มหากาพย์ปัญหาระหว่างแม่ลูก 😅
เราสมัครเป็นสมาชิกเว็บพันทิป เพราะอยากรู้ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ว่า ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเรา คุณจะรู้สึกเหมือนกันไหม /จะมีทางออกอย่างไร ในสภาพความเป็นจริงที่มีข้อจำกัด ในขณะที่เราไม่มีทางเลือกเลย!
กระทู้ยาวมากเหมือนนิยาย แต่นี่คือชีวิตจริง
...ก่อนอื่นขอเล่าประวัติส่วนตัวย้อนหลังสักหน่อย
📌คำถามอยู่ที่ย่อหน้าสุดท้ายเลยค่ะ
เราเป็นลูกคนกลาง มีพี่สาวแท้ๆ1คน และมีน้องชายต่างพ่อ1คน เรามีปมด้อยมาตั้งแต่เกิด ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ขี่เหร่ แถมด้วยโรคประจำตัวที่ติดมาตั้งแต่เกิด
สาเหตุเหล่านี้ ทำให้เราเป็นคนขี้อาย และขาดความมั่นใจในตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆละ
เท่าที่จำความได้ เราจะถูกญาติพี่น้องและคนรอบตัวเปรียบเทียบกับพี่สาวอยู่เสมอๆ
(ต้องบอกก่อนว่าพี่สาวเป็นคนที่สวยมาก... สวยจริงๆไม่ได้คิดไปเอง เกือบได้เป็นดาราแล้วด้วยนะ แต่แม่ไม่สนับสนุน😅 การันตีด้วยสายสะพาย/ถ้วยรางวัล และตำแหน่งต่างๆที่ได้จากการเดินสายประกวดมาตั้งแต่เด็ก
ส่วนตัวเราก็จะถูกเปรียบเทียบกับพี่สาวอยู่เสมอ ในทำนองว่า "มันมีพี่สาวสวยระดับนางงาม หน้ารูปไข่ จมูกโด่ง ลงตัวไปหมด
แต่ทำไมน้องมันถึงได้ตัวดำ ดั้งแบน หาความสวยไม่เจอ พี่น้องท้องเดียวกันแน่นะ 555"
จะว่าไปแล้ว เราก็เหมือนคนมีกรรมจริงๆล่ะ เกิดมาบนโลกพร้อมสภาพที่ผิดปกติ ตอนยังเล็กมีอาการชักบ่อยๆ พอโตขึ้นมาหน่อย ก็เริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ มักจะมีอาการเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัวอยู่เป็นประจำ เฉลี่ยมีอาการวันนึงไม่ต่ำกว่าสองครั้ง สมัยเรียน ม.ต้น มีอาการหนักมากถึงขั้นน้ำลายไหลไม่รู้ตัว บางครั้งปัสสาวะราดเลย
คือมันไม่รู้ตัวเลยจริงๆว่าตัวเองเป็นยังไงบ้าง จนกว่าเวลาจะผ่านไป 10-15นาที พอรู้สึกตัว เพื่อนๆถึงได้เล่าให้ฟ้งว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนในครอบครัวรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ แต่ด้วยความที่ฐานะบ้านฉันไม่ได้ร่ำรวย แม่จึงปล่อยตามมีตามเกิด ไม่ได้พาไปหาหมอ จนกระทั่งวันที่เราต้องเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย เริ่มเป็นสาว เริ่มมีความอาย
ไม่อยากมีอาการแบบนี้ต่อหน้าใครอีก เราจึงหาทางรักษาโรคประหลาดนี้ด้วยตัวเอง ในที่สุดก็ได้รับการตรวจกับแพทย์เฉพาะทาง และได้ทราบผลว่า ตัวเองเป็นโรคลมชัก! สายหนึ่งของโรคลมบ้าหมูนั่นล่ะ ช่วงนั้นเราต้องทานยาตลอด (วันละสี่ครั้ง...หลังอาหาร3มื้อและก่อนนอน) เราใช้ชัวิตอยู่ด้วยความหวัง หลังจากที่คุณหมอบอกว่า เรายังมีโอกาสที่จะหายชักแบบ100%ได้นะ หากได้รับการผ่าตัดสมอง!!!
