เรื่องเล่าจากครั้งอดีตตอนที่ผมต้องวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตในสนามบิน เพื่อไปให้ทันการเซ็นรับทุนเรียนต่อตปท.

ช่วงค่ำของวันอังคารหนึ่งในปี 2018 เราได้รับข้อความผ่านไลน์

“พรุ่งนี้ต้องไปเซ็นสัญญารับทุนไปศึกษาต่อป.โทที่ไต้หวันที่สถานทูตตอนสิบเอ็ดนาฬิกา”
นั่นคือใจความที่เราจับได้จากข้อความที่ส่งมาหาเราโดยเพื่อนใหม่คนหนึ่ง เพื่อนที่เพิ่งได้รับทุนป.โทสำหรับไปเรียนต่อที่ไต้หวันเหมือนกัน

ถ้าเป็นคนปกติ เมื่อเห็นข้อความแบบที่กล่าวไปข้างต้น ก็คงจะยิ้มในใจนิดๆ พร้อมนึกว่า ในที่สุดวันเซ็นสัญญารับทุนที่รอคอยก็มาถึงสักที อุตส่าห์ฝ่าความยากลำบากในการเขียน Statement of Purpose ขอหนังสือรับรองจากครูบาอาจารย์ ฝ่าการสัมภาษณ์ และลุ้นผลทุนมาตั้งนาน หลังจากนึกได้ดังนั้นก็อาจไปอาบน้ำอย่างสบายๆ โทรไปบอกหัวหน้าว่าจะลางานครึ่งวัน แล้วตั้งนาฬิกาปลุกพร้อมเชคเงินในบัตรแรบบิทนิดๆ ว่ายังมีเงินพอให้เดินทางไปถึงสถานทูต (หรือที่เรียกว่าอย่างเป็นทางการว่าสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป) ไหม จากนั้นจึงเข้านอนแต่หัวค่ำพร้อมรอคอยวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง

แต่เราในตอนนั้นกลับมีแต่ความว้าวุ่นใจอยู่เต็มอก!

ทำไมน่ะเหรอ...หึหึ...เพราะเราในตอนนั้นกำลังยืนเหงื่อท่วมอยู่ในยิมแห่งหนึ่ง และยิมแห่งนั้นตั้งอยู่ในห้างที่ชื่อว่า Megamall และแน่นอน ไอ้ Megamall ที่ว่าเนี่ย มันไม่ใช่ห้างในกรุงเทพ มันคือห้างแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในย่านที่ชื่อว่า Ortigas ของเมืองแห่งหนึ่งที่ชื่อว่ากรุงมะนิลา

กรุงมะนิลาตั้งอยู่ในประเทศฟิลิปินส์ แล้วเมืองแห่งเนี้ย มันอยู่ห่างจากกทม. ถึง 2,200 กิโลเมตร!

มองไปที่นาฬิกา ขณะนั้นเป็นเวลาสามทุ่ม “เราจะไปทันไหมวะ” คือประโยคแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว หลังจากตั้งสติได้สักพักหนึ่งก็ตระหนักถึงสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับหนึ่ง สอง และสามได้ ทั้งหมดถูกเรียบเรียงอยู่ในห้วงความคิดเล็กๆ ขณะนั้น

สิ่งแรกที่เราทำเลยคือการส่งเมลล์ไปหาเจ้าหน้าที่ บอกว่าให้ติดต่อเราทางอีเมลหรือไลน์แทน (เพราะไม่น่าจะโทรหาผ่านเบอร์ไทยติด) พร้อมบอกเขาด้วยว่าตอนนี้ อยู่มะนิลา จะพยายามหาไฟลท์กลับไป น่าจะทัน

สิ่งที่เราทำเป็นอันดับที่สองเลยคือ สไกป์ไปบอกหัวหน้าว่าจะลางานพรุ่งนี้เป็นต้นไป และไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาวันไหนเพราะคิดว่าหลังจากเซ็นสัญญาแล้วจะอยู่ทำวีซ่าเลยสักสัปดาห์หนึ่ง

