เราเริ่มรู้จักผู้ชายคนนี้ตอนอายุ 23 ปีค่ะ คุยกันตอนเค้าเรียนอยู่ที่ต่างประเทศส่วนเราอยู่ที่ไทย ตอนนั้นเราคุยกันทุกวันและให้กำลังใจกันมาโดยตลอด พอช่วงปิดเทอมเค้าจะกลับมาบ้านที่ไทยและนัดเจอกันทุกครั้ง เราคุยกันตลอดอย่างสม่ำเสมอ ตอนนั้นเราเรียนปโทส่วนเค้าเรียนปเอก เค้าพยายามอย่างหนักเพื่อจะเรียนให้จบภายใน 3 ปีเพื่อจะได้กลับไทยมาเร็วๆค่ะ ช่วงแรกที่ไปกินข้าวด้วยกันแล้วแม่เค้าโทรมาเค้าจะบอกเราว่า"อย่ารับเด็ดขาด"ซึ่งคงหมายถึงแม่เค้าโทรมาตามให้กลับบ้านไปทำงานธุรกิจที่บ้านค่ะ เค้าเคยบอกว่าเค้าเหนื่อยมากเพราะเค้าเป็นตัวหลักที่บ้านเป็นกงสีไม่มีใครอยากทำหน้าที่ตรงนี้แต่พ่อกับแม่เค้าไม่ออกมา. เค้าเลยต้องทำด้วย ส่วนพี่น้องเท่าที่เค้าเล่าให้ฟังไม่ได้ทำอะไร เค้าจะเป็นคนทำเสมอ ช่วงเทศกาลหรือช่วงวันหยุดญาติที่อยู่กงสีหรือพี่น้องก็จะไปเที่ยวกัน ส่วนเค้าต้องเฝ้าโรงงานกับพ่อแม่เพราะที่บ้านเค้าไม่ชอบไปเที่ยวค่ะ เรารู้สึกเห็นใจและสงสารเค้าที่เค้าไม่มีเวลาเป็นของตัวเองและไม่เคยเรียกร้องอะไรใดๆเลยค่ะ เวลาที่เรานัดกันไปกินข้าวตอนเค้ากลับมาที่ไทยก็จะมีเหตุที่ที่บ้านให้เค้าขายรถพอเค้าไม่มีรถ เค้าก็ต้องอาสาล้างรถให้ญาติเค้าเพื่อที่จะยืมรถกะบะของญาติมารับเราไปทานข้าว(เค้ายังไม่ได้เล่าเรื่องเราให้ที่บ้านฟังนะคะ) ทุกวันเกิดเราก็จะซื้อของขวัญให้กันและกันเราเคยซื้อเสื้อให้เค้าและเราเพิ่งรู้ว่าเค้าไม่ได้ซักเสื้อผ้าเองพี่เค้าซักให้. ตอนที่เค้าใกล้เรียนจบพี่เค้าได้มาสมัครงานในที่ทำงานที่เดียวกับเค้าตอนนั้นเราวิดีโอคอลคุยกันเค้าเล่าให้ฟังว่าพี่เค้ามาทำงานที่เดียวกับเค้า(เป็นที่ทำงานที่เค้าเรียบจบแล้วต้องกลับไปใช้ทุนที่นี่ค่ะ) เค้าบอกว่าเค้าถูกจับตามองแล้วล่ะ ตอนนั้นเรามองโลกในแง่ดีไม่ได้คิดอะไรมองว่าเค้าคงไม่ได้จะจับตามองอะไรหรอก มองในแง่ดีค่ะ
เค้าเป็นคนต่างจังหวัดส่วนเราเป็นคนกทม. ช่วงนั้นที่บ้านเรากำลังจะซื้อบ้านใหม่ในกทม. ตอนแรกจะซื้อคอนโดใกล้รถไฟฟ้าเพื่อที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก. แต่ไปๆมาๆก็มาซื้อบ้านเดี่ยวแถวบ้านเก่าเพื่อจะได้ขนของสะดวกโดยที่บ้านได้ทำการจองไว้แล้วค่ะ. เราได้เล่าให้เค้าฟังซึ่งเค้าไม่เห็นด้วยที่ซื้อเค้าพยายามชวนให้มาอยู่ที่จังหวัดเค้าบอกว่าเดินทางไม่ไกลจากกทม. ซึ่งที่จังหวัดเค้าที่บ้านเราก็เคยไปดูได้เนื้อที่มากกว่านิดนึงราคาใกล้เคียงกับกทมในตอนนั้น. (ซึ่งตอนนี้ราคาที่กทมแถวบ้านเก่าเราไปไกลมากแล้วค่ะ. อยากกลับไปซื้อก็ไม่ได้แล้วถ้าซื้อที่กทม.