ฟ้าสองสี (นิยายเรื่องยาว) ตอนที่ 1-3

ฟ้าเอ๋ย ใยเจ้าสีต่างกัน 
 
ใจเอ๋ย ใยเจ้าชิงชังกันนัก
 
ฟ้าเจ้าคือสิ่งที่อยู่สูง
 
ใจเจ้าคือก้อนโลหิต
เหตุใดจึงต่างกัน
 
ตอบข้าเถิดฟ้า 
 
ตอบข้าเถิดใจ
บทนำ
 
รงปลายสะพาน ที่พาดผ่านแม่น้ำกลางหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชายชรา กำลังจัดการกับกล่องไม้ เพื่อเตรียมตัวสำหรับการแสดงในค่ำคืนนี้ คบไฟตามทางเดินเริ่มถูกจุดสู้รัตติกาล ขอบฟ้าเริ่มจับเป็นสีส้มสลัว เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เวลาใกล้หมดเต็มที   คงต้องเร่งมือเสียแล้ว ชายชรานึกในใจ พลางค่อนขอดตัวเองที่มัวแต่ชักช้า ความคล่องแคล่วในสิ่งที่ทำอยู่ ตรงข้ามกับอายุที่ดูถดถอย แต่ทว่า ถึงรีบสักเพียงใด ก็ยังดูเหมือนจะไม่ทันใจ ใครบางคน แรงกระตุกปลายเสื้อบางเบา ทำให้ชายชราจำเป็นต้องก้มลงไปมอง ร่างเล็กจ้อย เจ้าของดวงตาสีน้ำตาล  ตาคู่นั้นแลดูสดใสชวนให้สบายใจนัก เหมือนดวงตาของใครสักคน ใครสักคนที่เกือบลืมเลือนไปแล้ว
 “ท่านตายังไม่เสร็จอีกหรือ “ ดูเหมือนการเตรียมการ จะไม่ใจทันเด็กน้อยผู้นี้
 “ บรอมอย่าทำตัวเป็นเด็ก หากเจ้าอยากดูให้ไวนัก ก็มานั่งรอข้างๆข้านี่ เจ้ายิ่งไปเร่ง ยิ่งทำให้ท่านตาเสียเวลา” เสียงทักท้วงมาจากเด็กหนุ่ม ที่ยังไม่เรียกว่าจะหนุ่มดีเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่คิดแบบนั้น คงรู้ตัวว่าถูกมอง จึงวางท่าเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เจ้าตัวคิดว่าเหมาะแล้ว
 
ชายชราอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม เมื่อหันไปมองด้านหลังเด็กหนุ่มก็มีผู้ชมขาประจำและขาจรกำลังจับจองที่ทาง เพื่อรอการแสดงของเขา นับว่าผีมือยังไม่ตก มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตัวเล็กและตัวโต ชายและหญิง
 
คนมากนักมากกว่าคืนก่อน
 
ดีแล้วยิ่งมามากยิ่งดี เรื่องราวของเขาอาจกลายเป็น ลำนำ อาจกลายเป็นนิทานก่อนนอน ที่จะเล่าให้เด็กหรือใครต่อใครที่อยู่ห่างไกลที่ไหนสักแห่ง ที่เขาไม่อาจไปเล่าด้วยตัวเอง ชายชรานึกอย่างอิ่มเอมใจ
 
เมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผู้สูงวัยจัดการเปิดหีบเพลงกลไกเพื่อเพิ่มความตื่นเต้น ก่อนจะบรรจงหย่อนหุ่นเชิดอย่างชำนาญ และนุ่มนวลลงไปในกล่องไม้ หุ่นเชิดของเขานั้นคล้ายมีชีวิต จึงสร้างความตื่นตาตรึงใจให้แก่ผู้ที่เห็น ชายผู้ผ่านโลกมายาวนานกระแอมคอให้โล่ง 