ขณะนั้นเราทำงานอยู่ในบริษัทระดับ MNC แห่งหนึ่งที่ย่านออร์ติกัส ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมการให้ข้อมูลข่าวสารด้านเศรษฐกิจครับ ตอนนั้นเราทำงานที่นั่นได้เกือบครบสองปีแล้ว แน่นอนว่าถ้าเป็นบริษัทระดับ MNC ปกติ การลางานกะทันหันเป็นเวลาสัปดาห์ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่ากระทำมาก แต่โชคดีที่บริษัทที่เราทำงานอยู่ตอนนั้นเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับพนักงานสุดๆ (และน่าจะเป็นบริษัทที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชีวิตนี้) หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเราสนับสนุนเรื่องการสมัครทุนของเราอย่างเต็มที่มาตั้งแต่ก่อนที่เราจะตัดสินใจเรียนต่อป.โทด้วยซ้ำ เอชอาร์เองก็สนับสนุนเราในเรื่องนี้เหมือนกัน ฉะนั้นเราจึงลางานได้อย่างไม่ยากเย็นนัก (ตอนเราได้ทุนทุกคนก็ร่วมยินดีกับเราทั้งแผนกอย่างจริงจัง) หัวหน้าให้ไฟเขียว แล้วบอกให้เราโชคดี

สิ่งที่เราต้องทำในตอนนั้นเป็นอันดับสามเลยคือ การหาตั๋วเครื่องบินให้ได้!

ขณะนั้นเรายังมีความโง่เขลาตามช่วงวัยอย่างหนึ่ง คือจองตั๋วผ่านอินเทอร์เน็ตไม่เป็น ด้วยความร้อนรน เราก็นึกได้ว่าทางที่ง่ายที่สุดที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินได้ตอนนั้น คือการไปชั้นบนสุดของห้างซึ่งเป็นชั้นที่รวบรวมเคาน์เตอร์ของสายการบินทุกสาย (ห้างเมก้ามอลล์เป็นห้างที่ใหญ่มาก นอกจากแหล่งรวมที่จองตั๋วเครื่องบิน ชั้นบนสุดนั้นยังมีลานสเกตน้ำแข็ง สนามยิงเลเซอร์แท็ก และสนามยิงธนูด้วย เอากะเค้าสิ) เราพาร่างตัวเองที่เหงื่อท่วมจากยิมวิ่งขึ้นไปชั้นบนสุดอย่างไม่คิดชีวิต จนไปถึงหน้าเคาน์เตอร์สายการบินสักแห่ง ขณะที่เรากำลังจะเดินเข้าไปในสำนักงานนั่นเอง ก็ระลึกขึ้นมาได้ว่า

เฮ้ย ไม่มีพาสปอร์ตนี่หว่า! (แหงล่ะ ใครมันจะบ้าพกพาสปอร์ตติดตัวไปยิม)

หรือเราจะรีบวิ่งกลับไปเอาพาสปอร์ตที่บ้านแล้ววิ่งกลับมาจองตั๋วเครื่องบินที่นี่ดี? ไม่ๆ แบบนั้นไม่ทันแน่ ถ้าสำนักงานของสายการบินไม่ปิดก่อนกลับมาถึง ห้างก็น่าจะปิด ระยะทางจากห้องเรามาที่เมก้ามอลล์อาจจะเป็นระยะที่เดินได้ แต่เดินไปกลับอย่างเร่งรีบยังไงก็ไม่น่ากลับมาทัน

งั้นมีทางเดียวคือการรีบกลับบ้านไปอาบน้ำซะ แล้วรีบจับแท็กซี่ไปสนามบินเพื่อซื้อตั๋วที่นั่นซะเลย!

เรารีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตกลับบ้านไปอาบน้ำ (ยังไงก็ต้องอาบ ต่อให้รีบแค่ไหนก็ตาม) เสร็จแล้วก็ออกมาเดินดุ่มๆทั้งย่านเพื่อหาแท็กซี่ พอหาแท็กซี่ได้ก็บอกเทอร์มินัลของสนามบินที่ต้องไปอย่างชำนาญ (เพราะกลับไทยไปสองรอบแล้วตอนสมัคร+สัมภาษณ์)

พอไปถึงสนามบินตอนเกือบๆ ห้าทุ่มก็ดันเข้าไปในสนามบินไม่ได้อีก เพราะการรักษาความปลอดภัยของทุกที่ในมะนิลาจะเข้มงวดครับ (รู้ไหมว่ายามของห้างเมก้ามอลล์ถือปืนลูกซองพร้อมมีหมาโกลเด้นอีกตัวเป็นอาวุธ) ปกติก่อนเข้าสนามบินยามจะตรวจตั๋วเลยว่าจะมาบินจริงไหม หรือมาส่งเพื่อนที่จะบินหรือเปล่า แต่ตอนนั้นไม่มีตั๋ว และแน่นอนเราจะบินเอง ก็คุยกับยามอยู่พักหนึ่งกว่าจะรู้ว่าถ้าจะมาซื้อตั๋วต้องเข้าไปประตูอีกด้านหนึ่ง ซึ่งจะเป็นบริเวณขายตั๋วโดยเฉพาะ 

เดชะบุญที่มีตั๋วไฟลท์บินหกนาฬิกาพรุ่งนี้พอดี เวลามะนิลาเดินช้ากว่าไทยชั่วโมงหนึ่ง และไฟลท์บินจากไทยถึงมะนิลาใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง นั่นหมายความว่า ถ้าเราออกไฟลท์หกนาฬิกา เราน่าจะถึงไทยแปดนาฬิกาเวลาท้องถิ่น เวลาเหลือเฟือ ค่อยๆ นั่งรถไฟฟ้าและแวะกินโจ๊กที่ไทยรอก็ยังทัน!