ตอนนั้นราคาดีกว่าที่เราซื้อตอนนี้ค่ะ) พ่อกับแม่เราเห็นว่าเค้าจริงใจที่อยากให้ไปอยู่จังหวัดเค้าเลยยกเลิกการจองที่กทมตอนนั้นและไปซื้อบ้านที่จังหวัดเค้าแทนแต่บ้านที่เราซื้อในจังหวัดเค้าก็ยังไกลจากบ้านเค้าประมาณ60 กม.ค่ะ แต่ใกล้กับสถาบันที่เราเคยศึกษาและพอมาซื้อบ้านอยู่ที่นี่แล้ว เราเลยต้องหางานที่ใกล้บ้านซึ่งเป็นสถาบันที่เราเคยศึกษาซึ่งก็เป็นที่ทำงานเดียวกันกับที่เค้าต้องกลับมาใช้ทุนค่ะ บ้านที่เราซื้อที่ต่างจังหวัดไม่ได้มีห้างเยอะเหมือนที่ที่เราเคยอยู่ อากาศแห้งพอกลับไปบ้านเก่าอากาศดีกว่าเยอะเลยค่ะทั้งๆที่อยู่กทม.แต่เป็นโซนตะวันออกนะคะไม่ร้อนและมลพิษไม่ค่อยมีเหมือนบ้านที่ซื้อใหม่พออยู่ไปก็มีมลพิษทางกลิ่นสี กลิ่นน้ำมันเครื่องอาจพัดมาจากโรงงานแถวบ้าน แต่ได้พื้นที่มากกว่าบ้านเดิมที่กทม ทุกครั้งที่กลับไปดูบ้านที่กทมจะคิดถึงบรรยากาศที่เราจะคุ้นชินมากกว่าที่ที่มาอยู่ใหม่ค่ะ (อันนี้เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาย้ำเตือนเราตอนที่เค้ามีพฤติกรรมไม่แคร์ความรู้สึกเราและไม่ใส่ใจเราเหมือนเมื่อก่อนค่ะ)
ตอนช่วงที่เรา 2 คนเรียบจบเค้าก็เริ่มทำงานเก็บเงินและมีกำลังทรัพย์มากขึ้น ที่บ้านเค้ากำลังปลูกบ้านกัน(เป็นบ้านของครอบครัวกงสีค่ะ) เค้าเคยเล่าให้ฟังเสมอว่าถ้าเรียนจบจะพาเราไปเที่ยวที่บ้าน. ((นับจนถึงตอนนี้เรายังไม่เคยไปบ้านเค้าเลยค่ะ มีแต่เค้าที่มาบ้านเราและรู้จักพ่อกับแม่เรา)) ช่วงเวลาผ่านมา4 ปี แม่เค้าอาจอยากรู้ว่าเค้ามีแฟนรึยังเลยถามเค้าว่ามีแฟนรึยัง.เค้ามาเล่าให้เราฟังค่ะ. เค้าเลยเล่าเรื่องให้ฟังว่า แม่ถามว่าเราเป็นลูกคนเดียวทำอาหารเป็นมั้ยให้ฝึกไว้นะ ทำงานบ้านเป็นรึเปล่า ครอบครัวเค้าเป็นครอบครัวกงสีค่ะ เค้าเคยอยากให้พ่อกับแม่เราไปทำสวนทำไร่ในที่ของเค้า ซึ่งพ่อกับแม่เราก็อายุมากแล้ว หลังไม่ค่อยดี และไม่เคยทำไร่ทำสวนมาก่อน ช่วงที่พ่อแม่เราทำงานก็ต้องเผชิญกับปัญหาในที่ทำงานกว่าจะได้เงินบำนาญ ซึ่งเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ และอยากพักในบั้นปลายของชีวิตโดยที่เราไม่ได้เดือดร้อนใครค่ะ ช่วงนึงเราเคยถามเค้าว่ามีเพื่อนเค้าคนไหนที่รู้จักเรามั้ยเค้าบอกว่าก็มี2 คนที่มาเจอเค้าวิดีโอคอลคุยกับเราที่หอพักตอนเค้าเรียนที่ต่างประเทศเราบอกแค่นั้นหรอเค้าบอกใช่เลย