จากนั้นจึงเริ่มเล่า
 
                         ผืนแผ่นดินที่แห้งแล้งแตกระแหง ไม่มีแม้ต้นไม้ใหญ่สักต้นให้ร่มเงา ราวกับทุกชีวิตได้ตายจากโลกนี้ไป  มีหนูตัวหนึ่งกำลังคุ้ยเขี่ยบางสิ่ง ดวงตาสีดำของมันกำลังมองหา หาสิ่งที่จะมาประทังชีวิต บนผืนดินแห่งนี้แห้งแล้งเหลือเกิน โลกใบนี้ช่างโหดร้ายนักกับชีวิตน้อยๆนัก ขาหน้าของมันเขี่ยหน่อหญ้าแห้งขึ้นมา มันลองกัดดู หน่อหญ้านั้นแห้งผากเกินไป ไร้ชีวิตเกินไป คงต้องหาใหม่ แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

 ทีแรกก็ไม่ได้ใส่ใจ ยังค้นหา แต่แล้วเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ดังมาก ดังราวกับโลกใบน้อยของมันกำลังจะถล่ม ดังจนไม่อาจทานทน จนในที่สุดสัญชาติญาณเอาตัวรอดก็อยู่เหนือความหิวโหย มันต้องหนีไปมุดลงรูที่มืดมิดและปลอดภัย หากหนูตัวนั้นมีปีกบินขึ้นเหนือท้องฟ้าแล้วมองลงมา มันก็คงจะรู้ว่าสิ่งใดทำให้หวาดกลัว สิ่งใดที่ส่งเสียงปานฟ้าถล่ม และหากฟังเสียงมนุษย์ออก คงรับรู้ว่า เสียงนั้นเปล่งออกมาจากคนนับหมื่นนับแสน ด้วย คำๆเดียว
 
" องค์จักรพรรดิ"
 
หากมองจากท้องฟ้า มีกองทัพสองฝั่งตั้งเผชิญหน้ากัน ฝั่งหนึ่งนั้นแต่งกายด้วยสีขาวล้วน ราวกับกองทัพเทพสวรรค์ลงมาเพื่อปราบมาร จำนวนนั้นก็มิอาจประมาณได้ จากฟากหนึ่งไปไปจนจรดอีกฟากนั้น ยาวไกลจนสุดตา ทั้งกองธนู พลม้า พลดาบ พลหอก แลกองปืน ล้วนแล้วแต่ดูงดงามและเป็นระเบียบเรียบร้อย
 
ส่วนอีกฟากหนึ่งนั้น ใช้สีดำทั้งสิ้น ราวกับกองทัพปีศาจ ที่กำลังจะมาบุกล้างโลกเพื่อให้กลับไปสดใสดังวันวาน เมื่อมองดูก็เห็นความเข้มแข็งและมุ่งมั่นอยู่ในแววตา แม้นกองทัพอีกฟากจะมหาศาลเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดสักคนส่งแววตาหวั่นไหว ลมพัดแรงจนธงของกองทัพสะบัดขึงตึงกินลม 

แต่กระนั้นกองทัพสีดำก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง
 
เมื่อคนผู้หนึ่งก้าวนำหน้าออกมาเสียง เรียกองค์จักรพรรดิจากองทัพสีขาวก็หยุดลงโดยพลัน ทุกอย่างเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมตีกับธงเท่านั้นที่ดังอยู่ ชายคนนั้นชักดาบประจำกายออกมา ก่อนจะชูขึ้นเหนือหัวแล้วตะโกนว่า
 
“องค์จักรพรรดิเสด็จ” สิ้นเสียงกองทัพสีขาวก็แหวกออกเป็นสองข้างทาง ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่หลังม้าสีขาว ชาวผู้นั้นมีผมยาวสีทองดุจทองคำ ใบหน้าขาวราวกับกระเบื้องหยก ดวงตาสีเทาเหมือนดังพายุที่โหมประดังไม่มีผิดแผก แต่งกายด้วยชุดเกราะสีขาวขลิบทอง ใบหน้างดงามราวโอรสแห่งเทพ 

ผู้ที่อยู่บนพื้นข้างกายรวบรวมความกล้า ก่อนจะเอ่ยปาก 
“ฝ่าบาท ผู้น้อยขอถวายคำแนะนำ “
 
จักรพรรดิ มองตรงไปยังกองทัพสีดำข้างหน้า ดวงตาสีเทาพายุจับจ้องโดยไม่กระพริบ ไม่แม้จะหลือบมองคนข้างกาย 

