เราอยากเข้าอักษรจุฬาค่ะ อยากเข้ามาตั้งแต่ตอนอยู่ม.3 เลือกเรียนสายศิลป์-ภาษาตอนม.ปลายเพราะอยากเรียนอักษร พอม.ปลายได้เรียนจีนจริงจังแล้วก็พบว่าตัวเองชอบภาษาจีนและทำมันได้ค่อนข้างดี
ถึงตรงนี้ทุกคนก็คงขมวดคิ้วแล้วว่า มันก็มีคำตอบอยู่แล้วนี่ ก็ต้องเลือกเรียนสิ่งที่ชอบสิ
ขอเล่าก่อนว่าเราเป็นคนเรียนดีค่ะ แต่ไม่ได้ตั้งใจเรียนขนาดนั้น อาศัยว่าเป็นคนหัวไวและมีเพื่อนเป็นคนละเอียดมากๆ บวกกับการเป็นเด็กกิจกรรมและเป็นลูกรักครูในระดับหนึ่ง(เป็นคนใช้ง่ายค่ะ แล้วก็ชอบทำกิจกรรมมากๆทำให้คุณครูหลายท่านคุ้นหน้า เพราะลองทำมาเกือบทุกอย่างแล้วค่ะในฝั่งสายสังคมศาสตร์) ทำให้เกรดดีมาตลอดเลยค่ะ
แต่ด้วยความที่ชีวิตราบรื่นและง่ายเกินไป มันทำให้เราคิดว่าตัวเองทำทุกอย่างได้ดีอยู่ตลอด แบบที่เขาเรียกกันว่าทะนงตัวนั่นแหละค่ะ เลยไม่ได้ทุ่มเทอะไรกับการสอบมากเท่าไหร่ คิดแต่ว่าพออ่านแล้วเดี๋ยวก็ทำได้เองเหมือนที่ผ่านๆมา แต่สุดท้ายการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปี2563 ก็ฉุดเอาทุกความมั่นใจของเราไปหมดเลยค่ะ เราเสียความมั่นใจมากๆ แล้วอยู่ๆก็บอกตัวเองว่าแบบนี้ไม่ได้ ต้องซิ่ว ต้องซิ่วเท่านั้น
ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วเหตุผลที่เราซิ่ว นอกจากการที่ไม่ได้คณะที่หวังและไม่มีแผนสำรองอะไรไว้ ก็อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นมีส่วนเล็กๆในใจของเราไม่เชื่อค่ะ ไม่เชื่อว่าตัวเองจะแพ้ ไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำไม่ได้
แล้วที่บ้านก็ให้ซิ่วค่ะ ยอมให้ซิ่วอยู่บ้านแบบไม่ถามเหตุผลอะไรเลย โดยมีข้อแม้ว่าให้เวลาแค่ปีเดียว ปีต่อไปก็ต้องเรียน
ทำให้การอ่านหนังสือสอบในปีนี้เราทุ่มเทมากจริงๆค่ะ อ่านจนอยากจะอ้วกออกมา รู้สึกเฟลบ้างเวลาเห็นเพื่อนอัพสตอรี่ไปมอ ได้นั่งเรียน ได้รู้จักเพื่อนใหม่ หัวร้อนเป็นบางครั้งที่ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักในระแวกบ้านชอบถามว่าเมื่อไหร่จะไปเรียน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ เพราะเราเลือกเอง ส่วนมากก็จะตัดปัญหาด้วยการหมกตัวอยู่ในบ้าน มันค่อนข้างเครียดแล้วก็รู้สึกแย่อยู่นะคะ ที่สัตว์สังคมอย่างเราต้องมาอยู่แบบเหงาๆ ไม่ได้ไปเรียนพิเศษอะไรด้วย เพราะที่บ้านก็ไม่ได้ฐานะดีอะไรมากบวกกับโควิทและอะไรหลายๆอย่างก็เลยตัดสินใจตัดตรงนี้ออกไป
ถึงจะรู้สึกอุดอู้เกินไปบ้าง แต่ความพยายามของเรามันก็ส่งผลนะคะ คะแนนปีนี้ออกมาค่อนข้างดีเลย สำหรับเราคือดีกว่าปีก่อนมากๆจนเทียบกันไม่ติด แต่ถามว่าถึงอักษรมั้ย ก็ยังต่ำกว่ามีนปีก่อนอยู่อีก4-500คะแนน อาจจะเป็นเพราะตัวเราเองที่บริหารเวลาไม่ถูกในการสอบภาษาอังกฤษ แล้วพอกามั่วก็ไม่เด็ดขาดพอที่จะดิ่งข้อใดข้อหนึ่งลงมา(เราค่อนข้างเชื่อเรื่องดวงของตัวเองค่ะ เพราะเป็นคนที่โชคดีมากๆ แต่ปีนี้พิสูจน์แล้วว่าดวงเราใช้กับการสอบไม่ได้เลย ฮือ)
