี้ในตลาดหรือในซุปเปอร์มาเก็ต ตอนที่เรากำลังหาเสื้อผ้าเพื่อจะแต่งตัว หรือหากุญแจรถเพื่อจะขับออกไปหาของมากินนั่นแหละ ทำให้เรามีเวลาฉุกคิดว่าเรากำลังลดน้ำหนักอยู่ เมื่อเราคิดขึ้นมาได้ เราก็จะบอกตัวเองว่า ไม่กินก็ได้ มีนมอยู่กล่องหนึ่ง เราก็ดื่มนมกล่องนั้นให้หมด และดื่มน้ำเยอะ ๆ มันก็อิ่มและรอดตายได้เช่นเดียวกัน
การไม่มีอาหารอยู่ในตู้เย็น จะทำให้เราลดน้ำหนักง่ายขึ้นมากทีเดียว
คำถามคือ เราจะมีตู้เย็นไว้ทำไม ก็เอาไว้ใส่น้ำ ใส่ผัก ใส่ผลไม้ ใส่นมจืด เราชอบดื่มน้ำเย็น เราก็ใส่น้ำไว้ให้เต็ม กินน้ำเยอะ ๆ มีประโยชน์ ทำให้หน้าตาอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวล ดูสะอาด สดใส ว่าง ๆ จากการทำงาน ก็ออกกำลังกายเสียบ้าง ไม่ชอบวิ่งก็ไม่เป็นไร อยู่ในบ้านก็ย่อเข่าบ้าง กระโดดเชือกบ้าง แกว่งแขนบ้าง ก้มลงถูพื้นสักสี่สิบห้านาทีก็ถือได้ว่าเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง
อย่าเอาแต่พูดว่าอยากผอม อยากลดน้ำหนัก เพราะการพูดหรือการบ่นนั้นไม่ได้ช่วยให้เราดูดีขึ้นเลย
บ้านผมก็มีคนอยากลดน้ำหนักอยู่คนหนึ่ง ผมพยายามกระตุ้นว่าให้ออกกำลังกาย และถามบ่อยว่า “ ไปวิ่งด้วยกันไหม” เธอตอบสั้น ๆ ว่า “เหนื่อย ไม่เอา” และก็อยากจะให้ผมทำอาหารคลีนให้กินทุกมื้อ
ผมกล้าพูดกล้าเถียงกล้าให้เหตุผลกับคนทั้งโลก ยกเว้นแต่ลูกกับเมีย ที่ผมไม่กล้ามาแต่ไหนแต่ไร
มันเริ่มกลัวตั้งแต่ตอนไหนก็จำไม่ได้เหมือนกัน..
---------
#บ้านหนังสือ
http://bannangsue.lnwshop.com
หวนรำลึกถึงอดีตดุจได้คืนชีพ
ช่วงหลัง ๆ นี่ผมคืนชีพด้วยวิธีนี้อยู่บ่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะช่วงวัยที่ล่วงเลยประกอบกับเวลาว่างที่เหลือเฟือ ก็นึกถึงเรื่อง “วิ่ง”ขึ้นมา จำได้เมื่อโควิดระบาดเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลพลเอกประยุทธสั่งให้ประชาชนกักตัวเองอยู่ในบ้าน ห้างร้าน บริษัท ร้านอาหาร ผับ บาร์ และสวนสาธาณะทุกแห่ง ปิดให้บริการ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังหมกมุ่นอยู่กับการซ้อมวิ่ง ถึงแม้สวนสาธารณะสองแห่งที่ผมใช้บริการเป็นประจำคือสวนศรีนครินทร์ปากเกร็ด กับสวนหน้าศาลางกลางนนทบุรีจะปิดรั้วล็อคกุญแจ แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายาม ไม่เคยคิดที่จะหยุดวิ่ง ตกเย็นก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะไปวิ่งเต็มแก่ เมื่อออกไปวิ่งตามสวนสาธารณะไม่ได้ ผมก็เลือกวิ่งวนอยู่รอบบ้าน วิ่งไปเรื่อย ๆ วันละห้าหกกิโล ด้วยเนื้อที่จำกัด บางทีวิ่งวนมาก ๆก็เวียนหัว รอจนค่ำมืดสองทุ่มสามทุ่มไม่มีคนออกนอกบ้านกันแล้ว หมู่บ้านเงียบสงัดเหมือนเป็นหมู่บ้านผีสิง