อยากเขียนนิยายแนวเดินป่าเจอสิ่งลึกลับดูครับ

ขอความกรุณาด้วยครับ กำลังหัดครับ อยากรู้ว่าอ่านแล้วมีความรู้สึกเห็นบรรยากาศรึเปล่าครับ

แดนวิปลาส
•ภาคป่าอาถรรพ์•
  
    ซ่อนเร้น พิสดาร หวาดหวั่น ลี้ลับ ซุกซ่อน
บางสิ่งจะนำพาความวิปลาสมาหาคุณ 
ถึงแล้วดินแดนแห่งนี้
   
   ที่เมื่อคุณได้หลงเข้าไปสักครั้งจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต
ของคุณอย่างแน่นอน ณ ที่แห่งนี้ แดนวิปลาส
  #ขอต้อนรับสู่เส้นทางแห่งใหม่#
 
   "ไอยริน อย่ามัวแต่เล่นใบบัวในสระน้ำสิลูก 
มาช่วยแม่เก็บดอกบัวเร็วเข้า เดี๋ยวจะกลับบ้านไปทำ
ชุดดอกไม้ขายหน้าวัดไม่ทันนะจ๊ะ" 
   เด็กน้อยวัยเจ็ดขวบ ถือก้านใบบัวที่ลอยมาตามน้ำจากการถูกเด็ดทิ้ง เอามาชูขึ้นเหนือหัวโบกไปโบกมา
ยืนเล่นในสระน้ำอย่างสนุกสนาน
   ละอองไอหมอกยามเช้า ลอยเหนือผิวน้ำดุจม่านควันสีขาวๆ ปกคลุมไปตามจุดต่างๆตามบริเวณของสระ
   ผืนใบบัวสีเขียวเข้ม คลุมบดบังผมสีดำยาวสลวยของเธอ 
ขณะที่หยดน้ำบนใบบัว ไหลรินออกเป็นสายเล็กๆใสเเจ๋วซะทีเดียว
   ร่วงกระทบกับฝ่ามือน้อยๆ สีเนื้ออ่อนชมพูอมส้มนิดๆของเด็กน้อยที่หงายรออยู่แต่แรกแล้ว ดังติ๋งติ๋ง
    