ทำเอาผู้ที่อยู่ข้างกายไม่แน่ใจ ว่าจักรพรรดิได้ยินเสียงตนหรือไม่ จึงคิดที่จะสำทับอีกครั้ง
 “ฝ่าบาท”
 
แต่ทว่า จักรพรรดิหนุ่มกลับเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “หยุดคำเจ้าเสีย ข้ารู้ดีว่าข้าทำอะไรอยู่ หากกลัวว่าพวกมันจะลอบโจมตีตอนข้าออกไปเจรจา ไม่ต้องห่วง ข้ารู้จักแม่ทัพของมัน ดีกว่าตัวข้ารู้จักตัวเองเสียอีก เจ้านี่มันเป็นคนตรง  เถรตรงเสียยิ่งกว่าดาบของเจ้าด้วยซ้ำ..“ 
จักรพรรดิทิ้งประโยคสุดท้ายลงไปในลำคอ
 หากมันไม่ใช่คนเช่นนี้ มันคงไม่มาตั้งทัพเผชิญหน้ากับข้าหรอก
 
คนด้านล่างส่งเสียงอึกอักในลำคอก่อนจะเอ่ย ขึ้นอีกครั้ง “ แต่ฝ่าบาทมันเป็นแค่คนเถื่อน คนเถื่อนไม่คิดแบบเรา...”
 
จักรดิพรรดิมองด้วยหางตา แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็น “หากเจ้าพูดอีกครั้ง ข้าจะตัดปากเจ้าทิ้งเสีย “
 
สิ้นคำ เสียงหวูดจากแตรแปลกหูก็ดังยาวขึ้นมา
 
กองทัพสีดำแหวกออกเป็นสองข้างทาง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งบนหลังอาชาพ่วงพี ก็ปรากฏแก่สายตา ชายคนนั้นมีผมดำเข้มเสียยิ่งกว่าราตรี แม้นมีรอยแผลเป็นที่ข้างแก้ม ก็ไม่อาจลบเลือนความสง่าบนใบหน้าคมเข้มให้ลดน้อยลง คิ้วดำสนิทขมวดเข้าหากันเสมอ ราวกับไม่เคยออกห่างจากกัน แม้นเวลาผ่อนคลาย
 
ยังเหมือนเดิมดุจดังวันวาน .....วันวานที่ไม่อาจย้อนหวนคืน
 
ระยะทางที่ค่อยๆหนสั้นลง ทำให้ใจของจักรพรรดิเต้นแรงขึ้น เต้นแรงกว่าครั้งไหน แรงจนต้องกดหน้าอกเอาไว้
 ไม่ว่าจอมคนผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าทราชผู้โหดเหี้ยมเพียงใด ไม่อาจทำให้จักรพรรดิเคยหวั่นไหวและหวาดกลัว  มีเพียงชายหนุ่มผู้นี้เท่านั้น ที่จักรพรรดิเคยคิดว่าจะเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ ที่จะเผชิญหน้าด้วย อดีตวิ่งไล่เข้าในหัวเป็นฉาก น่ารำคาญ แต่มิอาจตัดจากความคิด

แม้ใจอยากให้เวลานี้ไม่มาถึง แต่ท้ายสุดจักรพรรดิและแม่ทัพหนุ่ม ก็เผชิญหน้ากันตรงกลางระหว่างสองทัพ 
ไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก ไม่มีผู้ใดเอ่ยความ ราวกับทั้งคู่ใช้สายตาสนทนา ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องกับดวงตาสีเทาพายุ ทุกอย่างดูเหมือนกลับไปดั่งวันวาน 

จนกระทั่ง....ผู้ติดตามของจักรพรรดิอดรนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายเอ่ยปาก
“ยอมจำนนเสีย จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จะมีเมตตาให้เจ้า “
 
แม่ทัพหนุ่มเหลือบมองก่อนแสยะยิ้ม “พึ่งรู้ว่า ขี้ข้ามีอำนาจ พูดแทนองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ” ตรงคำว่าใหญ่ แม่ทัพหนุ่มลากเสียงยาวอย่างล้อเลียน
 
“เจ้า!! “ ผู้ติดตามจักรพรรดิโมโหจนแทบขาดสติ มือพยามคว้าหยิบดาบ  หลงลืมว่าตนเองปลดดาบตามธรรมเนียมที่ทำกันมา