ช่วงที่เราทำงานในที่ทำงานช่วงแรกๆก็ดีค่ะแต่จะมีคนที่มีนิสัยไม่อยากให้คนอื่นได้ดีอยู่ในที่ทำงานยุแยงตะแคงรั่วเราอยู่ในห้องที่ไม่ใช่แผนกเดียวกันเหมือนเราไม่ใช่พวกเค้า มีพี่คนนึงพอเข้ามาทำงานวันแรกก็จะถามเรื่องเงินเดือนเลยว่าเราได้เงินเดือนเท่าไหร่และพยายามจะรู้เงินเดือนเราจนเค้ารู้จนได้ค่ะเรื่องคนอื่นในที่ทำงานถ้าเค้ารู้คนอื่นก็จะรู้หมด พอเค้ารู้เงินเดือนเราเค้าก็เที่ยวประกาศให้คนในที่ทำงานฟัง เค้าบอกว่าเค้าอายุมากกว่าแต่ได้เงินเดือนน้อยกว่าพยายามทำให้คนอื่นไม่ชอบเรายุแยงเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานของเรา จนในที่สุดเค้าใช้คนที่ร้ายพอกะเค้าและใช้คนๆนั้นทำทุกวิถีทางเพื่อเอาเราออกให้ได้ค่ะ ทุกครั้งที่มีปัญหาเราทุกข์ใจในที่ทำงานเราจะแยกตัวออกมาพักใจกินข้าวคนเดียวตอนกลางวัน วันนึงเราคุยกับเพื่อนเก่าเพื่อนเก่าซึ่งก็เคยเจอปัญหาเหมือนกัน เค้าบอกว่าเราเก่งเนอะที่กินข้าวคนเดียวได้เค้าเจอปัญหาเค้ากินข้าวคนเดียวไม่ได้เหมือนต้องมีคนมาคอยปลอบ แต่เราคิดว่าเราอยู่คนเดียวสบายใจดีกว่าอยู่กับคนที่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างค่ะ ทุกครั้งที่เรามีปัญหาทุกข์ใจเราไม่เคยมีแฟนอยู่ข้างๆเลยเค้าทำงานที่เดียวกับเราแต่เค้าไม่เคยมาอยู่ข้างๆเลยค่ะตำแหน่งที่เค้าทำอาจไม่ต้องมาทำงานทุกวันแต่เค้ามักพูดเสมอว่าเค้างานเยอะต้องรีบกลับไปเฝ้าโรงงานไม่มีใครทำ อันนั้นเราเข้าใจค่ะ
มีบางครั้งเรานึกน้อยใจเล่าให้เค้าฟังว่า เพื่อนบอกว่าเราเก่งเนอะกินข้าวคนเดียวได้แต่เค้ากลับตอบมาว่าเค้าเองก็กินข้าวคนเดียวมา10 กว่าปีแล้ว( เค้าทำงานมาก่อนเราค่ะ)
เราบอกเค้าว่าเราคงมาทำงานที่นี่ตัวคนเดียวจริงๆ เค้ากลับตอบมาว่าเค้าก็ทำงานตัวคนเดียวมาเป็นสิบกว่าปีแระ ซึ่งเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจได้ดีมากเลยนะคะในสถานการณ์ที่คนกำลังทุกข์ใจ. เราแค่หวังว่าเค้าจะบอกว่าเดี๋ยวว่างแล้วเราไปกินข้าวด้วยนะแค่คำพูดให้กำลังใจเราไม่มีเลยค่ะเราไม่ได้หวังว่าเค้าจะมาจริงๆ. แต่เพียงคำพูดที่คอยให้กำลังใจและทำให้อบอุ่นใจเราก็จะรู้สึกดีขึ้นใช่มั้ยคะ.แต่เค้าก็จะบอกว่าเค้าก็เป็นของเค้าแบบนี้เค้าพูดความจริงว่าเค้ากินข้าวคนเดียวจริงๆ เค้าพูดว่าอย่าคิดว่าชีวิตคนอื่นราบรื่นเค้าก็ต้องฟาดฟันกะพวกร้ายๆพอกันเพียงแต่น้อยกว่าเรามาก เค้าพยายามพูดว่าเค้าก็เป็นเรารู้ค่ะแต่บางครั้งเวลาที่คนกำลังทุกข์ใจหรือรู้สึกเดียวดายบางครั้งก็ต้องการคำพูดปลอบใจแค่นั้นเอง.ไม่ใช่ความเป็นจริงที่ทำให้รู้สึกเดียวดายมากขึ้นเราคงต้องการมากไปสำหรับคำพูดที่คอยปลอบใจกันหรืออยู่ข้างๆกันในวันที่ทุกข์ใจ