เราเลยงีบหลับอย่างสบายอารมณ์รอไฟล์ทออก...ซะที่ไหนล่ะ ก็ตื่นเต้นมันทั้งคืนจนนอนไม่หลับเหมือนครั้งที่ต้องบินกลับไทยไปสัมภาษณ์+ส่งใบสมัครนั่นแหละครับ

เราเลยไปซื้อหมอนอิงนอนบนเครื่องอันหนึ่ง กะว่าจะเอาไปงีบหลับบนเครื่องขณะบินอยู่

และแล้วไฟลท์ก็ออกตรงตามเวลาแล้วเราก็ได้งีบหลับบนเครื่องอย่างสบายใจ...ซะที่ไหนล่ะ! ไฟลท์ดีเลย์ไปชั่วโมงหนึ่ง ตามประสาเครื่องบินใน Ninoy Aquino Airport นั่นแหละ ได้ออกจริงเจ็ดโมงเช้าเวลามะนิลา! ถึงไทยอย่างเร็วสุดก็เก้าโมง นี่นั่งระส่ำระส่ายบนเครื่องมาก ไม่รู้จะผ่านตม.แล้วนั่งแอร์พอร์ธลิ้ง + บีทีเอสไปทันไหม

ตอนที่ได้ลงจากเครื่องนี่ สิ่งแรกที่ทำคือรีบเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเป็นเชิทกับสแล็ค พอเปลี่ยนเสร็จปุ๊ป หันไปมองกระจก อ้าว ไอ้หมอนอิงบนเครื่องบินยังเหน็บอยู่ที่หัวนี่หว่า เอาเหน็บไปอย่างนี้ถึงสถานทูตไม่ได้แน่ กระเป๋าก็เอามาแค่เป้ใบเดียว (เพราะกะจะมาใช้เสื้อผ้าที่คอนโดของครอบครัวอยู่แล้ว) ไม่มีที่เก็บ เลยทิ้งที่ถังขยะสนามบินตรงนั้นเลย (เป็นหมอนที่ใช้งานได้สั้นมาก ไม่รักษ์โลกเลย)

หลังจากออกมาจากห้องน้ำแล้วก็วิ่งๆ แล้วก็นึกถึงฉากที่วิล สมิธวิ่ง ตอนไลล่าคนที่ขโมยอุปกรณ์การแพทย์ของตัวเองในหนังเรื่อง The pursuit of happyness ที่วิลพูดว่า “This part of my life… this part here… is called running” ประมาณนั้นเลย พร้อมกับบ่นไปด้วยว่าทำไมทางวิ่งในสนามบินสุวรรณภูมิมันกว้างจังวะ

แต่โชคเข้าข้าง เพราะตอนนั้นเราเกือบลืมไปเลยว่า สำหรับคนไทยที่กลับไทยผ่านสนามบินสุวรรณภูมิอ่ะ ไม่ต้องต่อแถวตม.ให้ยุ่งยาก แต่มี Express lane เอาพาสปอร์ตแตะ แสกนหน้า แล้วออกไปได้เลย!

สรุปวันนั้นก็เลยไปทันสิบเอ็ดนาฬิกาพอดีเป๊ะ แล้วหลังจากนั้นมาก็เป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิตในการเรียนป.โทที่ไต้หวันอันสุขเศร้าเคล้าน้ำตาเป็นเวลาสองปีของเรานี่แหละครับ จนถึงตอนนี้ผมก็เรียนจบเรียบร้อยละ แต่วันนั้นคงเป็นวันหนึ่งในชีวิตที่วิ่งเยอะมากจริงๆ
แต่จริงๆวันนั้นน่ะ ต่อให้ไปไม่ทันจริงๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะผมส่งเอกสารที่เซ็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ไปให้ทางเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ก่อนเครื่องออกละ (แฮ่ ลุ้นตามมาตั้งนานใช่ไหมล่ะ แต่ยังไงการรับทุนไปเซ็นกับตัวเองก็ชัวร์กว่าจริงๆนั่นแหละครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่