นั่นแหละค่ะ พอผลมันออกมาเป็นแบบนี้ แม้จะยังไม่ทันได้ยื่นอันดับหรือประกาศผล ก็จำเป็นต้องหาแผนสำรอง เราคิดว่าถ้าไม่ติดอักษรจุฬา คงจะยื่นจีนศึกษาของแม่ฟ้าหลวง แพลนในหัวคิดว่าโอเค ลงตัว แต่พอมาบอกกับที่บ้านปัญหาก็เกิดค่ะ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่มาก แต่เป็นจุดเริ่มต้นของความสับสน
ครอบครัวเราไม่ค่อยโอเคกับการไปเรียนไกลถึงเชียงราย พวกท่านอยากให้เรียนในกรุงเทพฯเพราะมีญาติอยู่ค่อนข้างมาก หรือไม่ก็เรียนจังหวัดใกล้ๆบ้าน จะได้ไปมาหากันได้สะดวก แต่ถ้ายังอยากเรียนจริงๆเขาขอให้เรายื่นไว้ที่ลำดับสุดท้าย
ที่บ้านไม่เคยขออะไรเราเลยค่ะ ไม่เคยบังคับอะไรเลย เพราะอย่างนั้นเราก็เริ่มคิดเปลี่ยนแผนว่าเรียนที่ไหนดี แต่น่าแปลกที่ในหัวมันคิดอะไรไม่ออกเลยค่ะ ไม่มีความรู้สึกอยากเรียนภาษาจีนที่อื่น
เราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว อยู่ดีๆก็เริ่มสับสนขึ้นมาว่า เราอยากเรียนคณะเกี่ยวกับภาษาจีนจริงๆหรือเปล่า หรือเราแค่อยากเรียนอักษรจุฬา แต่ก็ยังมีแพลนที่จะเลือกแม่ฟ้าหลวงนี่
เราไม่รู้เลยค่ะว่า ที่เราอยากเรียนอักษรจุฬาเราอยากเรียนจริงๆเพราะเรายึดติดกับมันมาตลอดห้าปีหรือเปล่า ที่เลือกแม่ฟ้าหลวงก็อาจจะเพราะหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษด้วยหรือเปล่า
ตอนนี้คือในหัวสับสนๆมากๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตก แล้วที่ทำให้ยิ่งตัดสินใจยากมากขึ้น คือคะแนนเราน่าจะถึงนิติศาสตร์จุฬาฯค่ะ บ้านเรารู้ว่าคะแนนถึงก็ค่อนข้างเชียร์ให้เรียน เพราะเขารู้ว่าเราอยากทำงานเกี่ยวกับภาษาด้านกฎหมายอยู่แล้ว อยากเป็นล่ามในศาลค่ะ แต่ก็ไม่เคยคิดภาพตัวเองเรียนนิติจริงจัง อีกเหตุผลคือเรื่องทุนด้วยค่ะ บ้านเราค่อนข้างได้รับผลกระทบจากโควิทหนักมากๆ ถึงครอบครัวเราจะไม่ได้พูดอะไร แต่เรารู้ว่าการเรียนมหาวิทยาลัยมันมีค่าใช้จ่ายเยอะ ทางไหนที่เซฟช่วยเขาได้ เราก็อยากที่จะไปทางนั้น
มันเลยกลายเป็นกระทู้นี้ขึ้นมาค่ะ เป็นทั้งการระบายและอยากขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆพี่ๆทุกๆคน เราชอบภาษาจีน และค่อนข้างชอบประเทศจีนมากๆ(มีเชื้อสายจีนค่ะ) อยากไปทำงานที่นั่น เลยตั้งใจเรียนภาษา จะได้ทำงานเป็นล่ามในศาลหรือไม่ก็ทำงานเกี่ยวกับงานเอกสารกฎหมายในบริษัทในจีนอะไรแบบนี้ค่ะ เราค่อนข้างสนใจเรื่องกฎหมายอยู่บ้าง แต่เป็นแค่แบบอยากรู้อยากเห็น ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเรียนด้านนี้ ก็คือเราอยากรู้ว่าระหว่างเรียนด้านภาษา(มฟล.)แล้วศึกษาคำศัพท์ด้านนิติศาสตร์เพิ่มเติม กับการเรียนนิติแล้วฝึกภาษาจีนกับอังกฤษเพิ่มให้อยู่ในระดับที่ดีมากๆ หนทางไหนจะไปในทางสายงานที่เราอยากทำมากกว่ากันคะ หรือมีพี่ๆคนไหนมีประสบการณ์ในการทำงานแบบนี้ทั้งในและนอกประเทศสามารถช่วยแชร์ประสบการณ์ไว้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนที่อยากทำงานทางด้านนี้หน่อยได้มั้ยคะ ขอบคุณค่ะ