ลำพังครอบครัวของเรา คงไม่มีทางหาเงินมากมายมาเป็นค่ารักษาได้หรอกค่ะ โชคดีที่สมัยนั้นทางรพ.จุฬาลงกรณ์ รับเราไว้เป็นคนไข้ในโครงการฯ ได้สิทธิ์ผ่าตัดฟรี เนื่องจากเราเป็นเคสพิเศษที่ตรวจพบความผิดปกติของเนื้องอกที่สมองในตำแหน่งที่ไม่เหมือนคนไข้คนอื่นๆ พูดง่ายๆคือเราได้เป็นเคสกรณีศึกษาสำหรับนักศึกษาแพทย์ที่ต้องมาฝึกงานที่รพ.ในสมัยนั้น
เราตัดสินใจตอบรับเข้าโครงการฯทันทีที่คุณหมอถาม ด้วยความคิดในตอนนั้นคือ อยากหายเป็นปกติ ไม่รู้สึกกลัวการผ่าตัดเลย ตายเป็นตาย... เพราะในตอนนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความทรมานเหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว มันจึงไม่มีอะไรจะเสีย ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของคนรอบข้าง ทุกคนห้ามเราไม่ให้ผ่าตัด เพราะกลัวว่าหลังผ่าตัดเราอาจจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือกลัวว่าเราจะต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา
แต่สุดท้ายเราก็ตอบตกลงที่จะรับการผ่าตัด ไม่ฟังคำห้ามของใคร ความรู้สึกตอนนั้นคืออย่างน้อยก็ยังพอมีหวังที่จะหาย ดีกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งผลปรากฏว่าการผ่าตัดประสบผลสำเร็จ เราหายขาดจากอาการชักแบบ100% เหมือนได้ชีวิตใหม่ แต่ต้องแลกกับความสูญเสียบางอย่าง คือเรารู้สึกได้ว่า "ความจำบางส่วนหายไป"
รู้สึกว่าตัวเองหลงลืมเกี่ยวกับเรื่องในอดีตบางเรื่อง มันคิดไม่ได้...นึกไม่ออกเลย พอได้ปรึกษาหมอแล้วท่านบอกว่ามันเป็นเอฟเฟ็กต์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในคนไข้บางเคส อืมมม ช่างเถอะ! ถึงฉันจะต้องสูญเสียความทรงจำในเรื่องบางเรื่องไป และมีอาการหลงๆลืมๆไปบ้าง แต่ก็แลกกับความสบายใจในการที่ได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติ ไม่ต้องมีอาการชักอีกแล้ว...เราว่ามันคุ้มมากเลย ที่ไม่ต้องไปนั่งเหม่อบนถนน/ เดินไปแบบไม่รู้ตัวกลางทาง ไม่ต้องปัสสาวะราดหรือทำอะไรแปลกๆในขณะที่ชัก/ไม่รู้ตัว
ในช่วงนั้นพี่สาวได้แยกครอบครัวออกไปอยู่กับสามีแล้ว ส่วนแม่...ได้สามีใหม่ และมีลูกด้วยกันคนนึง เป็นผู้ชาย...แน่ล่ะ แม่ทั้งรักทั้งหลงเพราะเป็นลูกชายคนเดียว รักมากดั่งหัวแก้วหัวแหวน เป็นลูกหลงที่เกิดในช่วงเวลาที่อายุมากแล้ว แม่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีลูกได้อีก