มีแต่โคมไฟส่องถนนราง ๆ ผมก็ออกไปวิ่งอยู่ในซอย22หน้าบ้าน ระยะทางประมาณสองร้อยเมตร วิ่งไปกลับอยู่หลายสิบเที่ยว จนได้หกเจ็ดกิโลก็ถือว่าจบภาระกิจ ตอนวิ่งก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองแปลก คิดว่าเป็นการซ้อมสำหรับงานวิ่งที่สมัครเอาไว้หลายรายการ ถ้างานเลื่อนก็ดี ถ้าไม่เลื่อนก็จะถือได้ เป็นการซ้อมไว้เพื่อความไม่ประมาท
จำได้ว่าวิ่งทุกวัน มุ่งมั่นเรื่องจะไปให้จบร้อยกิโลที่งานCMเชียงใหม่ แต่ในที่สุดด้วยความที่ซ้อมอยู่แต่ในหมู่บ้าน แทบไม่ได้ออกไปวิ่งขึ้นเขาลงเขาตามที่วางแผนไว้ เมื่อทางผู้จัดซึ่งเป็นนักวิ่งเข้าใจปัญหานี้ จึงประกาศว่า ถึงงานจะไม่เลื่อน แต่นักวิ่งสามารถขอลดระยะทางได้ ผมจึงขอลดจาก100 กิโลเหลือเพียง 60 เมื่อโควิดซาลง จึงได้ออกไปซ้อมตามสวนสาธาณะอยู่สักสองเดือน ถึงวันแข่งก็ไปร่วมงานด้วยใจไม่เต็มร้อยเท่าไรนัก
จำได้ว่า คืนวันแข่งนั้นฝนตกหนักและพายุก็พัดจนต้นไม้โค่น ตามทางเป็นดินโคลนเละ ลื่น และทุลักทุเล ออกจากจุดสตาร์ทประมาณ6 โมงเช้า กลับเข้ามาที่เส้นชัยราวตี1 วิ่งฝ่าความมืดลงมาจากภูเขาเละๆ ตามลำพัง ถึงเส้นชัยแล้วก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ยิ้มให้ตัวเอง ยิ้มให้กองเชียร์ และชูมือทั้งสองขึ้นด้วยความยินดีที่ฝ่าฟันมาได้จนสำเร็จ
เรื่องวิ่งนี่คุยได้ไม่รู้เบื่อ รู้ทั้งรู้ว่าคนที่เขาไม่วิ่ง ไม่ชอบวิ่ง เขาก็ไม่เข้าใจว่า คนเราจะวิ่งอะไรนักหนา วิ่งเป็นบ้าทั้งวันทั้งคืน แต่คนที่เป็นนักวิ่งด้วยกันจะเข้าใจดี แลกเปลี่ยนเรื่องประสบการณ์วิ่ง เล่าสู่กันฟังทีไรก็ก่อให้เกิดความประทับใจทุกที
อย่างหมอภานุเพื่อนนักวิ่งของผม เขาลงวิ่ง100กิโลในรายการเดียวกับผมที่เชียงใหม่ เขาใช้เวลาวิ่งสองวันกับหนึ่งคืน ออกจากจุดสตาร์ทตั้งแต่แปดโมงเช้า วิ่งอยู่บนดอยหนึ่งคืน และกลับมาที่เส้นชัยตอนเย็น ก่อนถึงจุดคัทออฟราวสองกิโล ภรรยากับลูกสาววิ่งไปรับเขาและวิ่งตามกลับมาพร้อมส่งเสียงเชียร์ให้พ่อสู้ ๆ พ่อก็ถามอยู่ประโยคเดียวว่า “ทันไหม ๆ” ลูกก็บอกว่าทัน ตอนนั้นคนเป็นพ่อก้าวขาวิ่งไม่ออกแล้ว แต่ก็พยายามจ้ำให้เร็วขึ้น เขามีอาการเหนื่อยแสนสาหัส หน้าตาเหยเก ร่างสูงใหญ่นั้นค้อมคู้ลงมาแทบขนานไปกับพื้นถนน แต่เขาก็ไม่หยุด ภรรยาก็วิ่งประกบมาพร้อมกับส่งเสียเชียร์จนกระทั่งเขาถึงเส้นชัย ก่อนเวลาคัทออฟสามนาที เขาหันไปยิ้มให้ลูกเมีย พูดไม่ออก เสร็จแล้วก็นั่งก้มหน้าลงกับเข่า ก่อนจะหายหลังหลับไปในชั่วพริบตา ได้ยินเสียงภรรยาของเขาพูดแว่ว ๆ ว่า “เก่งจัง ๆ “
