ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก มีเพื่อนสนิทอยู่สองคน ชื่อไอ้โตกับไอ้พร
ซึ่งเรามีบ้านอยู่ในชุมชนรอบวัด ในยุคที่ถนนหนทางยังเป็นลูกรัง
ไฟฟ้าพึ่งมาถึงตอนผมโตแล้ว ซึ่งเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ขาดการพัฒนาในทุกด้าน
ต่อมาครอบครัวของผมได้ย้ายไปอยู่ในเมือง ทำให้ผมไม่ได้เจอหน้าเพื่อนๆ อีกเลย
จนกระทั่งยี่สิบปีต่อมา ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมญาติ ถือโอกาสนี้มาพบเพื่อนเก่าด้วย
ที่แต่ละคนคงจะมีครอบครัว หรือไม่ก็เป็นหนุ่มโสดคงทนเหมือนผม
ผมเดินทางมาถึงในตอนเย็นวันนั้น สิ่งแรกคือไปเรียกเพื่อนที่บ้าน แต่ไม่พบใคร
คนในบ้านบอก ยังไม่กลับจากทำงานเลย จึงขี่รถออกไปหาซื้อของใช้ส่วนตัว
คิดว่าช่วงค่ำคงได้เจอหน้า แต่ไปเจอไอ้โตกับไอ้พรแถวร้านค้านั่นเอง
เห็นกำลังนั่งดื่มเหล้าขาวบนแคร่ใต้ต้นมะม่วง
อีกฝั่งคือมินิมาร์ทประจำหมู่บ้าน อันมีของขายมากมาย ตั้งแต่ของใช้ประจำวัน
ขนมของขบเคี้ยวห้อยไว้รุงรังเข้าไว้ รวมไปถึงปุ๋ย ยาฆ่าแมลง
ด้านนอกมีปั๊มหลอด ร้านซ่อมรถ แต่ร้านเด่นเป็นจุดรวมคนวัยทำงาน คือร้านเหล้าชื่อร้านน้องพิม
พอทั้งสองคนเห็นผม แรกทำหน้าสงสัยอยู่ตงิดๆ
ไอ้หนุ่มเสื้อสะอาด ผิวบาง ราศีเหมือนคนเมืองเหมือนคนคุ้นหน้า
เมื่อผมยิ้มให้ ก็ร้องอ๋อ พากันกวักมือเรียกผมกันใหญ่
ผมเองก็ลุ้นเหมือนกัน สองคนนี้จะจำเพื่อนเก่าอย่างผมได้ไหม
สมัยเด็กผมอาจดูแหยๆ ไม่สู้คนในสายตาเพื่อน มันก็เป็นทั้งข้อเสียและข้อดี
เพราะเป็นคนสอนง่าย ไม่ดื้อ ไม่อวดดี ผู้ใหญ่เลยเอ็นดูผม
โดยเฉพาะหลวงตายิ่ง ตอนที่ไปบวชเณรอยู่ด้วย
นิสัยข้อนี้ทำให้ผมเรียนจบได้สูงกว่าเพื่อน ได้มีงานการที่ดี
เราได้พูดคุยกัน โตเปิดกิจการร้านซ่อมรถ
เนื้อตัวถึงได้มอมแมมไปด้วยฝุ่นและน้ำมันเครื่อง
พรยึดอาชีพเป็นคนขับรถไถและรถเกี่ยวข้าว
ชลประทานเข้ามา ทำให้ชาวนาทำนามากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี
พรมีงานทำ ส่วนโตรับงานซ่อมรถเกษตร ต่างเกื้อหนุนกันดี
ตกเย็นก็จะมานั่งสังสรรค์กันมุมนี้ประจำ โตพูดจบก็เก็บมะม่วง
ที่หล่นตามพื้นแถวนั้นมาทุบให้แตก เอามากัดกินแกล้มเหล้า
ทำเสียงซี้ดๆ ในปากจากความเปรี้ยวเข็ดฟัน