เวลาผ่านไป...เราเรียนจบระดับมหาวิทยาลัยและตัดสินใจไปทำงานที่โรงแรมในภาคใต้ ทำอยู่ได้แค่ประมาณสองปี ช่วงนั้นเริ่มมีข่าวเรื่องสึนามิที่เกิดขึ้นทางภาคใต้ และเป็นจังหวะเดียวกับที่พี่สาวเสียชีวิตพอดี แม่เลยโทรตาม สั่งให้เราลาออกจากงานรีเซฟชั่นที่ทำอยู่ และกลับมาหางานทำในกรุงเทพ
ในที่สุดก็ต้องกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กทม. หางานทำใหม่อีกครั้งในวัย30
กลับมารอบนี้แม่เลิกกับพ่อเลี้ยงแล้ว ไม่นานก็มีสามีใหม่อีก คนนี้พีคมาก...เพราะอายุรุ่นน้องเรา ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย อายุมากกว่าน้องชายเพียงไม่กี่ปี เราไม่ค่อยถูกชะตากับพ่อเลี้ยงรุ่นลูกคนนี้สักเท่าไร ด้วยความเชื่อที่ว่าคนวัยนี้หรอ ที่จะรักและจริงใจกับผู้หญิงสูงวัย อายุรุ่นแม่ตัวเอง ไปหาภรรยาวัยรุ่นสาวๆไม่ดีกว่าหรือ? คิดจะมาหลอกแม่เราหรือเปล่า?? คิดดูนะ...แม่เราเกิดพ.ศ.2499 ส่วนสามีคนล่าสุดอายุน้อยกว่าน้องชายเรา
เท่ากับว่าอายุห่างกับแม่ ไม่ต่ำกว่า 30 ปี
อายุน้อยกว่าเราด้วยซ้ำ เราต่อต้านเต็มที่ เพราะรู้สึกว่าเด็กวัยรุ่นคนนี้แปลกๆ ต้องการอะไรจากแม่เรากันแน่??? กลายเป็นว่าเรากับแม่ต้องมีปัญหา ทะเลาะกันบ่อยมาก
เราผิดด้วยหรอที่เป็นห่วงเขา แต่แม่ไม่เคยรักษาน้ำใจเราเลย ด่าเราด้วยคำหยาบคาย
ใช้สรรพนามเปลี่ยนไปเป็น กู- ในขณะที่เวลาคุยกับสามีใหม่ เรียก "เค้า-ตัวเอง"
เป็นแบบนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
เราตกงานอยู่เป็นปี โดนแม่ด่าแทบทุกวัน (หาว่าเลือกงาน) ทะเลาะกันทุกวัน จนเราทนไม่ไหว เก็บของออกจากบ้านไปขออาศัยนอนห้องเพื่อน และหางานได้ในที่สุด
กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนน้องเรียนจบ ได้ทำงานด้านไฟฟ้า เป็นที่ภูมิใจของแม่ เจอใครก็ต้องพูดประโยคเดิมๆ "ลูกชายคนนี้มันเก่ง นี่ได้ทำงานไฟฟ้าละ เงินเดือนหลายหมื่น!!!" เป็นประโยคที่ได้ยินแทบทุกครั้งที่แม่สนทนากับคนรอบตัว
เป็นแบบนี้มาจนถึงปัจจุบัน...ทุกวันนี้แม่ยังคงคุยกับเราด้วยสรรพนาม กู-
คุยกับพ่อเลี้ยงคนปัจจุบันว่า เค้า-ตัวเอง
คุยกับน้องชายว่า แม่-ลูก
เรื่องราวก็ประมาณนี้...เราไม่มีความสุขเลย อยากไปหาเช่าห้องอยู่ที่อื่นเพื่อตัดปัญหา จะได้ไม่ต้องบาปเวลาทะเลาะกับแม่
แต่ยังหาทางไปไม่ได้สักที
เพื่อนๆคิดว่าเราบาปไหมที่รู้สึกเฉยๆ
ไม่รู้สึกรักแม่เลย มันหลอกตัวเองไม่ลงจริงๆ กับสิ่งที่แม่แสดงออกกับเรา แม่เกลียดเรามากจริงๆ แม้เราจะพยายามเข้าหา ปีใหม่ สงกรานต์ อยากจะล้างเท้าแม่เพื่อเป็นสิริมงคลเหมือนคนอื่นบ้าง แต่คำตอบที่ได้คือ
"อย่าปัญญาอ่อน /ไร้สาระ/ ล้างกูแล้วจะดีขึ้นหรือไง มันทำให้รวยขึ้นมั้ย หรือทำให้ถูกรางวัลที่1หรือเปล่า?"