   ริมฝีปากแดงสดใสไร้ซึ่งการเติมแต่งใดๆ หากแต่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบมันให้กับเธอมาตั้งแต่แรกเกิดด้วยอยู่แล้ว
    เธอเดินผ่านคลื่นน้ำเย็นๆ ในเวลาก่อนรุ่งอรุณจะมาเยือน 
    ใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและจินตนาการถึงความสนุกสนานตามประสาเด็กสาวผู้เริงร่า ที่กำลังเจิดจรัสในห้วงวัยเยาว์สุดหวนคะนึงหาสำหรับใครอีกหลายต่อหลายคน 
    เธอแตกต่างจากเด็กทั่วไป เธอมีร่างกายที่ไม่ป่วยไข้ เป็นเด็กที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง 
    มีความคิดที่ใคร่รู้ในสิ่งแวดล้อมรอบตัว และยังรักในจริยธรรม ที่ได้รับการถ่ายทอดปลูกฝังมาจากแม่ของเธอตั้งแต่แบเบาะ
   ชื่อของเด็กสาวคนนั้นคือ  ไอยริน นารินยา
   สิบห้าปีต่อมา
   ฉันคือไอยริน วันนี้ฉันกำลังจะเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด 
   บ้านที่ซึ่งเคยจากมานานแสนนาน บ้านนั้น...
(ไอยรินหยุดคิดไปครู่หนึ่ง) 
   บ้านนั้นมีคนสำคัญที่สุดในชีวิตที่ฉันรักรออยู่ คนๆนั้นคือคนที่ฉันเรียกเธอว่าแม่... 
   ไอยรินหยุดคิดไปชั่วขณะอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนไปมองบรรยากาศป่าเขาตามสองข้างทางแทน 
   แรงลมโหมกระหน่ำเข้ามาปะทะผมของเธออย่างบ้าคลั่งจนแตกเป็นสายคลื่นคลี่สยายไปมาแบบไม่รู้ทิศไม่รู้ทาง 
   จนต้องยกมือขึ้นมาจับรวบเอาไว้ให้เข้าที่เข้าทาง บางทีก็มีบ้างที่จะลอยไปฟาดหน้าคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ อย่างไม่ตั้งใจ
  ตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่กับเพื่อนร่วมทางที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อนบนรถสองแถวเจ้าพายุ
    ผู้โดยสารจำนวนสิบกว่าคนกำลังพากันก่นด่าคนขับรถสองแถวเก่าๆ ที่แล่นไปบนถนนลูกรังสูงขึ้นไปมีอุโมงค์ต้นไม้สลับกับแนวทุ่งนาทั้งซ้ายและขวา โผล่ลอดออกมาตามทางให้ได้เห็นอยู่บ้าง 
   เส้นทางแห่งนี้ดูน่าเที่ยวมากๆ ถ้าจะมาขับรถเล่นกินลมเอาบรรยากาศจากอุโมงค์ต้นไม้ที่โค้งลงมาเป็นซุ้มตามตีนเขาสองข้างทางทอดยาวไปเรื่อยๆ
   ส่วนยอดของมันยื่นออกจากเนินเขาทั่งฝั่งซ้ายมือและฝั่งขวามือ โน้มเอียงเข้ามาประสานบรรจบกันเกิดเป็นอุโมงค์ธรรมชาติที่ทอดยาวไปตามเส้นทางแนวเขานี้หลายกิโลเมตร 
   แต่มันไม่น่าอยู่หรอก รอบๆนี้เป็นเขตป่าดิบ นอกจากจะเป็นเส้นทางของมนุษย์ที่ใช้เดินทาง
   มันก็เป็นเส้นทางที่สัตว์ใช้เดินทางด้วยเช่นกัน 
อย่างวันดีคืนดี อาจมีเสือกระโจนลงมาตะปบคนที่มาปั่นจักรยานเล่นแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วคาบไปกินก็มีอยู่บ่อยๆ
  ใช่มันมีคนประเภทที่ว่าชอบหลงผิดคิดไปเองว่า ที่ใดมีถนนให้รถผ่านได้ ที่นั่นย่อมสามารถเดินทางได้โดยสวัสดิภาพ
   เส้นทางอาจจะเป็นมิตรกับคุณ แต่เมื่อไหร่ที่เส้นทางนั้นเข้าไปในเขตป่าลึก สิ่งที่คุณควรตระหนักไว้ในใจอยู่เสมอ นั่นคือหากเป็นถนนที่อยู่ในป่าเท่ากับอันตรายถ้าประมาทอาจเกิดอันตรายได้
    หรือไม่ก็จระเข้ตัวใหญ่วิ่งลงมาเพื่อจะข้ามไปอีกฟากของเนินเขา 
   ทุกอย่างเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจคาดคิดหรือคาดเดาได้เลย
    บริการรถสองแถวจึงเป็นทางเลือกที่ผู้คนแถวนี้อุ่นใจที่สุด และก็กัดปากกัดฟันทนใช้มาจนถึงทุกวันนี้
    เลือกไม่ได้หรอกเพราะมีแค่คันนี้คันเดียวที่พูดถึงนั่นแหละ
   ไม่เก๋าจริงอยู่มาไม่ได้ถึงทุกวันนี้หรอก มันเป็นคำแซวแกมจิกกัดของชาวบ้านที่มอบให้กับคนขับรถสองแถวคันนี้โดยเฉพาะ รถสองแถวอีแก่สนิมเขรอะยังคงวิ่งต่อไปบนเส้นทางอุโมงค์ต้นไม้ที่สวยงาม ตึงตังตึงตัง!
   รถสองแถวโคลงเคลงไปมาไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่นัก 
   ในขณะที่สายตาของไอยรินกำลังเปิดกว้างขึ้นมองเห็น  ถึงสิ่งที่ห่างออกไปข้างหน้าจนรู้สึกถึงความอิ่มเอมในใจ
   ตาสีดำอมน้ำตาลแดงดุจแก้วนิลเพชรพลอยหรือหยดน้ำค้างสดใสจากดวงนัยน์ตาทั้งคู่ของเธอ            จับจ้องไปยังทุ่งนาเขียวขจี
   ที่มีซุ้มต้นไทรนับร้อยต้น เบียดเสียดกันจนหนาทึบขึ้นอยู่ทางด้านขวาตามแนวป่าข้างหน้า
   ใกล้เส้นทางของถนนที่รถสองแถวกำลังมุ่งหน้าไป มันหนาแน่น และรายล้อมรอบๆตัววัดที่สร้างด้วยอิฐมอญสีแดงน้ำตาลไว้เป็นทางยาวตามแนวเส้นทางของถนน
   มีทั้งกำแพง และซุ้มประตูคล้ายอารยธรรมปราสาทเขาพนมรุ้ง 
   ภาพวัตถุโบราณสถานเก่าแก่ทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นจุดชี้พิกัดที่บอกเธอว่า 
"ถึงบ้านแล้ว" 
"ถึงบ้านแล้ว" 
"ถึงบ้านแล้วนะ" 
   ขณะที่แผ่นหลังแบนราบแนบอิงผนังราวกั้นเหล็ก     
   ของรถสองแถวที่เก่าเขรอะจนสีที่ถูกทาเคลือบไว้ด้วยลายของฝีแปรงนูนบ้างยุบบ้าง 
   เผยให้เห็นผลงานการทาสีแบบไม่ได้เรื่อง เกิดเป็นเส้นตามแนวขนแปรงไม่สม่ำเสมอกัน เป็นแนวยาวจนเห็นได้ชัดว่าถูกทาไว้นานมากแล้ว
   จะตั้งแต่กี่ปีก่อนก็ไม่ทราบได้ แต่สีสนิมนั้นแทบจะเป็นตะกรันสีดำน้ำตาลเลยก็ว่าได้
   แผ่นสีก็ลอกร่อนไปตามกาลเวลา เป็นธรรมดาด้วยคุณสมบัติและอายุการใช้งานที่เสื่อมถอยของมัน 
   ลอกจนไม่มีอะไรจะลอกแล้ว จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด
ประดุจดั่งเจ้าของรถไม่ได้เอาใจใส่ดูแล และปล่อยมันเอาไว้อย่างนั้นตามยถากรรม กะใช้ยันลูกบวชหลานบวชจนพังกันไปข้างหนึ่งให้ได้เลย
   ผู้โดยสารก็ต่างพากันก่นด่าจากข้างหลังรถสองแถวมาตลอดทางเกี่ยวกับรถสองแถวคันนี้ 
   ทั้งการขับรถที่ไม่ไว้หน้าชาวบ้านชาวช่อง คือกูเหยียบได้เท่าไหร่ ถนนโล่งตอนไหน เป็นอันว่าวาล์วคันเร่งเปิดเมื่อนั้น
    ถ้าตกหลุมลึกเท่าข้อตาตุ่มซักหน่อย เห็นทีคงได้เทผู้โดยสารลงทางข้างทางไปช่วยกันนับเม็ดทรายกันก่อนถึงบ้านถึงช่องเป็นแน่ 
   นี่ยังไม่รวมราวกั้นขึ้นสนิมสำหรับใช้เป็นที่พิงหลัง
 
