คุณอาจคิดถูกเรื่องวัคซีนแล้ว แต่เขากำลังพยายามบิดให้คุณเชื่ออีกแบบ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ขอเอาของแฟนมาลงนะคะ หวังว่าจะช่วยทำให้คนที่ตัดสินใจแล้ว
มีความเชื่อมั่นมากขึ้นนะคะ

ส่วนข้างล่างคือเนื้อหา ถ้าไม่อยากกดดูวีดีโอค่ะ :

ล่าสุดผมได้ยินหมอจากรายการทีวีหรือช่องทางยูทูปพูดว่า

"วัคซีนที่ดีที่สุด คือวัคซีนที่เราได้รับเร็วที่สุด
และเป็นวัคซีนที่ได้รับการอนุมัตจาก อย แล้ว ถือว่ามีประสิทธิภาพที่เราต้องการแล้ว
เช่นป้องกันไม่ให้เรามีอาการหนัก จนต้องเข้า ICU ป้องกันไม่ให้เราเสียชีวิต (จากไวรัส) ได้ 100%"

และหมอแทบทุกคนพูดเหมือนกันแบบนี้หมด เป็นคำพูดแบบที่ตรงกันคำต่อคำเลยก็ว่าได้
ถ้าสถาบันทางการแพทย์กำหนดบรรทัดฐานเอาไว้ว่า ยังไงๆก็ต้องฉีดวัคซีนยี่ห้อไหนก็ได้ ให้ได้เร็วที่สุด 
หมอทุกคนก็ต้องเชื่อตามนั้น หมอตัวเล็กๆ ก็ต้องพูดตามหมอผู้ใหญ่ ไม่สามารถพูดขัดแย้ง หรือมีความคิดเห็นต่างได้
นี่คือวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับวงการแพทย์ในบ้านเรา 

แต่ตอนนี้มีประเด็นสำคัญคือ แนวทางของวงการแพทย์ไทยอาจส่งผลกระทบต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนด้าน 
ถ้าเปรียบเทียบระหว่างเป้าหมายในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัส
กับความปลอดภัยของคนทุกคนโดยเท่าเทียมกัน 
ที่การสกรีนว่าวัคซีนยี่ห้อไหน จะปลอดภัยกับประชาชนมากที่สุด เป็นสิ่งที่สำคัญมากอย่างยิ่ง 
การแพทย์ไทยได้แสดงออกว่า มีการพุ่งเป้าไปที่เป้าหมายแรกเท่านั้น ในการหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสเป็นหลัก
ส่วนเรื่องความปลอดภัยจากผลกระทบของวัคซีนนั้น แพทย์จะคำนึงอยู่ภายในกรอบที่ถูกวางเอาไว้เท่านั้น
แค่เรื่องมีวัคซีนยี่ห้ออะไรที่ อย. อนุมัติให้ใช้  
 
หมออาจให้คำอธิบายในลักษณะของ ความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม ที่ทุกคนควรฉีดเพื่อหยุดยั้งไวรัส
จึงทำให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของแต่ละบุคคลจากผลกระทบจากวัคซีนยิ่งน้อยลงไปอีก หรือ ไม่ให้ความสำคัญเลย
แล้วไปเน้นการรักษาเมื่อเกิดปัญหาแล้วแทน กับการพูดให้เชื่อว่าปัญหาเกิดขึ้นน้อย เพื่อลดความวิตกกังวลของประชาชน

การให้ความสำคัญกับการฉีดให้มากที่สุด แต่ไม่เน้นการสกรีนว่าวัคซีนยี่ห้อไหนปลอดภัยที่สุด ที่ควรทำไปพร้อมๆกัน 
เป็นลักษณะเดียวกับแนวความคิด แบบในประเทศจีน และประเทศกำลังพัฒนา หรือ ด้อยพัฒนาอื่นๆ
ที่ไม่ให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชน 