เราเจอปัญหาในที่ทำงานจนต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายเสียไปทุกครั้งที่เราไปหาหมอจะไม่มีเค้าอยู่ข้างๆเลยค่ะ แต่เค้าสามารถพาลูกของอากู๋ไปหาหมอได้มีเวลาให้ครอบครัวเค้าได้
ญาติของเราเคยเจอเค้า1ครั้งตอนที่แม่เราต้องผ่าตัดตา. ญาติเรายังถามว่ามีใครพาไปมั้ยตอนนั้นเรายังขับรถไม่เป็นค่ะ เราก็บอกญาติว่าเรานั่งแท๊กซี่ไปค่ะทำให้เราหวนคิดว่าญาติเราคงสงสัยว่าเค้าได้มาอยู่ข้างๆเราหรือให้กำลังใจกันและกันมั้ยแต่เราไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะ เราคิดว่าเราต้องพึ่งตัวเองเพราะเราไม่เคยมีเค้าอยู่เลย และเค้าก็ไม่มีเราอยู่ในชีวิตเค้าเลยค่ะ
เค้าจะเป็นคนที่ไม่พอใจทุกครั้งที่เรางอนเค้าบอกไม่ชอบคนงอน จนตอนนี้เราไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วค่ะ เค้าจะคิดว่าเค้าถูกเสมอไม่ง้อหรือแคร์ว่าเรารู้สึกยังไง เราเสียใจไม่รับสายเค้าและไม่อยากเสียใจอีก. แต่เราก็ใจอ่อนรับสายเค้า.เค้าพูดเหมือนว่าเราผิดที่เราหายไปเค้าเหมือนไม่รู้ว่าเค้าผิดอะไรพอเรายกตัวอย่างให้ฟัง. เค้าเพียนบอกแต่ว่าเค้าก็เป็นแบบนี้และเค้าพูดเหมือนเค้าไม่รู้ว่าการที่ไม่ได้แคร์ความรู้สึกไม่ได้ใส่ใจคำพูด. เค้าถูกเค้าจะพูดแบบนี้. เหมือนเราไม่ได้อยู่ในชีวิตเค้าเป็นเรื่องปกติ มีใครเคยคบกับใครแล้วเป็นแบบนี้บ้างไหมคะ
ตอนนี้เราถูกกลั่นแกล้งจนต้องออกจากงานมีบ้านอยู่จังหวัดเดียวกับเค้า ทุกครั้งที่เรากลับไปแถวบ้านเก่าเราจะรู้สึกอยากหวนกลับไปไม่มาซื้อบ้านที่นี่ค่ะบ้านเก่าเราก็ให้เช่าไปแล้ว.จะซื้อบ้านราคาตอนนั้นก็ยากแล้วค่ะ. บรรยากาศที่เคยจากมาทำให้รู้สึกอยากกลับไปที่ที่เราเคยอยู่ ถ้าเราจากมาแล้วเค้าให้ความอบอุ่นใจไม่ทำให้เรารู้สึกเดียวดายเราคงไม่รู้สึกแบบนี้
ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่อ่านมาถึงตอนนี้เราอยากขอพื้นที่ระบายความรู้สึกที่ไม่รู้ว่ามีใครเคยเจอแบบเรามั้ย. หรือเราเป็นคนโง่อยู่คนเดียว ทุกวันนี้เค้าก็ยังโทรมาหาเราเราไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไงดีเลยค่ะ
มีใครที่คบกับแฟนตั้งแต่อายุ 23 จนถึงอายุ 32 ปี แต่ไม่เคยเจอพ่อแม่และคนรู้จักเค้าเหมือนไม่ได้อยู่ในชีวิตเค้าบ้างคะ