ผมดูคลิปที่ลูกสาวเขาถ่ายไว้แล้วน้ำตารื้น นี่คือนักวิ่งผู้ไม่ยอมแพ้ ร้อยกิโลขับรถก็ยังไกลจนท้อ แต่เขาซึ่งเป็นคนที่เคยอ้วนมาก่อน น้ำหนัก97 กิโลกรัม เพราะเปลี่ยนชีวิตจากคนชอบกิน ไม่ชอบออกกำลังกาย หันมาเป็นนักวิ่งตามภรรยา เขาก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ วิ่งจนพุงที่บรรจุด้วยไขมันล้วน ๆ หายไปจากหน้าท้อง กางเกงหลวม เสื้อหลวม จนต้องซื้อใหม่ยกตู้ เขากลายเป็นอีกคนที่หุ่นดี สุภาพจิตดี ออกกำลังกายด้วยการวิ่งอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อเขาวิ่งจนมั่นใจเต็มที่แล้ว เขาจึงพิสูจน์ตัวเองด้วยการลงแข่งวิ่ง100 กิโล และเขาก็ทำสำเร็จ
ผมชอบคนแบบนี้ คนที่ไม่ท้อ คนที่มุ่งมั่น ทำอะไรสักอย่างก็ลงมือด้วยความจริงจัง จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ
เรื่องลดความอ้วนก็เช่นเดียวกัน บางคนพยายามแล้วพยายามอีกแต่ก็ไม่สำเร็จ หุ่นพังอย่างไรก็ยังปล่อยให้พังอยู่อย่างนั้น ทั้งนี้เพราะไม่เอาจริง ไม่เด็ดเดี่ยว ไม่มีความพยายามอย่างเต็มที่ เห็นอะไรอร่อยก็หยิบจับเข้าปาก หิวทีไรก็สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะด้วยความลืมตัว เดินผ่านตู้เย็นเป็นไม่ได้ ต้องเกิดความสงสัยว่า มีอะไรน่ากินซุกซ่อนอยู่บ้าง อยากลดความอ้วนแต่ไม่เคยคิดจะออกกำลังกาย อยากลดน้ำหนักแต่ก็ยังเลือกกินแต่ของอร่อย (กินแบบลืมตัว) และบางคนนั้นคิดจะทำให้ตัวเองผอมทางลัดด้วยการกินยาช่วย บางคนหนักกว่านั้นก็คือไปหาหมอดูดไขมันออกจากต้นขา ท่อนแขน หน้าท้อง เพื่อให้ตัวเองกลับมาเป็นคนผอมหุ่นดีเหมือนางแบบที่เดินอยู่ในจอโทรทัศน์
ผมเคยคุยกับพี่จำลอง ฝั่งชลจิตรครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นพี่เขารักษาสุขภาพด้วยการเดิน และงดอาหารบางมื้อ เลือกกินแต่ของที่มีประโยชน์ ตอนที่นั่งดื่มกาแฟกันในสนามบินจังหวัดตรัง ผมถามเคล็ดลับว่าทำได้อย่างไร น้ำหนักส่วนเกินจึงได้หายไปจนหมด พี่จำลองบอกสั้น ๆ ว่า “ เวลานั่งร่วมโต๊ะกับใครก็ตาม เมื่อเห็นของอร่อยหรือของที่เราชอบวางอยู่ตรงหน้าให้ผลักออกไปห่าง ๆ และกินเฉพาะของที่เราไม่ชอบ ทำให้กินได้ไม่มาก นี่เป็นเคล็ดลับที่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใครก็นำไปใช้ได้”
คนอ้วนที่มีสุขภาพดี คนอ้วนที่มีความสุขก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมไม่ตั้งแง่กับคนที่มีน้ำหนักเกิน ไม่แม้แต่จะรู้สึกรังเกียจรังงอน ชีวิตใครก็ชีวิตมัน อ้วนหรือผอมก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม และผมก็ไม่อยากให้ใครมาด่าว่า อ้วนแล้วไง หนักหัวผมตรงไหน
แต่สำหรับคนอ้วนที่บ่นอยากลดน้ำหนักในขณะที่ปากเคี้ยวหยุบหยับ กินจุกจิก และไม่เคยคิดจะเคลื่อนไหวด้วยการเดิน วิ่ง แกว่งแขน กระโดดเชือก หรือเข้ายิม คนพวกนี้ไม่ถึงขนาดน่ารังเกียจ แต่รู้สึกว่าเป็นคนน่ารำคาญ ผมบอกเคล็ดลับให้พี่จำลองฟังเหมือนกันว่า ของผมนั้นง่ายกว่าพี่คือ “หยุดกิน”