ภาวะแบบนี้ จึงทำให้เกิดคำถามว่า เราจะเชื่อมั่นกับข้อมูลอย่างเป็นทางการของรัฐ หรือของสาธารณสุขได้มากน้อยขนาดไหน 
ว่าประชาชนแต่ละคนจะปลอดภัยจากผลกระทบของวัคซีน และไม่มีเรื่องของการปกป้องตัววัคซีนบางตัวที่รัฐต้องการใช้

เรื่องผลข้างเคียงรุนแรงที่ถูกโทษไปที่เรื่องความตึงเครียด stress หรือเรื่องความบังเอิญ coincidence 
แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มีบันทึกในทางการแพทย์ และถูกระบุอยู่ในคู่มือขององค์การอนามัยโลกว่าเกิดขึ้นได้ 
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีข้อโต้เถียงมากที่สุดเกี่ยวกับผลกระทบของวัคซีน 
และคนที่ยอมรับก็เป็นการใช้ความเชื่อที่ไม่มีวิทยาศาสตร์รองรับ  

อย่างเรื่อง stress มันสามารถเกิด stress ที่อวัยวะใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าคนจะความเครียดหรือไม่
นั่นหมายความว่า หากวัคซีนเองเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ร่างกายเกิด stress
จนกิดความผิดปกติ อย่างรุนแรงต่อร่างกาย ก็มีโอกาสโทษไปที่ความตึงเครียดของตัวผู้ป่วยเอง หรือจากสาเหตุไหนก็ได้ 

ส่วนเรื่อง coincidence ก็เป็นการโทษไปที่สุขภาพของตัวผู้ป่วยเองเช่นกัน ที่บังเอิญเกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีน
นั่นหมายถึง หากอาการกำเริบร้ายแรงของโรคประจำตัวมีสาเหตุแรกสุดมาจากผลกระทบแบบลึกซึ้ง จากการได้รับวัคซีน 
ก็มีโอกาสที่จะโทษไปที่ ปัญหาด้านสุขภาพอะไรก็ได้ของตัวผู้รับวัคซีนเอง

โดยข้อใดข้อหนึ่งจะเป็นข้อยืนยันว่าวัคซีนไม่มีปัญหา หากตรวจร่างกายแล้วไม่พบความเกี่ยวข้องกับวัคซีน
ทั้งๆที่เหตุการณ์ผิดปกติแบบนี้ไม่เคยเกิดบ่อยขนาดนี้มาก่อน กับการฉีดวัคซีนทั่วไป
ซึ่งเป็นความผิดปกติทางสถิติอย่างเห็นได้ชัด โดยคนทั่วไปก็มองเห็นได้
  
แต่การตรวจร่างกาย แล้วไม่พบความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ทั้งๆที่มีเคสรูปแบบเดียวกันเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก 
ก็ไม่ได้หมายความว่าวัคซีนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆเลย
การไม่พบปัญหา อาจมาจากวิทยาการในการตรวจสอบในปัจจุบัน ยังมีไม่เพียงพอก็ได้
ยกตัวอย่างเช่น หากวัคซีนมีผลกระทบต่อไมโครไบโอม หรือ ชุมชนจุลชีพภายในร่างกายมนุษย์ 
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบประสาท แต่การตรวจระบบประสาทของแพทย์ อาจไม่พบความผิดปกติใดๆเลยก็ได้ เป็นต้น
ปัจจุบันเรื่องไมโครไบโอมยังเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่ยังไม่เข้ามาสู่วงการแพทย์

การโทษไปที่ความเครียด หรือ ความบังเอิญ ที่ทำให้ป่วย อ่อนล้า อัมพฤต หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต หลังจากการฉีดวัคซีน
แต่ตรวจแล้วไม่พบความเชื่อมโยง อาจไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอ 
โดยเฉพาะถ้าหากเคสดังกล่าวเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ กับวัคซีนยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง

เราไม่ควรโทษไปที่เรื่องอุปทานหมู่ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวบ้านในสังคมไทย 
และไม่มีหมอคนไหนควรคิดแบบนั้นเช่นกัน
บางครั้ง เรามองไปที่เรื่อง stress เรื่อง coincidence แล้วก็มองไปที่อุปทานหมู่ โดยไม่ตั้งใจ
ประกอบกับการตรวจร่างกายไม่พบความเชื่อมโยงกับวัคซีน
จนทำให้ความเชื่อมั่นว่า ตัววัคซีนไม่ได้มีปัญหาอะไร ผลข้างเคียงจะต้องไม่เกิดขึ้นกับตัวเราอย่างแน่นอน 
ส่วนเรื่องของสถิติที่เกิดขึ้นบ่อย ก็อาจเป็นเรื่องของอุปทานหมู่
ซึ่งหลายคน ไม่ว่าจะเป็นหมอหรือไม่ก็อาจคิดแบบนั้น จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

การนำเรื่องสถิติมาประกอบ จะช่วยประเมินผลกระทบของวัคซีน และมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดในตอนนี้
เพราะวัคซีนโควิดทุกชนิดในโลกตอนนี้ มีระยะเวลาเตรียมการที่สั้นมาก ทำให้ทุกยี่ห้ออาจมีผลข้างเคียง
มากกว่าวัคซีนที่เคยใช้ทั่วไป ซึ่งเราแทบจะไม่ได้ยินข่าวเรื่องผลข้างเคียง ทั้งๆที่ใช้ฉีดให้กับทั่วไปเป็นจำนวนมาก
สิ่งที่น่ากังวลของวัคซีนโควิดในปีนี้ จึงเป็นเรื่องของผลข้างเคียงที่มาจากวัคซีน มากกว่าผล efficacy 
หรือประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันโรค ส่วนความกังวลเรื่องวัคซีนจะมีเพียงพอหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ทุกเรื่องมีความสำคัญเหมือนกัน 

ดังนั้นสถิติทุกตัวจากในหรือนอกประเทศจึงมีความสำคัญอย่างมาก 
ที่จะช่วยทำให้เรารู้ว่าวัคซีนไหนมีความปลอดภัยในเรื่องของผลข้างเคียงสำหรับประชาชนมากที่สุด
เรายังไม่ได้พูดถึงว่า sinovac ยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก และ aztrazeneka ที่
ประเทศพัฒนาหลายประเทศหยุดการให้วัคซีนตัวนี้ หรือต้องให้ในแบบที่มีข้อจำกัดที่ต้องระวังมากกว่าวัคซีนตัวอื่น

ไม่กี่วันมานี้ประมาณวันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา WHO ได้อนุมัติ sinopharm ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพมากกว่า
sinovac แต่อย่างไรก็ดี WHO ก็อาจจะอนุมัติ sinovac กับ sputnik v ของรัสเซียในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้เช่นกัน 
เนื่องจากความต้องการวัคซีนเร่งด่วนของโลก เป็นปัญหาที่สำคัญในขณะนี้
แต่ถ้าหาก WHO ยังอ้างอิงผลกระทบของวัคซีนไปที่เรื่อง stress กับเรื่อง coincidence
ก็ให้เข้าใจเลยว่า มันเป็นกรอบทั่วๆไป ที่ไม่ได้อ้างอิงกับหลักคิดทางวิทยาศาสตร์ เพราะมันไม่สามารถ
ตอบคำถามเกี่ยวกับเคสผิดปกติจำนวนมากได้ 

ประเทศต่างๆจึงให้ความสำคัญกับเรื่องของสถิติด้วย ไม่ใช่ทำตามโปโตคอลของสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว
เพราะจะช่วยให้ประชาชนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ตามหลักสิทธิมนุษยชนที่จะต้องเข้าใจในความรู้สึกของคนด้วย
เพราะถ้าหากมีการผูกขาดวัคซีนยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง แล้วมีปัญหาเกิดขึ้นตามมา แม้ว่าจะเป็นการปฏิบัติที่ยึดหลักตาม WHO 
ก็คงจะต้องโดนประชาชนฟ้องร้องกันเละเทะแน่ๆ