เค้าเป็นคนต่างจังหวัดส่วนเราเป็นคนกทม. ช่วงนั้นที่บ้านเรากำลังจะซื้อบ้านใหม่ในกทม. ตอนแรกจะซื้อคอนโดใกล้รถไฟฟ้าเพื่อที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก. แต่ไปๆมาๆก็มาซื้อบ้านเดี่ยวแถวบ้านเก่าเพื่อจะได้ขนของสะดวกโดยที่บ้านได้ทำการจองไว้แล้วค่ะ. เราได้เล่าให้เค้าฟังซึ่งเค้าไม่เห็นด้วยที่ซื้อเค้าพยายามชวนให้มาอยู่ที่จังหวัดเค้าบอกว่าเดินทางไม่ไกลจากกทม. ซึ่งที่จังหวัดเค้าที่บ้านเราก็เคยไปดูได้เนื้อที่มากกว่านิดนึงราคาใกล้เคียงกับกทมในตอนนั้น. (ซึ่งตอนนี้ราคาที่กทมแถวบ้านเก่าเราไปไกลมากแล้วค่ะ. อยากกลับไปซื้อก็ไม่ได้แล้วถ้าซื้อที่กทม.ตอนนั้นราคาดีกว่าที่เราซื้อตอนนี้ค่ะ) พ่อกับแม่เราเห็นว่าเค้าจริงใจที่อยากให้ไปอยู่จังหวัดเค้าเลยยกเลิกการจองที่กทมตอนนั้นและไปซื้อบ้านที่จังหวัดเค้าแทนแต่บ้านที่เราซื้อในจังหวัดเค้าก็ยังไกลจากบ้านเค้าประมาณ60 กม.ค่ะ แต่ใกล้กับสถาบันที่เราเคยศึกษาและพอมาซื้อบ้านอยู่ที่นี่แล้ว เราเลยต้องหางานที่ใกล้บ้านซึ่งเป็นสถาบันที่เราเคยศึกษาซึ่งก็เป็นที่ทำงานเดียวกันกับที่เค้าต้องกลับมาใช้ทุนค่ะ บ้านที่เราซื้อที่ต่างจังหวัดไม่ได้มีห้างเยอะเหมือนที่ที่เราเคยอยู่ อากาศแห้งพอกลับไปบ้านเก่าอากาศดีกว่าเยอะเลยค่ะทั้งๆที่อยู่กทม.แต่เป็นโซนตะวันออกนะคะไม่ร้อนและมลพิษไม่ค่อยมีเหมือนบ้านที่ซื้อใหม่พออยู่ไปก็มีมลพิษทางกลิ่นสี กลิ่นน้ำมันเครื่องอาจพัดมาจากโรงงานแถวบ้าน แต่ได้พื้นที่มากกว่าบ้านเดิมที่กทม ทุกครั้งที่กลับไปดูบ้านที่กทมจะคิดถึงบรรยากาศที่เราจะคุ้นชินมากกว่าที่ที่มาอยู่ใหม่ค่ะ (อันนี้เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาย้ำเตือนเราตอนที่เค้ามีพฤติกรรมไม่แคร์ความรู้สึกเราและไม่ใส่ใจเราเหมือนเมื่อก่อนค่ะ)
ตอนช่วงที่เรา 2 คนเรียบจบเค้าก็เริ่มทำงานเก็บเงินและมีกำลังทรัพย์มากขึ้น ที่บ้านเค้ากำลังปลูกบ้านกัน(เป็นบ้านของครอบครัวกงสีค่ะ) เค้าเคยเล่าให้ฟังเสมอว่าถ้าเรียนจบจะพาเราไปเที่ยวที่บ้าน. ((นับจนถึงตอนนี้เรายังไม่เคยไปบ้านเค้าเลยค่ะ มีแต่เค้าที่มาบ้านเราและรู้จักพ่อกับแม่เรา)) ช่วงเวลาผ่านมา4 ปี แม่เค้าอาจอยากรู้ว่าเค้ามีแฟนรึยังเลยถามเค้าว่ามีแฟนรึยัง.เค้ามาเล่าให้เราฟังค่ะ. เค้าเลยเล่าเรื่องให้ฟังว่า แม่ถามว่าเราเป็นลูกคนเดียวทำอาหารเป็นมั้ยให้ฝึกไว้นะ ทำงานบ้านเป็นรึเปล่า ครอบครัวเค้าเป็นครอบครัวกงสีค่ะ เค้าเคยอยากให้พ่อกับแม่เราไปทำสวนทำไร่ในที่ของเค้า ซึ่งพ่อกับแม่เราก็อายุมากแล้ว หลังไม่ค่อยดี และไม่เคยทำไร่ทำสวนมาก่อน ช่วงที่พ่อแม่เราทำงานก็ต้องเผชิญกับปัญหาในที่ทำงานกว่าจะได้เงินบำนาญ ซึ่งเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ และอยากพักในบั้นปลายของชีวิตโดยที่เราไม่ได้เดือดร้อนใครค่ะ ช่วงนึงเราเคยถามเค้าว่ามีเพื่อนเค้าคนไหนที่รู้จักเรามั้ยเค้าบอกว่าก็มี2 คนที่มาเจอเค้าวิดีโอคอลคุยกับเราที่หอพักตอนเค้าเรียนที่ต่างประเทศเราบอกแค่นั้นหรอเค้าบอกใช่เลย