   เมื่อสัมผัสกับเสื้อผ้าแล้ว จะแถมสีย้อมผ้าให้กับผู้โดยสารเป็นของสัมนาคุณติดหลังเสื้อผ้ากลับบ้านกันคนละแนวสองแนวกันอีกนะ 
   พอบ่นจนแกได้ยินเข้า ก็กลายเป็นว่าไปช่วยเพิ่มแรงม้าให้รถสองแถวคันนี้มาอีก2-3ตัวเลยจ้า 
   ก็มันทำให้เจ้าของรถสองแถวเขาไม่พอใจอย่างหนัก  แกเลยเหยียบคันเร่งยับเยินจนผู้โดยสารหัวโขกกัน หรือถ้าจับราวเหล็กไว้ไม่ดีก็อาจไถลล้มฟุบใส่กันไปเลยก็มี
 (ภาษาแถวบ้านเขาเรียกว่าทำใส่กันหรือประชดยิ้มซะเลยนิ) 
   ต้องเข้าใจอีกอย่าง ที่แกไม่ง้อใครก็เพราะว่าถนนเส้นนี้ไม่มีใครกล้ารับส่งผู้โดยสารเลยซักราย 
  ก็จะมีแค่เจ้าของรถสองแถวคันนี้แหละที่รับส่งผู้โดยสารเพียงแค่เจ้าเดียวเท่านั้น
   แต่สิ่งหนึ่งที่รับประกันได้แน่นอนก็คือ แกส่งผู้โดยสารถึงที่หมายปลอดภัยกันทุกคน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม 
   แกชื่อ ตาเวช คนส่วนมากเขาเรียกแกแบบนั้น แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าแกอาศัยอยู่ที่ไหน
   แถมชื่อจริงของแกก็ไม่มีใครรู้อีก พอถามแกแกก็บอกว่า
“เรียกฉันว่าเวชเฉยๆก็ได้อยากไปไหนบอกฉัน ฉันจะดูแลจนถึงที่หมายอย่างปลอดภัย อ่อ...แต่ห้ามบ่นเรื่องการบริการการขนส่งของฉันละ”
   โชคดีที่ไอยรินสวมเสื้อยีนส์สีดำแขนยาวคลุมทับเสื้อข้างนอกไว้อีกทีหนึ่งในตอนพิงราวกั้น เลยไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับสีของสนิมจะติดเสื้อเท่าไหร่ 
   แต่ถึงจะเปื้อนเสื้อ เธอก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว เพราะเธอเป็นคนที่รู้จักคิด
   เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่ใจดีมากๆคนหนึ่งมันคือสิ่งที่ได้รับการอบรมมาจากแม่ของเธอเมื่อครั้งยังเด็ก
ครืนนนนนน ...
  เสียงเครื่องยนต์รถสองเเถวลดกำลังลงเพื่อเตรียมชะลอตัวจอดรับและส่งผู้โดยสาร เสียงเบรคเก่าๆฟังไม่รื่นหูแต่มันยังใช้การได้ดีอยู่และปลอดภัย 
   นอกจากเสียงเครื่องยนต์ของรถ ก็ไม่มีเสียงอะไรเลย
   เงียบมาก เงียบจริงๆ แม้แต่ผู้โดยสารหลังรถก็จ้องมองหน้ากัน กลืนน้ำลายคนละอึกกันเฉยเลย
   ทั้งๆที่ก่อนหน้ายังก่นด่าตาเวชอยู่แท้ๆ ทุกคนบนรถมองหน้ากันเหมือนกับว่ามีอะไร แต่เลือกที่จะนิ่งเงียบ 
   เหมือนกับว่ามีสิ่งไม่ชอบมาพากลอะไรเกิดขึ้น ส่วนคนเดียวที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยคือ ไอยริน ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ 
 