ที่ผ่านมาเราเข้าใจถูกแล้วใช่ไหมว่าแม่ไม่ได้รักเราเลยสักนิด
เราจะบาปไหมถ้าจะแยกไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับแม่อีก
เป็นไปได้ไหม ที่แม่จะเกลียดลูกในไส้ของตัวเอง... ถ้าเป็นคุณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
เราสมัครเป็นสมาชิกเว็บพันทิป เพราะอยากรู้ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ว่า ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเรา คุณจะรู้สึกเหมือนกันไหม /จะมีทางออกอย่างไร ในสภาพความเป็นจริงที่มีข้อจำกัด ในขณะที่เราไม่มีทางเลือกเลย!
กระทู้ยาวมากเหมือนนิยาย แต่นี่คือชีวิตจริง
...ก่อนอื่นขอเล่าประวัติส่วนตัวย้อนหลังสักหน่อย
📌คำถามอยู่ที่ย่อหน้าสุดท้ายเลยค่ะ
เราเป็นลูกคนกลาง มีพี่สาวแท้ๆ1คน และมีน้องชายต่างพ่อ1คน เรามีปมด้อยมาตั้งแต่เกิด ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ขี่เหร่ แถมด้วยโรคประจำตัวที่ติดมาตั้งแต่เกิด
สาเหตุเหล่านี้ ทำให้เราเป็นคนขี้อาย และขาดความมั่นใจในตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆละ
เท่าที่จำความได้ เราจะถูกญาติพี่น้องและคนรอบตัวเปรียบเทียบกับพี่สาวอยู่เสมอๆ
(ต้องบอกก่อนว่าพี่สาวเป็นคนที่สวยมาก... สวยจริงๆไม่ได้คิดไปเอง เกือบได้เป็นดาราแล้วด้วยนะ แต่แม่ไม่สนับสนุน😅 การันตีด้วยสายสะพาย/ถ้วยรางวัล และตำแหน่งต่างๆที่ได้จากการเดินสายประกวดมาตั้งแต่เด็ก
ส่วนตัวเราก็จะถูกเปรียบเทียบกับพี่สาวอยู่เสมอ ในทำนองว่า "มันมีพี่สาวสวยระดับนางงาม หน้ารูปไข่ จมูกโด่ง ลงตัวไปหมด
แต่ทำไมน้องมันถึงได้ตัวดำ ดั้งแบน หาความสวยไม่เจอ พี่น้องท้องเดียวกันแน่นะ 555"
จะว่าไปแล้ว เราก็เหมือนคนมีกรรมจริงๆล่ะ เกิดมาบนโลกพร้อมสภาพที่ผิดปกติ ตอนยังเล็กมีอาการชักบ่อยๆ พอโตขึ้นมาหน่อย ก็เริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ มักจะมีอาการเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัวอยู่เป็นประจำ เฉลี่ยมีอาการวันนึงไม่ต่ำกว่าสองครั้ง สมัยเรียน ม.ต้น มีอาการหนักมากถึงขั้นน้ำลายไหลไม่รู้ตัว บางครั้งปัสสาวะราดเลย
คือมันไม่รู้ตัวเลยจริงๆว่าตัวเองเป็นยังไงบ้าง จนกว่าเวลาจะผ่านไป 10-15นาที พอรู้สึกตัว เพื่อนๆถึงได้เล่าให้ฟ้งว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนในครอบครัวรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ แต่ด้วยความที่ฐานะบ้านฉันไม่ได้ร่ำรวย แม่จึงปล่อยตามมีตามเกิด ไม่ได้พาไปหาหมอ จนกระทั่งวันที่เราต้องเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย เริ่มเป็นสาว เริ่มมีความอาย
ไม่อยากมีอาการแบบนี้ต่อหน้าใครอีก เราจึงหาทางรักษาโรคประหลาดนี้ด้วยตัวเอง ในที่สุดก็ได้รับการตรวจกับแพทย์เฉพาะทาง และได้ทราบผลว่า ตัวเองเป็นโรคลมชัก! สายหนึ่งของโรคลมบ้าหมูนั่นล่ะ ช่วงนั้นเราต้องทานยาตลอด (วันละสี่ครั้ง...หลังอาหาร3มื้อและก่อนนอน) เราใช้ชัวิตอยู่ด้วยความหวัง หลังจากที่คุณหมอบอกว่า เรายังมีโอกาสที่จะหายชักแบบ100%ได้นะ หากได้รับการผ่าตัดสมอง!!!