ผมฟังแล้วอึ้ง ฟังแล้วรายได้ดี มีเงินเก็บมากกว่าพนักงานกินเงินเดือนอย่างผมเสียอีก
พอเหล้าหมดขวด โตตะโกนข้ามถนนบอกน้องพิม เหล้าอีกขวด เซ็นไว้ก่อน
เพราะน้องพิมคือน้องสาวของพร ที่ผู้เป็นพี่ชายหาทุนรอนเอามาให้ทำร้าน
รายได้ก็ดี ที่ไม่ดีก็แค่ระวังพวกขี้เมา จะมาก้อร่อก้อติกน้องสาว
บทเพลงลูกทุ่งยอดฮิตในยุคหนึ่ง ที่พรไม่ชอบใจเอาเสียเลย
พวกขี้เมาชอบเอามาร้องจีบน้องสาว คือเพลง รักน้องพร
เพราะเจ้าคนร้อง ดันเติมเนื้อเข้าไปเป็น รักน้อง...ไอ้ พร
และไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน ไอ้โตนั่นเอง
“เฮ้ย กินเหล้าหน่อยสิวะไอ้แดน ไม่เห็นจะแตะเลย
ดูท่าเอ็งจะเกย์นะ บอกมาตรงๆ เถอะ เพื่อนรับได้” พรยื่นแก้วให้เชิงบังคับ
“โธ่... ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ไม่ได้เกเรเลย” ผมชิงปล่อยมุกตลก
“ไม่ช่ายย... หมายถึงเอ็งน่ะ เป็นตุ๊ด”
พรพูดลิ้นพันกัน จากฤทธิ์น้ำเมา
“เอาน้องพิม มาพิสูจน์ก็ได้นะ”
“เดี๋ยวปั๊ด ถีบตกแคร่เลย”
“ อย่าไปแหย่มัน ไอ้นี่มันหวงน้องสาวจะตาย”
ผมดื่มเหล้าพอกระษัย ไม่อยากขัดใจเพื่อน แก้วแรกรู้สึกมึนนิดหน่อย
ส่วนเพื่อนคอแข็งไม่น้อย แค่นั่งโงนเงนไม่ถึงกับตกแคร่ ตอนนี้ก็หัวค่ำ
นั่งกันมืดๆ ไม่กลัวยุง พอมองข้ามไปอีกฝั่งถนน
ร้านเปิดไฟสว่างทำให้ผิวน้องพิมขาวเจิดจ้ามาก
ผมต้องหยิบมะม่วงมากัดดังซี้ด แก้เปรี้ยวปากกันเลย
“โอ โอ๊ โอ ละ เน้อ เออ เอ่อ น้อง ไอ้ พร”
โตร้องเพลง พร้อมกับนั่งยักย้ายเอว กางปีกตีรักแร้ ไปกับทำนองเพลงดัง
“เชี้ย...บักปอบ-ตับ”
พรจะง้างเท้าถีบเพื่อนปากดี แต่ผลัดตกแคร่เสียก่อน เราสองคนหัวเราะกันงอหาย
ถึงผมจะดูแหยๆ เอาเข้าจริงๆ ก็มีบ้างเรื่องเหล้าเบียร์
รวมทั้งเรื่องเที่ยวผู้หญิงตามประสาคนโสด สายตาของผมตอนนี้ มันอดมองผิวขาวๆ
ในเสื้อกล้ามของน้องสาวเพื่อนไม่ได้
ตอนย้ายไป น้องสาวไอ้พรยังไม่ได้เกิดเลย อายุคงห่างกันมาก
ที่แปลกใจก็คือไอ้โตสมัยก่อนค่อนข้างเกเร มักเป็นหัวโจกนำเพื่อนทุกเรื่อง
นึกว่าจะเป็นนักเลงเสียอีก เท่าทีดูผิวเผิน นอกจากเรื่องเหล้ายา
งานการก็มีทำ นิสัยคงไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้
คงจะเป็นเรื่องโดนหลอกหลอนในครั้งนั้น
วิญญาณผีเฮี้ยนที่ถูกหลวงตายิ่งผูกเอาไว้ในเสาไม้ในลานวัด