ตอนที่ผมตั้งใจลดน้ำหนักจาก81 ให้เหลือ70 ผมหยุดกินของที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตโดยสิ้นเชิง ออกวิ่งทุกวันวันละสิบกิโล กินข้าวครบสามมื้อ แต่กินน้อยมาก ถ้าเผื่อว่าดึกๆ หิวจนทนไม่ไหว ผมจะเลือกกินขนมปังหนึ่งแผ่นและกินน้ำตามเข้าไปสองสามแก้ว มันก็จะทำให้อิ่มได้โดยไม่ต้องเปิดหม้อคดข้าวใส่จานพร้อมกับอาหารอีกสองอย่าง
ตอนผมอายุ48 ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ"อีสเพรเลิฟ" ที่เขียนถึงการอดอาหารและสวดมนต์ที่บาหลี ผมอยากทำตามบ้าง จึงนั่งเครื่องบินไปพักที่อูบุด เสาะหาอาศรมของคุรุชาวอินเดียจนพบ ที่นั่นมีคนมาอดอาหารกันเป็นจำนวนมาก ไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่สามารถบริจากได้ตามกำลังศรัทธา หรือถ้าไม่มีเงินก็ทำงานในอาศรมแลกกับการเข้ามาฝึกปฏิบัติ
ที่นั่นเขาสอนให้ผมกินอาหารวันละมื้อ ทุกมื้อต้องเคี้ยวช้า ๆ และที่สำคัญเขาให้สวดมนต์ก่อนและหลังอาหาร การสวดนั้นผมฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เปล่งเสียงตามเขา แต่ก็พยายามนั่งนิ่ง ๆ ฟังเขาสวดจนจบ ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็กินอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า เป็นข้าวกล้องจานเดียว มีทั้งเนื้อไก่และผัก บางวันก็แถมไข่ต้มหนึ่งฟอง ก่อนกินก็ให้มองที่อาหารว่าเราจะกินอะไรก่อนหลัง จะเคี้ยวอย่างไรให้ละเอียดที่สุด จะกินมูมมามแบบที่บ้าน ตักเข้าปากพรวด ๆ ยังไม่ทันเคี้ยวก็กลืนลงท้องแล้วไม่ได้ อยู่ที่บ้าน ข้าวจานหนึ่งผมกวาดสามสี่ทีก็ลงไปอยู่ในท้องด้วยความรวดเร็ว กินจุเหมือนชูชก หมดแล้วก็ตักเพิ่มโดยไม่รู้ว่าเคี้ยวช้า ๆ อย่างมีสมาธิ หรืออย่างที่เห็นคุณค่าของอาหารนั้นเป็นอย่างไร คุรุชาวอินเดียสอนเป็นภาษาอังกฤษที่ผมแปลได้กระท่อนกระแท่นว่า ให้เราคิดว่าอาหารจานนี้เป็นมื้อสุดท้ายของเรา เราจะกินให้มันอร่อยที่สุด กินอย่างช้า ๆ ที่สุด เขาพูดว่า เวลาเรามีเหลือทั้งวัน ไม่ต้องรีบ กินให้ช้าที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
อาหารเริ่มตั้งแต่สิบโมง กว่าจะสวดเสร็จ กินหมดจานก็ประมาณเที่ยง จากเที่ยงก็พักผ่อน ด้วยการนั่งสมาธิ นั่งเฉย ๆ หรือนั่งอ่านหนังสือก็ไม่มีใครว่าอะไร เย็นก็มีชาให้ดื่ม ใครว่างก็กวาดลาน ตกเย็นก็เดินออกกำลังกายตามแต่สะดวก ผมเช่าห้องอยู่ข้างอาศรมคืนละห้าร้อยบาท ที่อุบุดนั้นเป็นเมืองภูเขาอากาศเย็นทั้งปี ผมฝึกกิน ฝึกเคี้ยว ฝึกปฏิบัติ เดือนเดียวผมก็กลับมาเมืองไทยด้วยน้ำหนักที่เหลือแค่ 69 กิโลกรัม ผมทำหายไป12 กิโลภายในสามสิบวัน