การโทษคนอื่นว่า การกล่าวหาวัคซีนมาจากการที่เขาอุปทานไปเอง เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความคิดแบบวิทยาศาสตร์ 
และอาจขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนด้วย ในการไม่เคารพความคิดของคนๆนั้น หรือมองว่าคนๆนั้น ไม่เท่ากับตัวเรา
อย่างเช่น คนมีความรู้บางคนจะไม่สนใจคำให้การของชาวบ้าน หากเขามีความเชื่อว่าวัคซีนไม่เกี่ยวข้อง 
โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ หรือแม้แต่การคิดจะเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นข้อมูล 
แต่แทนที่จะกล่าวหาว่าเป็นอุปทานหมู่ การเก็บสถิติและเรื่องราวที่ยังคงน่าสงสัยเอาไว้ในใจ 
เพื่อหาเหตุผล คำอธิบาย ที่ชัดเจนในอนาคต เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาเจริญก้าวหน้าได้ 
ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ ที่จะไม่มองข้ามข้อมูลแบบนี้ 
แม้ว่าจะเป็นข้อมูลจากปากของชาวบ้านก็ตาม 

หลายอย่างที่มนุษย์เคยเชื่อว่าถูกต้อง อาจเปลี่ยนไปถ้าหากเรามีวิทยาการก้าวหน้ามากขึ้นในอนาคต
แต่คนบางคนที่ไม่มองข้ามเรื่องสถิติ และไม่ได้ดูถูกข้อมูลของใครว่าเป็นเรื่องอุปทาน 
อาจจะพบกับคำตอบที่ชัดเจนแล้วในวันนี้ก็ได้ โดยที่ไม่ต้องรออีกหลายปี หรือหลายสิบปีกว่าจะรู้ความจริง 
หมอหลายคน ที่ไม่ต้องทำตามหมอผู้ใหญ่ เพราะอาจจะมีคลีนิกของตัวเอง ก็สามารถตัดสินใจ และเลือกที่จะบินไปประเทศ 
เพื่อเลือกวัคซีนยี่ห้อที่ตัวเองต้องการ นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ที่เรามองเห็นแล้วจากโซเชียลมีเดียต่างๆ 

สิ่งที่เราทุกคนควรทำ จึงต้องมีสติ และใช้ความคิด อย่าเชื่อ หรือถูกครอบงำง่ายๆ ต้องหาข้อมูลข่าวสาร 
ต้องมีความรอบรู้ ซึ่งทั้งหมดนี้ เราคงคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นสิ่งที่ศาสนาของเราสอนให้เราฝึก ให้มีวิธีคิดแบบนั้น 

สำหรับคนไหนที่คิดว่ามีสุขภาพแข็งแรง สามารถฉีดยี่ห้อก็ได้ ขอให้ตรวจสอบร่างกายตัวเองให้ดี 
เพื่อให้ชัดเจนว่า ไม่มีปัญหาสุขภาพใดๆซุกซ่อนอยู่ในร่างกาย ขอให้ศึกษาจนรู้จริงเรื่องสุขภาพของตัวเอง
เพราะยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งปลอดภัยสำหรับตัวเองมากแค่นั้นครับ อย่างน้อยๆ รู้จักกับร่างกายของตัวเองแล้วหรือยัง
ว่าเป็นคนที่ติดเชื้อง่าย มีการอักเสบง่าย กว่าคนทั่วไปหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ หมอ หรือ การตรวจร่างกายบอกไม่ได้นะครับ
ต้องสังเกตด้วยตัวเอง แล้วเรียนรู้ว่าต้องมีอาการอะไร ถึงเรียกว่าเป็นแบบนั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่