แล้วสองคนนี้เกิดซนไม่เข้าเรื่อง ไปแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจนโดนดีเข้า
ผมเองตอนนั้นเป็นเณรบวชหน้าไฟ อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
พอรุ่งเช้าก็ลาสิกขา ย้ายตามพ่อแม่ไปอยู่ในเมือง
เลยไม่รู้ความคืบหน้าอาการของเพื่อนจะเป็นอย่างไร
พอผมเปลี่ยนมาคุยเรื่องนี้ จากที่เฮฮาก็พากันเงียบ
โตมีสีหน้าอึดอัด เพราะเป็นคนต้นเรื่อง
พอผมถามย้ำอีก พรจึงบอกโตให้พูดไปเถอะ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว
ยามเย็น ผมกับเพื่อนๆ มักจะไปวิ่งเล่นกันที่ลานวัดเป็นประจำตามประสาเด็ก
วัดไม่มีกำแพง นอกจากโบสถ์กับ ศาลา หอระฆัง นอกนั้นก็มีแต่ต้นไม้ปลูกไว้จนร่มครื้ม
ไม้ผลมีมากมาย มะม่วง ลำไย ออกผลมากมายให้เด็กอย่างเราได้เก็บกินเล่น
หลวงตายิ่ง ใจดี ไม่เคยหวง แต่ท่านจะห้ามอยู่เรื่องเดียว ไม่ให้ไปยุ่งพื้นที่ตอนหนึ่ง
ที่อยู่ด้านหลังกุฏิ ซึ่งผมกับเพื่อนไม่เห็นว่ามันมีอะไรแปลก นอกจากเสาไม้ที่ฝั่งไว้ต้นหนึ่ง
ต่อมาผมต้องบวชหน้าไฟให้ยายที่พึ่งเสีย พวกผู้ใหญ่ให้บวชอยู่วัดเจ็ดวัน ถึงจะให้ลาสิกขาได้
แม้บ้านจะอยู่ติดกับวัด แต่ไม่เคยเลยที่ผมจะนอนวัด
หลวงตายิ่งบอกหลังสวดมนต์ทำวัดเย็นแล้ว ให้เณรจำวัดอยู่ในกุฏิ
ถ้าปวดหนักปวดเบา ให้ไปใช้ห้องน้ำข้างศาลา เดินไกลหน่อย แต่อย่าไปใช้ห้องน้ำหลังกุฏิ
เด็กอย่างผมเลยสงสัย ทำไมให้เดินไกล เกิดอาการเจ้าหนูจำไมขึ้นมาทันที
หมายถึงเด็กตัวน้อย ที่คอยถามนู่นนี่นั่นตลอดเวลา
พอเจอถามเซ้าซี้เข้า หลวงตาเลยบอกแบบปัดๆ ไปว่า ผีมันจะทัก
ทีนี้เจ้าหนูจำไมเลยเงียบ โชคดีคืนนั้น ไม่ได้เกิดปวดหนักปวดเบา หรือจำเป็นขึ้นมา
ผมจะแอบหนีไปนอนบ้านในเมื่อใกล้กันแค่นี้
แต่จนแล้วจนรอด ผ่านมาหลายคืนนอนในวัดไม่มีอะไรต้องกลัว
เว้นเสียแต่รู้สึกรำคาญ ในกลางคืนมักมีคนเมาคนหนึ่ง มายืนบ้าง นอนบ้าง
ส่งเสียงเอะอะรบกวน หลวงตายิ่งจะถือไม้เรียวออกไปไล่ถึงได้เงียบ
ผมทันเห็นแค่เป็นผู้ชายร่างผอม ไม่ใส่เสื้อ
นึกในใจอีกสองคืนก็ได้ลาสิกขา
พ่อกับแม่บอก จะพาย้ายไปอยู่ในเมือง ให้เรียนโรงเรียนดีๆ
ผมเดินตามหลวงตาบิณฑบาตทุกเช้าไม่ได้ขาด โดยมีโตกับพรเป็นลูกศิษย์
บางทีก็มาแหย่มาดึงสบงเณรกือบหลุด ได้เอ็ดใส่หลายทีแต่ไม่สู้ดังนัก
สองคนเลยได้ใจแกล้งอีก จนหลวงตาหันมาดุใส่เท่านั้นจึงเงียบ