เพื่อนว่า ผอมไป จะทำให้เนื้อตัวเหี่ยวย่น กลับบ้านผมก็กินเพิ่มอีกหน่อย จนน้ำหนักขึ้นมาอยู่ที่72 และไม่นานต่อมา ด้วยความไม่ระมัดระมัดระวัง ด้วยความไม่มีสติ ไม่สำรวมในเรื่องของการกิน ลืมคำสอนที่บอกให้เคี้ยวอาหารทุกคำอย่างช้า ๆ ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก วัยห้าสิบห้า ผมก็เลยออกมาวิ่ง เพื่อจะเอาไขมันออกจากหน้าท้อง และเริ่มกลับมาสู่การกินอาหารเฉพาะที่จำเป็นต่อชีวิตเท่านั้น ผมไม่กินของอร่อย ไม่นิยมกินบุปเฟ่ ไม่ชอบกินอาหารในงานเลี้ยง ไม่มีความสุขที่เห็นของเหลือบนโต๊ะ ผมจึงเลี่ยงที่จะไปกินงานเลี้ยงทุกชนิด ยกเว้นแต่เฉพาะกับพี่ๆ ในก๊วนกอล์ฟเท่านั้น
คนอ้วนตุ้ยนุ้ยที่ชอบมาปรึกษาบ่อยว่า อยากจะผอมบ้าง ผมมีข้อแนะนำอีกอย่างหนึ่ง คือเอาอาหารออกจากตู้เย็นให้หมด เวลาหิวจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นของง่ายที่เราจะหยิบอะไรออกมาจากตู้เย็นแล้วมาปรุงเป็นอาหารรสอร่อยที่เราชอบ ถ้าไม่มีหมู ไม่มีเนื้อ ไม่มีไก่ ไม่มีใส้กรอก ไม่มีกุ้ง หรือหมึก เราก็จะต้องแต่งตัวออกไปหาสิ่งเหล่านี้ในตลาดหรือในซุปเปอร์มาเก็ต ตอนที่เรากำลังหาเสื้อผ้าเพื่อจะแต่งตัว หรือหากุญแจรถเพื่อจะขับออกไปหาของมากินนั่นแหละ ทำให้เรามีเวลาฉุกคิดว่าเรากำลังลดน้ำหนักอยู่ เมื่อเราคิดขึ้นมาได้ เราก็จะบอกตัวเองว่า ไม่กินก็ได้ มีนมอยู่กล่องหนึ่ง เราก็ดื่มนมกล่องนั้นให้หมด และดื่มน้ำเยอะ ๆ มันก็อิ่มและรอดตายได้เช่นเดียวกัน
การไม่มีอาหารอยู่ในตู้เย็น จะทำให้เราลดน้ำหนักง่ายขึ้นมากทีเดียว
คำถามคือ เราจะมีตู้เย็นไว้ทำไม ก็เอาไว้ใส่น้ำ ใส่ผัก ใส่ผลไม้ ใส่นมจืด เราชอบดื่มน้ำเย็น เราก็ใส่น้ำไว้ให้เต็ม กินน้ำเยอะ ๆ มีประโยชน์ ทำให้หน้าตาอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวล ดูสะอาด สดใส ว่าง ๆ จากการทำงาน ก็ออกกำลังกายเสียบ้าง ไม่ชอบวิ่งก็ไม่เป็นไร อยู่ในบ้านก็ย่อเข่าบ้าง กระโดดเชือกบ้าง แกว่งแขนบ้าง ก้มลงถูพื้นสักสี่สิบห้านาทีก็ถือได้ว่าเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง
อย่าเอาแต่พูดว่าอยากผอม อยากลดน้ำหนัก เพราะการพูดหรือการบ่นนั้นไม่ได้ช่วยให้เราดูดีขึ้นเลย
บ้านผมก็มีคนอยากลดน้ำหนักอยู่คนหนึ่ง ผมพยายามกระตุ้นว่าให้ออกกำลังกาย และถามบ่อยว่า “ ไปวิ่งด้วยกันไหม” เธอตอบสั้น ๆ ว่า “เหนื่อย ไม่เอา” และก็อยากจะให้ผมทำอาหารคลีนให้กินทุกมื้อ
ผมกล้าพูดกล้าเถียงกล้าให้เหตุผลกับคนทั้งโลก ยกเว้นแต่ลูกกับเมีย ที่ผมไม่กล้ามาแต่ไหนแต่ไร
มันเริ่มกลัวตั้งแต่ตอนไหนก็จำไม่ได้เหมือนกัน..
---------
#บ้านหนังสือ
http://bannangsue.lnwshop.com