ระหว่างเรียนภาษากับเรียนนิติ ทางไหนเอื้อในการทำงานล่ามในศาลมากกว่ากันคะ
ถึงตรงนี้ทุกคนก็คงขมวดคิ้วแล้วว่า มันก็มีคำตอบอยู่แล้วนี่ ก็ต้องเลือกเรียนสิ่งที่ชอบสิ
ขอเล่าก่อนว่าเราเป็นคนเรียนดีค่ะ แต่ไม่ได้ตั้งใจเรียนขนาดนั้น อาศัยว่าเป็นคนหัวไวและมีเพื่อนเป็นคนละเอียดมากๆ บวกกับการเป็นเด็กกิจกรรมและเป็นลูกรักครูในระดับหนึ่ง(เป็นคนใช้ง่ายค่ะ แล้วก็ชอบทำกิจกรรมมากๆทำให้คุณครูหลายท่านคุ้นหน้า เพราะลองทำมาเกือบทุกอย่างแล้วค่ะในฝั่งสายสังคมศาสตร์) ทำให้เกรดดีมาตลอดเลยค่ะ
แต่ด้วยความที่ชีวิตราบรื่นและง่ายเกินไป มันทำให้เราคิดว่าตัวเองทำทุกอย่างได้ดีอยู่ตลอด แบบที่เขาเรียกกันว่าทะนงตัวนั่นแหละค่ะ เลยไม่ได้ทุ่มเทอะไรกับการสอบมากเท่าไหร่ คิดแต่ว่าพออ่านแล้วเดี๋ยวก็ทำได้เองเหมือนที่ผ่านๆมา แต่สุดท้ายการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปี2563 ก็ฉุดเอาทุกความมั่นใจของเราไปหมดเลยค่ะ เราเสียความมั่นใจมากๆ แล้วอยู่ๆก็บอกตัวเองว่าแบบนี้ไม่ได้ ต้องซิ่ว ต้องซิ่วเท่านั้น
ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วเหตุผลที่เราซิ่ว นอกจากการที่ไม่ได้คณะที่หวังและไม่มีแผนสำรองอะไรไว้ ก็อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นมีส่วนเล็กๆในใจของเราไม่เชื่อค่ะ ไม่เชื่อว่าตัวเองจะแพ้ ไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำไม่ได้
แล้วที่บ้านก็ให้ซิ่วค่ะ ยอมให้ซิ่วอยู่บ้านแบบไม่ถามเหตุผลอะไรเลย โดยมีข้อแม้ว่าให้เวลาแค่ปีเดียว ปีต่อไปก็ต้องเรียน
ทำให้การอ่านหนังสือสอบในปีนี้เราทุ่มเทมากจริงๆค่ะ อ่านจนอยากจะอ้วกออกมา รู้สึกเฟลบ้างเวลาเห็นเพื่อนอัพสตอรี่ไปมอ ได้นั่งเรียน ได้รู้จักเพื่อนใหม่ หัวร้อนเป็นบางครั้งที่ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักในระแวกบ้านชอบถามว่าเมื่อไหร่จะไปเรียน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ เพราะเราเลือกเอง ส่วนมากก็จะตัดปัญหาด้วยการหมกตัวอยู่ในบ้าน มันค่อนข้างเครียดแล้วก็รู้สึกแย่อยู่นะคะ ที่สัตว์สังคมอย่างเราต้องมาอยู่แบบเหงาๆ ไม่ได้ไปเรียนพิเศษอะไรด้วย เพราะที่บ้านก็ไม่ได้ฐานะดีอะไรมากบวกกับโควิทและอะไรหลายๆอย่างก็เลยตัดสินใจตัดตรงนี้ออกไป
ถึงจะรู้สึกอุดอู้เกินไปบ้าง แต่ความพยายามของเรามันก็ส่งผลนะคะ คะแนนปีนี้ออกมาค่อนข้างดีเลย สำหรับเราคือดีกว่าปีก่อนมากๆจนเทียบกันไม่ติด แต่ถามว่าถึงอักษรมั้ย ก็ยังต่ำกว่ามีนปีก่อนอยู่อีก4-500คะแนน อาจจะเป็นเพราะตัวเราเองที่บริหารเวลาไม่ถูกในการสอบภาษาอังกฤษ แล้วพอกามั่วก็ไม่เด็ดขาดพอที่จะดิ่งข้อใดข้อหนึ่งลงมา(เราค่อนข้างเชื่อเรื่องดวงของตัวเองค่ะ เพราะเป็นคนที่โชคดีมากๆ แต่ปีนี้พิสูจน์แล้วว่าดวงเราใช้กับการสอบไม่ได้เลย ฮือ)