บวชหน้าไฟเจ็ดวัน (ประสบการณ์หลอนของเณรเเดน)
ซึ่งเรามีบ้านอยู่ในชุมชนรอบวัด ในยุคที่ถนนหนทางยังเป็นลูกรัง
ไฟฟ้าพึ่งมาถึงตอนผมโตแล้ว ซึ่งเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ขาดการพัฒนาในทุกด้าน
ต่อมาครอบครัวของผมได้ย้ายไปอยู่ในเมือง ทำให้ผมไม่ได้เจอหน้าเพื่อนๆ อีกเลย
จนกระทั่งยี่สิบปีต่อมา ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมญาติ ถือโอกาสนี้มาพบเพื่อนเก่าด้วย
ที่แต่ละคนคงจะมีครอบครัว หรือไม่ก็เป็นหนุ่มโสดคงทนเหมือนผม
ผมเดินทางมาถึงในตอนเย็นวันนั้น สิ่งแรกคือไปเรียกเพื่อนที่บ้าน แต่ไม่พบใคร
คนในบ้านบอก ยังไม่กลับจากทำงานเลย จึงขี่รถออกไปหาซื้อของใช้ส่วนตัว
คิดว่าช่วงค่ำคงได้เจอหน้า แต่ไปเจอไอ้โตกับไอ้พรแถวร้านค้านั่นเอง
เห็นกำลังนั่งดื่มเหล้าขาวบนแคร่ใต้ต้นมะม่วง
อีกฝั่งคือมินิมาร์ทประจำหมู่บ้าน อันมีของขายมากมาย ตั้งแต่ของใช้ประจำวัน
ขนมของขบเคี้ยวห้อยไว้รุงรังเข้าไว้ รวมไปถึงปุ๋ย ยาฆ่าแมลง
ด้านนอกมีปั๊มหลอด ร้านซ่อมรถ แต่ร้านเด่นเป็นจุดรวมคนวัยทำงาน คือร้านเหล้าชื่อร้านน้องพิม
พอทั้งสองคนเห็นผม แรกทำหน้าสงสัยอยู่ตงิดๆ
ไอ้หนุ่มเสื้อสะอาด ผิวบาง ราศีเหมือนคนเมืองเหมือนคนคุ้นหน้า
เมื่อผมยิ้มให้ ก็ร้องอ๋อ พากันกวักมือเรียกผมกันใหญ่
ผมเองก็ลุ้นเหมือนกัน สองคนนี้จะจำเพื่อนเก่าอย่างผมได้ไหม
สมัยเด็กผมอาจดูแหยๆ ไม่สู้คนในสายตาเพื่อน มันก็เป็นทั้งข้อเสียและข้อดี
เพราะเป็นคนสอนง่าย ไม่ดื้อ ไม่อวดดี ผู้ใหญ่เลยเอ็นดูผม
โดยเฉพาะหลวงตายิ่ง ตอนที่ไปบวชเณรอยู่ด้วย
นิสัยข้อนี้ทำให้ผมเรียนจบได้สูงกว่าเพื่อน ได้มีงานการที่ดี
เราได้พูดคุยกัน โตเปิดกิจการร้านซ่อมรถ
เนื้อตัวถึงได้มอมแมมไปด้วยฝุ่นและน้ำมันเครื่อง
พรยึดอาชีพเป็นคนขับรถไถและรถเกี่ยวข้าว
ชลประทานเข้ามา ทำให้ชาวนาทำนามากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี
พรมีงานทำ ส่วนโตรับงานซ่อมรถเกษตร ต่างเกื้อหนุนกันดี
ตกเย็นก็จะมานั่งสังสรรค์กันมุมนี้ประจำ โตพูดจบก็เก็บมะม่วง
ที่หล่นตามพื้นแถวนั้นมาทุบให้แตก เอามากัดกินแกล้มเหล้า
ทำเสียงซี้ดๆ ในปากจากความเปรี้ยวเข็ดฟัน
ผมฟังแล้วอึ้ง ฟังแล้วรายได้ดี มีเงินเก็บมากกว่าพนักงานกินเงินเดือนอย่างผมเสียอีก