ช่วงที่เราทำงานในที่ทำงานช่วงแรกๆก็ดีค่ะแต่จะมีคนที่มีนิสัยไม่อยากให้คนอื่นได้ดีอยู่ในที่ทำงานยุแยงตะแคงรั่วเราอยู่ในห้องที่ไม่ใช่แผนกเดียวกันเหมือนเราไม่ใช่พวกเค้า มีพี่คนนึงพอเข้ามาทำงานวันแรกก็จะถามเรื่องเงินเดือนเลยว่าเราได้เงินเดือนเท่าไหร่และพยายามจะรู้เงินเดือนเราจนเค้ารู้จนได้ค่ะเรื่องคนอื่นในที่ทำงานถ้าเค้ารู้คนอื่นก็จะรู้หมด พอเค้ารู้เงินเดือนเราเค้าก็เที่ยวประกาศให้คนในที่ทำงานฟัง เค้าบอกว่าเค้าอายุมากกว่าแต่ได้เงินเดือนน้อยกว่าพยายามทำให้คนอื่นไม่ชอบเรายุแยงเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานของเรา จนในที่สุดเค้าใช้คนที่ร้ายพอกะเค้าและใช้คนๆนั้นทำทุกวิถีทางเพื่อเอาเราออกให้ได้ค่ะ ทุกครั้งที่มีปัญหาเราทุกข์ใจในที่ทำงานเราจะแยกตัวออกมาพักใจกินข้าวคนเดียวตอนกลางวัน วันนึงเราคุยกับเพื่อนเก่าเพื่อนเก่าซึ่งก็เคยเจอปัญหาเหมือนกัน เค้าบอกว่าเราเก่งเนอะที่กินข้าวคนเดียวได้เค้าเจอปัญหาเค้ากินข้าวคนเดียวไม่ได้เหมือนต้องมีคนมาคอยปลอบ แต่เราคิดว่าเราอยู่คนเดียวสบายใจดีกว่าอยู่กับคนที่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างค่ะ ทุกครั้งที่เรามีปัญหาทุกข์ใจเราไม่เคยมีแฟนอยู่ข้างๆเลยเค้าทำงานที่เดียวกับเราแต่เค้าไม่เคยมาอยู่ข้างๆเลยค่ะตำแหน่งที่เค้าทำอาจไม่ต้องมาทำงานทุกวันแต่เค้ามักพูดเสมอว่าเค้างานเยอะต้องรีบกลับไปเฝ้าโรงงานไม่มีใครทำ อันนั้นเราเข้าใจค่ะ
มีบางครั้งเรานึกน้อยใจเล่าให้เค้าฟังว่า เพื่อนบอกว่าเราเก่งเนอะกินข้าวคนเดียวได้แต่เค้ากลับตอบมาว่าเค้าเองก็กินข้าวคนเดียวมา10 กว่าปีแล้ว( เค้าทำงานมาก่อนเราค่ะ)
เราบอกเค้าว่าเราคงมาทำงานที่นี่ตัวคนเดียวจริงๆ เค้ากลับตอบมาว่าเค้าก็ทำงานตัวคนเดียวมาเป็นสิบกว่าปีแระ ซึ่งเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจได้ดีมากเลยนะคะในสถานการณ์ที่คนกำลังทุกข์ใจ. เราแค่หวังว่าเค้าจะบอกว่าเดี๋ยวว่างแล้วเราไปกินข้าวด้วยนะแค่คำพูดให้กำลังใจเราไม่มีเลยค่ะเราไม่ได้หวังว่าเค้าจะมาจริงๆ. แต่เพียงคำพูดที่คอยให้กำลังใจและทำให้อบอุ่นใจเราก็จะรู้สึกดีขึ้นใช่มั้ยคะ.