ลำพังครอบครัวของเรา คงไม่มีทางหาเงินมากมายมาเป็นค่ารักษาได้หรอกค่ะ โชคดีที่สมัยนั้นทางรพ.จุฬาลงกรณ์ รับเราไว้เป็นคนไข้ในโครงการฯ ได้สิทธิ์ผ่าตัดฟรี เนื่องจากเราเป็นเคสพิเศษที่ตรวจพบความผิดปกติของเนื้องอกที่สมองในตำแหน่งที่ไม่เหมือนคนไข้คนอื่นๆ พูดง่ายๆคือเราได้เป็นเคสกรณีศึกษาสำหรับนักศึกษาแพทย์ที่ต้องมาฝึกงานที่รพ.ในสมัยนั้น
เราตัดสินใจตอบรับเข้าโครงการฯทันทีที่คุณหมอถาม ด้วยความคิดในตอนนั้นคือ อยากหายเป็นปกติ ไม่รู้สึกกลัวการผ่าตัดเลย ตายเป็นตาย... เพราะในตอนนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความทรมานเหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว มันจึงไม่มีอะไรจะเสีย ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของคนรอบข้าง ทุกคนห้ามเราไม่ให้ผ่าตัด เพราะกลัวว่าหลังผ่าตัดเราอาจจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือกลัวว่าเราจะต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา
แต่สุดท้ายเราก็ตอบตกลงที่จะรับการผ่าตัด ไม่ฟังคำห้ามของใคร ความรู้สึกตอนนั้นคืออย่างน้อยก็ยังพอมีหวังที่จะหาย ดีกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งผลปรากฏว่าการผ่าตัดประสบผลสำเร็จ เราหายขาดจากอาการชักแบบ100% เหมือนได้ชีวิตใหม่ แต่ต้องแลกกับความสูญเสียบางอย่าง คือเรารู้สึกได้ว่า "ความจำบางส่วนหายไป"
รู้สึกว่าตัวเองหลงลืมเกี่ยวกับเรื่องในอดีตบางเรื่อง มันคิดไม่ได้...นึกไม่ออกเลย พอได้ปรึกษาหมอแล้วท่านบอกว่ามันเป็นเอฟเฟ็กต์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในคนไข้บางเคส อืมมม ช่างเถอะ! ถึงฉันจะต้องสูญเสียความทรงจำในเรื่องบางเรื่องไป และมีอาการหลงๆลืมๆไปบ้าง แต่ก็แลกกับความสบายใจในการที่ได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติ ไม่ต้องมีอาการชักอีกแล้ว...เราว่ามันคุ้มมากเลย ที่ไม่ต้องไปนั่งเหม่อบนถนน/ เดินไปแบบไม่รู้ตัวกลางทาง ไม่ต้องปัสสาวะราดหรือทำอะไรแปลกๆในขณะที่ชัก/ไม่รู้ตัว
ในช่วงนั้นพี่สาวได้แยกครอบครัวออกไปอยู่กับสามีแล้ว ส่วนแม่...ได้สามีใหม่ และมีลูกด้วยกันคนนึง เป็นผู้ชาย...แน่ล่ะ แม่ทั้งรักทั้งหลงเพราะเป็นลูกชายคนเดียว รักมากดั่งหัวแก้วหัวแหวน เป็นลูกหลงที่เกิดในช่วงเวลาที่อายุมากแล้ว แม่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีลูกได้อีก
เวลาผ่านไป...เราเรียนจบระดับมหาวิทยาลัยและตัดสินใจไปทำงานที่โรงแรมในภาคใต้ ทำอยู่ได้แค่ประมาณสองปี ช่วงนั้นเริ่มมีข่าวเรื่องสึนามิที่เกิดขึ้นทางภาคใต้ และเป็นจังหวะเดียวกับที่พี่สาวเสียชีวิตพอดี แม่เลยโทรตาม สั่งให้เราลาออกจากงานรีเซฟชั่นที่ทำอยู่ และกลับมาหางานทำในกรุงเทพ