พอเหล้าหมดขวด โตตะโกนข้ามถนนบอกน้องพิม เหล้าอีกขวด เซ็นไว้ก่อน
เพราะน้องพิมคือน้องสาวของพร ที่ผู้เป็นพี่ชายหาทุนรอนเอามาให้ทำร้าน
รายได้ก็ดี ที่ไม่ดีก็แค่ระวังพวกขี้เมา จะมาก้อร่อก้อติกน้องสาว
บทเพลงลูกทุ่งยอดฮิตในยุคหนึ่ง ที่พรไม่ชอบใจเอาเสียเลย
พวกขี้เมาชอบเอามาร้องจีบน้องสาว คือเพลง รักน้องพร
เพราะเจ้าคนร้อง ดันเติมเนื้อเข้าไปเป็น รักน้อง...ไอ้ พร
และไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน ไอ้โตนั่นเอง
“เฮ้ย กินเหล้าหน่อยสิวะไอ้แดน ไม่เห็นจะแตะเลย
ดูท่าเอ็งจะเกย์นะ บอกมาตรงๆ เถอะ เพื่อนรับได้” พรยื่นแก้วให้เชิงบังคับ
“โธ่... ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ไม่ได้เกเรเลย” ผมชิงปล่อยมุกตลก
“ไม่ช่ายย... หมายถึงเอ็งน่ะ เป็นตุ๊ด”
พรพูดลิ้นพันกัน จากฤทธิ์น้ำเมา
“เอาน้องพิม มาพิสูจน์ก็ได้นะ”
“เดี๋ยวปั๊ด ถีบตกแคร่เลย”
“ อย่าไปแหย่มัน ไอ้นี่มันหวงน้องสาวจะตาย”
ผมดื่มเหล้าพอกระษัย ไม่อยากขัดใจเพื่อน แก้วแรกรู้สึกมึนนิดหน่อย
ส่วนเพื่อนคอแข็งไม่น้อย แค่นั่งโงนเงนไม่ถึงกับตกแคร่ ตอนนี้ก็หัวค่ำ
นั่งกันมืดๆ ไม่กลัวยุง พอมองข้ามไปอีกฝั่งถนน
ร้านเปิดไฟสว่างทำให้ผิวน้องพิมขาวเจิดจ้ามาก
ผมต้องหยิบมะม่วงมากัดดังซี้ด แก้เปรี้ยวปากกันเลย
“โอ โอ๊ โอ ละ เน้อ เออ เอ่อ น้อง ไอ้ พร”
โตร้องเพลง พร้อมกับนั่งยักย้ายเอว กางปีกตีรักแร้ ไปกับทำนองเพลงดัง
“เชี้ย...บักปอบ-ตับ”
พรจะง้างเท้าถีบเพื่อนปากดี แต่ผลัดตกแคร่เสียก่อน เราสองคนหัวเราะกันงอหาย
ถึงผมจะดูแหยๆ เอาเข้าจริงๆ ก็มีบ้างเรื่องเหล้าเบียร์
รวมทั้งเรื่องเที่ยวผู้หญิงตามประสาคนโสด สายตาของผมตอนนี้ มันอดมองผิวขาวๆ
ในเสื้อกล้ามของน้องสาวเพื่อนไม่ได้
ตอนย้ายไป น้องสาวไอ้พรยังไม่ได้เกิดเลย อายุคงห่างกันมาก
ที่แปลกใจก็คือไอ้โตสมัยก่อนค่อนข้างเกเร มักเป็นหัวโจกนำเพื่อนทุกเรื่อง
นึกว่าจะเป็นนักเลงเสียอีก เท่าทีดูผิวเผิน นอกจากเรื่องเหล้ายา
งานการก็มีทำ นิสัยคงไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้
คงจะเป็นเรื่องโดนหลอกหลอนในครั้งนั้น
วิญญาณผีเฮี้ยนที่ถูกหลวงตายิ่งผูกเอาไว้ในเสาไม้ในลานวัด