 แม่ทัพหนุ่มแสยะยิ้ม เมื่อจักรพรรดิกระตุ้นม้าขึ้นนำหน้า 
“ เจ้าไปรอข้าที่ด้านหลัง ข้าอยากพูดกับแม่ทัพข้าศึกตามลำพัง”
 
ผู้ติดตาม จะเอ่ยปากทักท้วง แต่ทว่า เพียงจักรพรรดิชายตามมอง เท่านั้น คำพูดก็กลืนหายกลับไปลงคอ ผู้ติดตามทำได้เพียงแค่ก้มหัวลงรับคำ

 เมื่ออยู่ตามลำพัง จักรพรรดิหนุ่มจึงเอ่ยปาก 
“ถอยทัพกลับไปเสีย เลิกทัพ ก่อนจะตายด้วยกันทั้งหมดที่นี่ แล้วข้าจะพิจาราณาสิ่งที่เจ้าเรียกร้อง “
 
แม่ทัพหนุ่มก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย 
“ คำพูดนั้นข้าขอคืนให้ท่านดุจเดียวกัน จงพาทัพของท่านกลับคืนบ้านไปเสียเถิด คนเหล่านี้เจอสงครามมามากเพียงพอแล้ว “
 เมื่อทำตามธรรมเนียมที่ทำกันมาช้านาน แม่ทัพหนุ่มจึงชักม้ากลับ

แต่แล้ว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น องค์จักรพรรรดินั่นเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยปาก 
“ลุคเจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้ว คิดว่าฟิลเลียจะดีใจงั้นเหรอ “

 ลุคที่บัดนี้กลายเป็นแม่ทัพกบฏ หยุดม้าแล้วกล่าว โดยไม่หันมามอง
 “เร็ก ...เจ้าอย่ามาเอ่ยอ้าง แทนคนตายไปหน่อยเลย“

 เจ็บปวดนัก ถ้อยคำเหล่านี้เจ็บปวดเหลือจะเอ่ย จักรพรรดิชักม้ากลับกองทัพโดยไม่เหลียวหลัง ก่อนจะสั่งความกับคนของตน 
“ พลธนูเดินหน้า “

 เป็นสงครามที่น่ารังเกียจและเจ็บปวดเหลือแสน

 ชายชราเก็บข้าวของ คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายที่อยู่ที่นี่ หมู่บ้านนี้คนไม่มากนัก คงลุล่วงแก่เวลาแล้ว  
แต่แล้ว เสียงกุกกักด้านหลัง ทำให้ชายชราหันไปมอง ก็พบกับชายวัยกลางคน ท่าทางและความสง่าผ่าเผย บ่งบอกว่าชายผู้นี้มาจากองทัพ คงอยู่มานานทีเดียว เพราะถึงแม้จะดูท่าทางวัยล่วงเลยที่จะรับใช้ชาติ แต่ยังคงบุคลิคที่หล่อหลอมจากในกองทัพ
 “มีเหตุอันใดรึ การแสดงจบแล้ว “
 
ชายผู้นั้นคุกเข่าลงก่อนจะเอ่ยปาก “จักรพรรดิ ท่านใช่จักพรรดิผู้ยิ่งใหญ่รึไม่ “
 มือเหี่ยวย่นยังคงทำงานต่อไป
 ยิ่งใหญ่
 ชายชรายิ้มที่มุมปาก “จักรพรรดิที่ไหน จะมาเปิดการแสดงหุ่นเชิด พ่อหนุ่ม “
 
ชายผู้นั้นยังคงไม่ยอมแพ้ “ต้องใช่แน่ๆ ข้าจำใบหน้าของพระองค์ได้ ข้าเคยเห็นพระองค์ ในวันที่กองทัพเดินฉลองชัยปราบกบฏผู้ชั่วช้า“
 
กบฏงั้นหรือ
 
ชั่วช้างั้นหรือ
 
ชายชราค่อนแคะ
 
“ข้ามีสิ่งใดที่เหมือนจักรพรรดิ “ ชายชราตอบก่อนจะหันกลับไป แล้วใช้ดวงตาจ้องมองผู้ที่อยู่ด้านหลัง
 
มันเป็นดวงตาสีเทาพายุ
 
 
 
............................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่