แต่เค้าก็จะบอกว่าเค้าก็เป็นของเค้าแบบนี้เค้าพูดความจริงว่าเค้ากินข้าวคนเดียวจริงๆ เค้าพูดว่าอย่าคิดว่าชีวิตคนอื่นราบรื่นเค้าก็ต้องฟาดฟันกะพวกร้ายๆพอกันเพียงแต่น้อยกว่าเรามาก เค้าพยายามพูดว่าเค้าก็เป็นเรารู้ค่ะแต่บางครั้งเวลาที่คนกำลังทุกข์ใจหรือรู้สึกเดียวดายบางครั้งก็ต้องการคำพูดปลอบใจแค่นั้นเอง.ไม่ใช่ความเป็นจริงที่ทำให้รู้สึกเดียวดายมากขึ้นเราคงต้องการมากไปสำหรับคำพูดที่คอยปลอบใจกันหรืออยู่ข้างๆกันในวันที่ทุกข์ใจ
เราเจอปัญหาในที่ทำงานจนต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายเสียไปทุกครั้งที่เราไปหาหมอจะไม่มีเค้าอยู่ข้างๆเลยค่ะ แต่เค้าสามารถพาลูกของอากู๋ไปหาหมอได้มีเวลาให้ครอบครัวเค้าได้
ญาติของเราเคยเจอเค้า1ครั้งตอนที่แม่เราต้องผ่าตัดตา. ญาติเรายังถามว่ามีใครพาไปมั้ยตอนนั้นเรายังขับรถไม่เป็นค่ะ เราก็บอกญาติว่าเรานั่งแท๊กซี่ไปค่ะทำให้เราหวนคิดว่าญาติเราคงสงสัยว่าเค้าได้มาอยู่ข้างๆเราหรือให้กำลังใจกันและกันมั้ยแต่เราไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะ เราคิดว่าเราต้องพึ่งตัวเองเพราะเราไม่เคยมีเค้าอยู่เลย และเค้าก็ไม่มีเราอยู่ในชีวิตเค้าเลยค่ะ
เค้าจะเป็นคนที่ไม่พอใจทุกครั้งที่เรางอนเค้าบอกไม่ชอบคนงอน จนตอนนี้เราไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วค่ะ เค้าจะคิดว่าเค้าถูกเสมอไม่ง้อหรือแคร์ว่าเรารู้สึกยังไง เราเสียใจไม่รับสายเค้าและไม่อยากเสียใจอีก. แต่เราก็ใจอ่อนรับสายเค้า.เค้าพูดเหมือนว่าเราผิดที่เราหายไปเค้าเหมือนไม่รู้ว่าเค้าผิดอะไรพอเรายกตัวอย่างให้ฟัง. เค้าเพียนบอกแต่ว่าเค้าก็เป็นแบบนี้และเค้าพูดเหมือนเค้าไม่รู้ว่าการที่ไม่ได้แคร์ความรู้สึกไม่ได้ใส่ใจคำพูด. เค้าถูกเค้าจะพูดแบบนี้. เหมือนเราไม่ได้อยู่ในชีวิตเค้าเป็นเรื่องปกติ มีใครเคยคบกับใครแล้วเป็นแบบนี้บ้างไหมคะ
ตอนนี้เราถูกกลั่นแกล้งจนต้องออกจากงานมีบ้านอยู่จังหวัดเดียวกับเค้า ทุกครั้งที่เรากลับไปแถวบ้านเก่าเราจะรู้สึกอยากหวนกลับไปไม่มาซื้อบ้านที่นี่ค่ะบ้านเก่าเราก็ให้เช่าไปแล้ว.จะซื้อบ้านราคาตอนนั้นก็ยากแล้วค่ะ. บรรยากาศที่เคยจากมาทำให้รู้สึกอยากกลับไปที่ที่เราเคยอยู่ ถ้าเราจากมาแล้วเค้าให้ความอบอุ่นใจไม่ทำให้เรารู้สึกเดียวดายเราคงไม่รู้สึกแบบนี้
ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่อ่านมาถึงตอนนี้เราอยากขอพื้นที่ระบายความรู้สึกที่ไม่รู้ว่ามีใครเคยเจอแบบเรามั้ย. หรือเราเป็นคนโง่อยู่คนเดียว ทุกวันนี้เค้าก็ยังโทรมาหาเราเราไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไงดีเลยค่ะ