แล้วสองคนนี้เกิดซนไม่เข้าเรื่อง ไปแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจนโดนดีเข้า
ผมเองตอนนั้นเป็นเณรบวชหน้าไฟ อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
พอรุ่งเช้าก็ลาสิกขา ย้ายตามพ่อแม่ไปอยู่ในเมือง
เลยไม่รู้ความคืบหน้าอาการของเพื่อนจะเป็นอย่างไร
พอผมเปลี่ยนมาคุยเรื่องนี้ จากที่เฮฮาก็พากันเงียบ
โตมีสีหน้าอึดอัด เพราะเป็นคนต้นเรื่อง
พอผมถามย้ำอีก พรจึงบอกโตให้พูดไปเถอะ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว
ยามเย็น ผมกับเพื่อนๆ มักจะไปวิ่งเล่นกันที่ลานวัดเป็นประจำตามประสาเด็ก
วัดไม่มีกำแพง นอกจากโบสถ์กับ ศาลา หอระฆัง นอกนั้นก็มีแต่ต้นไม้ปลูกไว้จนร่มครื้ม
ไม้ผลมีมากมาย มะม่วง ลำไย ออกผลมากมายให้เด็กอย่างเราได้เก็บกินเล่น
หลวงตายิ่ง ใจดี ไม่เคยหวง แต่ท่านจะห้ามอยู่เรื่องเดียว ไม่ให้ไปยุ่งพื้นที่ตอนหนึ่ง
ที่อยู่ด้านหลังกุฏิ ซึ่งผมกับเพื่อนไม่เห็นว่ามันมีอะไรแปลก นอกจากเสาไม้ที่ฝั่งไว้ต้นหนึ่ง
ต่อมาผมต้องบวชหน้าไฟให้ยายที่พึ่งเสีย พวกผู้ใหญ่ให้บวชอยู่วัดเจ็ดวัน ถึงจะให้ลาสิกขาได้
แม้บ้านจะอยู่ติดกับวัด แต่ไม่เคยเลยที่ผมจะนอนวัด
หลวงตายิ่งบอกหลังสวดมนต์ทำวัดเย็นแล้ว ให้เณรจำวัดอยู่ในกุฏิ
ถ้าปวดหนักปวดเบา ให้ไปใช้ห้องน้ำข้างศาลา เดินไกลหน่อย แต่อย่าไปใช้ห้องน้ำหลังกุฏิ
เด็กอย่างผมเลยสงสัย ทำไมให้เดินไกล เกิดอาการเจ้าหนูจำไมขึ้นมาทันที
หมายถึงเด็กตัวน้อย ที่คอยถามนู่นนี่นั่นตลอดเวลา
พอเจอถามเซ้าซี้เข้า หลวงตาเลยบอกแบบปัดๆ ไปว่า ผีมันจะทัก
ทีนี้เจ้าหนูจำไมเลยเงียบ โชคดีคืนนั้น ไม่ได้เกิดปวดหนักปวดเบา หรือจำเป็นขึ้นมา
ผมจะแอบหนีไปนอนบ้านในเมื่อใกล้กันแค่นี้
แต่จนแล้วจนรอด ผ่านมาหลายคืนนอนในวัดไม่มีอะไรต้องกลัว
เว้นเสียแต่รู้สึกรำคาญ ในกลางคืนมักมีคนเมาคนหนึ่ง มายืนบ้าง นอนบ้าง
ส่งเสียงเอะอะรบกวน หลวงตายิ่งจะถือไม้เรียวออกไปไล่ถึงได้เงียบ
ผมทันเห็นแค่เป็นผู้ชายร่างผอม ไม่ใส่เสื้อ
นึกในใจอีกสองคืนก็ได้ลาสิกขา
พ่อกับแม่บอก จะพาย้ายไปอยู่ในเมือง ให้เรียนโรงเรียนดีๆ
ผมเดินตามหลวงตาบิณฑบาตทุกเช้าไม่ได้ขาด โดยมีโตกับพรเป็นลูกศิษย์
บางทีก็มาแหย่มาดึงสบงเณรกือบหลุด ได้เอ็ดใส่หลายทีแต่ไม่สู้ดังนัก
สองคนเลยได้ใจแกล้งอีก จนหลวงตาหันมาดุใส่เท่านั้นจึงเงียบ