นั่นแหละค่ะ พอผลมันออกมาเป็นแบบนี้ แม้จะยังไม่ทันได้ยื่นอันดับหรือประกาศผล ก็จำเป็นต้องหาแผนสำรอง เราคิดว่าถ้าไม่ติดอักษรจุฬา คงจะยื่นจีนศึกษาของแม่ฟ้าหลวง แพลนในหัวคิดว่าโอเค ลงตัว แต่พอมาบอกกับที่บ้านปัญหาก็เกิดค่ะ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่มาก แต่เป็นจุดเริ่มต้นของความสับสน
ครอบครัวเราไม่ค่อยโอเคกับการไปเรียนไกลถึงเชียงราย พวกท่านอยากให้เรียนในกรุงเทพฯเพราะมีญาติอยู่ค่อนข้างมาก หรือไม่ก็เรียนจังหวัดใกล้ๆบ้าน จะได้ไปมาหากันได้สะดวก แต่ถ้ายังอยากเรียนจริงๆเขาขอให้เรายื่นไว้ที่ลำดับสุดท้าย
ที่บ้านไม่เคยขออะไรเราเลยค่ะ ไม่เคยบังคับอะไรเลย เพราะอย่างนั้นเราก็เริ่มคิดเปลี่ยนแผนว่าเรียนที่ไหนดี แต่น่าแปลกที่ในหัวมันคิดอะไรไม่ออกเลยค่ะ ไม่มีความรู้สึกอยากเรียนภาษาจีนที่อื่น
เราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว อยู่ดีๆก็เริ่มสับสนขึ้นมาว่า เราอยากเรียนคณะเกี่ยวกับภาษาจีนจริงๆหรือเปล่า หรือเราแค่อยากเรียนอักษรจุฬา แต่ก็ยังมีแพลนที่จะเลือกแม่ฟ้าหลวงนี่
เราไม่รู้เลยค่ะว่า ที่เราอยากเรียนอักษรจุฬาเราอยากเรียนจริงๆเพราะเรายึดติดกับมันมาตลอดห้าปีหรือเปล่า ที่เลือกแม่ฟ้าหลวงก็อาจจะเพราะหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษด้วยหรือเปล่า
ตอนนี้คือในหัวสับสนๆมากๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตก แล้วที่ทำให้ยิ่งตัดสินใจยากมากขึ้น คือคะแนนเราน่าจะถึงนิติศาสตร์จุฬาฯค่ะ บ้านเรารู้ว่าคะแนนถึงก็ค่อนข้างเชียร์ให้เรียน เพราะเขารู้ว่าเราอยากทำงานเกี่ยวกับภาษาด้านกฎหมายอยู่แล้ว อยากเป็นล่ามในศาลค่ะ แต่ก็ไม่เคยคิดภาพตัวเองเรียนนิติจริงจัง อีกเหตุผลคือเรื่องทุนด้วยค่ะ บ้านเราค่อนข้างได้รับผลกระทบจากโควิทหนักมากๆ ถึงครอบครัวเราจะไม่ได้พูดอะไร แต่เรารู้ว่าการเรียนมหาวิทยาลัยมันมีค่าใช้จ่ายเยอะ ทางไหนที่เซฟช่วยเขาได้ เราก็อยากที่จะไปทางนั้น
มันเลยกลายเป็นกระทู้นี้ขึ้นมาค่ะ เป็นทั้งการระบายและอยากขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆพี่ๆทุกๆคน เราชอบภาษาจีน และค่อนข้างชอบประเทศจีนมากๆ(มีเชื้อสายจีนค่ะ) อยากไปทำงานที่นั่น เลยตั้งใจเรียนภาษา จะได้ทำงานเป็นล่ามในศาลหรือไม่ก็ทำงานเกี่ยวกับงานเอกสารกฎหมายในบริษัทในจีนอะไรแบบนี้ค่ะ เราค่อนข้างสนใจเรื่องกฎหมายอยู่บ้าง แต่เป็นแค่แบบอยากรู้อยากเห็น ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเรียนด้านนี้ ก็คือเราอยากรู้ว่าระหว่างเรียนด้านภาษา(มฟล.)แล้วศึกษาคำศัพท์ด้านนิติศาสตร์เพิ่มเติม กับการเรียนนิติแล้วฝึกภาษาจีนกับอังกฤษเพิ่มให้อยู่ในระดับที่ดีมากๆ หนทางไหนจะไปในทางสายงานที่เราอยากทำมากกว่ากันคะ หรือมีพี่ๆคนไหนมีประสบการณ์ในการทำงานแบบนี้ทั้งในและนอกประเทศสามารถช่วยแชร์ประสบการณ์ไว้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนที่อยากทำงานทางด้านนี้หน่อยได้มั้ยคะ ขอบคุณค่ะ