   เธอพึ่งจะได้กลับมาบ้านของเธอครั้งแรกในชีวิต 
   "มีเเขกลงมาจากพาหนะของเจ้านั่นแล้วหนึ่งตัว" 
   นิ้วมืององุ้มสีขาวซีด เล็บสีดำเรียวแหลมประกบมืออีกข้างแต่นั่นไม่ใช่มือของมัน
   แขนที่ถูกตัดโดยแรงกัดกระชากขาดวิ่น มีสีผิวเนื้อปรากฏว่าเป็นท่อนแขนของมนุษย์อย่างแน่นอน
   มันกำลังถูกฟังแหลมๆหลายซี่แทะกัดเสียงดัง
เเจ๊บแจ๊บ แจ๊บแจ๊บ
   ร่างที่ไม่เปิดเผยตัวตนสีดำตาแดงก่ำ หลบซุ่มมองจับจ้องไปที่ ไอยริน อย่างไม่ลดละ 
   ตัดกลับมาที่ไอยริน เธอกำลังจะเดินออกมาจากรถสองแถวหลังจากที่จ่ายค่าโดยสารกับ ตาเวช คนขับรถสองแถวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทว่าตาเวชคนขับรถสองแถวก็เรียกเธอก่อนจะจากไป 
   "แม่หนู"
    ไอยรินเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุด แล้วหันกลับมาหาตาเวชคนขับรถสองแถวอีกครั้ง ก่อนจะมองขึ้นไปหาเขาแล้วยิ้มให้ เป็นการบอกว่าถ้ามีอะไรก็ถามมาได้
   "คะ ว่าไงคะคุณลุง"
    เธอกล่าวถามด้วยไมตรีจิตที่ดี และรอยยิ้มที่กวาดเชิดขึ้นอย่างไม่เสเเสร้งใดๆ ผิดกับตาเวชคนขับรถสองแถวที่จ้องเธอตาเขม็ง
 