ในที่สุดก็ต้องกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กทม. หางานทำใหม่อีกครั้งในวัย30
กลับมารอบนี้แม่เลิกกับพ่อเลี้ยงแล้ว ไม่นานก็มีสามีใหม่อีก คนนี้พีคมาก...เพราะอายุรุ่นน้องเรา ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย อายุมากกว่าน้องชายเพียงไม่กี่ปี เราไม่ค่อยถูกชะตากับพ่อเลี้ยงรุ่นลูกคนนี้สักเท่าไร ด้วยความเชื่อที่ว่าคนวัยนี้หรอ ที่จะรักและจริงใจกับผู้หญิงสูงวัย อายุรุ่นแม่ตัวเอง ไปหาภรรยาวัยรุ่นสาวๆไม่ดีกว่าหรือ? คิดจะมาหลอกแม่เราหรือเปล่า?? คิดดูนะ...แม่เราเกิดพ.ศ.2499 ส่วนสามีคนล่าสุดอายุน้อยกว่าน้องชายเรา
เท่ากับว่าอายุห่างกับแม่ ไม่ต่ำกว่า 30 ปี
อายุน้อยกว่าเราด้วยซ้ำ เราต่อต้านเต็มที่ เพราะรู้สึกว่าเด็กวัยรุ่นคนนี้แปลกๆ ต้องการอะไรจากแม่เรากันแน่??? กลายเป็นว่าเรากับแม่ต้องมีปัญหา ทะเลาะกันบ่อยมาก
เราผิดด้วยหรอที่เป็นห่วงเขา แต่แม่ไม่เคยรักษาน้ำใจเราเลย ด่าเราด้วยคำหยาบคาย
ใช้สรรพนามเปลี่ยนไปเป็น กู- ในขณะที่เวลาคุยกับสามีใหม่ เรียก "เค้า-ตัวเอง"
เป็นแบบนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
เราตกงานอยู่เป็นปี โดนแม่ด่าแทบทุกวัน (หาว่าเลือกงาน) ทะเลาะกันทุกวัน จนเราทนไม่ไหว เก็บของออกจากบ้านไปขออาศัยนอนห้องเพื่อน และหางานได้ในที่สุด
กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนน้องเรียนจบ ได้ทำงานด้านไฟฟ้า เป็นที่ภูมิใจของแม่ เจอใครก็ต้องพูดประโยคเดิมๆ "ลูกชายคนนี้มันเก่ง นี่ได้ทำงานไฟฟ้าละ เงินเดือนหลายหมื่น!!!" เป็นประโยคที่ได้ยินแทบทุกครั้งที่แม่สนทนากับคนรอบตัว
เป็นแบบนี้มาจนถึงปัจจุบัน...ทุกวันนี้แม่ยังคงคุยกับเราด้วยสรรพนาม กู-
คุยกับพ่อเลี้ยงคนปัจจุบันว่า เค้า-ตัวเอง
คุยกับน้องชายว่า แม่-ลูก
เรื่องราวก็ประมาณนี้...เราไม่มีความสุขเลย อยากไปหาเช่าห้องอยู่ที่อื่นเพื่อตัดปัญหา จะได้ไม่ต้องบาปเวลาทะเลาะกับแม่
แต่ยังหาทางไปไม่ได้สักที
เพื่อนๆคิดว่าเราบาปไหมที่รู้สึกเฉยๆ
ไม่รู้สึกรักแม่เลย มันหลอกตัวเองไม่ลงจริงๆ กับสิ่งที่แม่แสดงออกกับเรา แม่เกลียดเรามากจริงๆ แม้เราจะพยายามเข้าหา ปีใหม่ สงกรานต์ อยากจะล้างเท้าแม่เพื่อเป็นสิริมงคลเหมือนคนอื่นบ้าง แต่คำตอบที่ได้คือ
"อย่าปัญญาอ่อน /ไร้สาระ/ ล้างกูแล้วจะดีขึ้นหรือไง มันทำให้รวยขึ้นมั้ย หรือทำให้ถูกรางวัลที่1หรือเปล่า?"
ที่ผ่านมาเราเข้าใจถูกแล้วใช่ไหมว่าแม่ไม่ได้รักเราเลยสักนิด
เราจะบาปไหมถ้าจะแยกไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับแม่อีก