   ก่อนจะตวัดลูกตาในอีกสีหน้าอิริยาบถหนึ่งจับจ้องไปยังโพรงหญ้าหนาทึบไกลออกไปที่มีบางสิ่งหลบซ่อนอยู่ด้วยความเรียบเฉย พลางหันกลับมามองหญิงสาวอีกครั้ง
    "เพราะอะไรถึงมาลงที่นี่ล่ะ พอจะบอกลุงได้ไหม" 
   ตาเวชคนขับรถสองแถวถามด้วยน้ำเสียงให้เกียรติและอ่อนโยนราวกับผู้ใหญ่กำลังให้พรลูกหลาน ขณะที่ไอยรินก็เดินเข้ามาใกล้ๆเขาก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า 
   "เลยป่าไทรนั้นเข้าไปคือบ้านของหนูค่ะ แม่ของหนูอยู่ในหมู่บ้านระแวกนั้นแหละค่ะ หนูจากที่นี่ไปตั้งสิบห้าปีเพราะต้องไปเรียนต่างจังหวัดและอาศัยอยู่กับญาติ ตอนนี้เรียนจบเลยจะกลับมาไหว้คุณแม่ค่ะ" 
   เธอกล่าวตอบอย่างไม่ปกปิดและไม่อายกำพืดว่าตนมาจากไหนจนตาเวชยิ้มเล็กน้อย เขาไม่ถามอะไรต่อไป 
   แต่ว่า....เขาล้วงเอาบางอย่างในรถออกมาให้ไอยริน สิ่งนั้นคือสร้อยที่ห้อยวัตถุอัดกรอบเลี่ยมเงินบริสุทธิ์เป็นกรอบกระจกใส ภายในมีลักษณะเป็นยักษ์สีดำยืนกุมกระบอง เขายื่นให้ไอยริน 
     "จะดีเหรอคะคุณลุง" 
   เธอคิดว่ามันดูมีมูลค่ามากแน่ๆและไม่กล้าจะรับเพราะเกรงใจเขา ทว่าตาเวชคนขับรถสองแถวโคลงหัวพยักหน้าและไม่พูดอะไร
   เป็นการบอกว่าฉันให้เธอแล้วก็จงรักษามันไว้ให้ดีๆละแม่หนู 
   ก่อนที่ใบหน้าราวกับยักษ์มารจะแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้ใหญ่ที่แสนใจดีส่งยิ้มให้
   “เจ้านั่นก็เหมือนลูกชายลุง มันจะคุ้มครองหนูจากสิ่งชั่วร้าย เก็บไว้ดีๆละ ถ้าอยากออกไปจากที่นี่ก็กลับมารอที่ถนนเส้นนี้นะ เดี๋ยวลุงมารับ”
   "ขอบคุณค่ะหนูจะรับไว้นะคะ ถ้ามีโอกาสคราวหน้าขอให้หนูได้ตอบแทนพระคุณบ้างนะคะ" 
   แล้วหลังจากนั้นรถสองแถวก็เคลื่อนตัวออกไป ขณะนั้นไอยรินก็ได้สบสายตากับผู้โดยสารที่นั่งและยืนอยู่หลังรถสองแถวจำนวนเจ็ดถึงแปดคนที่มองมาที่เธอ
    พวกเขาเริ่มหันไปคุยกันเองอย่างลุกลี้ลุกลน แต่เพราะรถสองแถวได้เคลื่อนตัวออกห่างไปไกลมากแล้ว 
   ไอยรินจึงไม่รู้และไม่ได้ยินถึงสิ่งที่คนเหล่านั้นพูดคุยกัน ดูพวกเขาจะกลัวมาก จนแทบไม่มีใครกล้ามายืนท้ายรถเลยซักคน  มันทำให้เธอฉงน ว่าพวกเขาเป็นอะไรกันไปหมด
   "พวกเขาเป็นอะไรกันนะ"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่