'เพื่อไทย' มอบของใช้จำเป็นให้โรงพยาบาลสนาม ทั้งที่บางขุนเทียน-หนองจอก
https://www.matichon.co.th/politics/news_2695536
‘เพื่อไทย’ มอบของใช้จำเป็นให้โรงพยาบาลสนาม ทั้งที่บางขุนเทียน-หนองจอก
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 เมษายน แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนาย
กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรค นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานโซน กทม.โซน 2 และนายวราวุธ ยันต์เจริญ คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครส.ก. ส.ส.กทม.ของพรรค และผู้สมัคร ส.ก. ลงพื้นที่ด้วยลงพื้นที่นำของใช้จำเป็น ได้แก่ หน้ากากอนามัย ชุด PPE แอลกอฮอล์ล้างมือ ข้าวกล่อง ข้าวสาร น้ำดื่ม ขนมขบเคี้ยว มอบให้กับโรงพยาบาลสนาม ณ โรงพยาบาลผู้สูงอายุ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพ พร้อมให้กำลังใจผู้บริหาร บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลและรักษาผู้ป่วยโควิด-19 มาโดยตลอด
โดยนาย
กิตติรัตน์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้พรรคพท.ได้ประสานให้ผู้ป่วยสูงอายุ 2 รายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ซึ่งได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยในการประสานโรงพยาบาลเพื่อนำผู้ป่วยเข้ารักษา อย่างไรก็ตาม พรรคพท.พบปัญหาระบบการส่งผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยเป็นคนในพื้นที่ใกล้เคียงโรงพยาบาล และโรงพยาบาลมีเตียงเพียงพอ แต่กลับต้องส่งข้อมูลเข้าส่วนกลางของ กทม. เพื่อรอการจัดสรรก่อน ทำให้เกิดความล่าช้าจนผู้ป่วยอาการแย่ลง จึงมองว่าแนวคิดการทำงานแบบรวมศูนย์อาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในตอนนี้
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ส.ส. สมาชิกพรรค และว่าที่ผู้สมัคร .สก.ของพรรค ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ทั้งการแจกจ่ายของใช้จำเป็นเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงที่ประชาชนประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย รวมทั้งนำส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลหลายราย โดยได้กระจายทีมงานส่วนกลางและทีมประสานงาน ส.ส.ในทุกพื้นที่ ช่วยกันดูแลประชาชนให้กว้างขวางมากที่สุด หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ พรรคพท. พร้อมเป็นสื่อกลางในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยสามารถติดต่อประสานงานมายังศูนย์ประสานงานของ ส.ส. พรรคพท. ได้ทั่วประเทศ และในกรุงเทพมหานครสามารถติดต่อ ผู้สมัครส.ก.ได้ทุกพื้นที่
จากนั้น ช่วงบ่าย ตัวแทนพรรคพท. นำโดยนาย
จิรายุ ห่วงทรัพย์, นาย
การุณ โหสกุล นาย
อนุสรณ์ ปั้นทอง ส.ส.กทม. น.ส.
ลีลาวดี วัชโรบล และนาย
ไพโรจน์ อิสระเสรีพงศ์ อดีตผู้สมัครสส. กทม. พร้อมด้วยนาง
พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานโซน กทม.โซน 2 และนาย
วราวุธ ยันต์เจริญ คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครส.ก. ได้นำอาหาร และของใช้จำเป็นมอบให้กับโรงพยาบาลสนาม ณ สนามกีฬาบางกอกอารีนา หนองจอก ด้วย
'ศิริกัญญา' อัดรัฐไร้ทิศทางกู้ศก. เลี่ยงบาลีจ่ายเยียวยา ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปชช.ลำบาก
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2696153
“ศิริกัญญา” อัดรัฐ ไร้ทิศทางกู้ศก. ชี้ฝันเฟื่อง เงินฝากคนไทย ดันจีดีพีโต 4% ถามทำไม ดึงคนรวย ทวนความจำโครงสร้าง รวยกระจุก เศรษฐีเงินล้าน ถึงจะมีเงินฝากทะลุล้าน
วันนี้ (28 เม.ย.) น.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อเขียนเรื่อง
[ผ่านไปเกือบเดือนยังไร้วี่แววเยียวยา ไร้ทิศทางกอบกู้เศรษฐกิจ สุพัฒนพงษ์เสนอมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย “รักชาติ อย่าหยุดช็อป”] ผ่านแฟนเพจส่วนตัว โดยระบุว่า
“หลังจากการกลับมาระบาดของโควิดในรอบที่ 3 มาเกือบ 1 เดือนแล้ว รอบนี้เหมือนจะเป็นรอบที่หนักที่สุดที่ประเทศไทยเคยเจอมา รัฐบาลก็ยังแสดงทัศนคติไร้ความรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง ประการสำคัญคือไม่ยอมออกคำสั่งให้มีการล็อกดาวน์ แต่ใช้วิธีโยนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละแห่งไปประกาศมาตรการต่าง ๆ กันเอง ผลที่ปรากฏ คือหลายพื้นที่เริ่มล็อกดาวน์ บางแห่งประกาศเคอร์ฟิว ในขณะที่รัฐบาลโดย ศบค.กลับเลี่ยงบาลีเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องจ่ายเงินเยียวยาก็เท่านั้น
ล่าสุด นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังออกมาให้สัมภาษณ์ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาใดๆ
แถมยังตอบอย่างอารมณ์ดี “คิดว่าหากคนไทยช่วยกันก็ยังมีโอกาสที่ GDP ของไทยจะโตขึ้น 4% ได้ เพราะในตอนนี้พบว่าบัญชีเงินฝากของคนไทยสูงขึ้นหลายแสนล้านบาท ดังนั้นหากต้องการให้ GDP สูงขึ้น 4% ก็ขอให้ช่วยนำเงินฝากออกมาใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งหากนำจำนวนเงินฝากจำนวน 5-6 แสนล้านบาท ออกมาใช้ จะเปลี่ยน GDP ได้ถึง 3% หรือหากนำเงินฝากมาใช้เพียงครึ่งหนึ่งก็จะช่วยได้ขยับ GDP ถึง 1% ทั้งนี้ จากการประเมินประเทศไทยจะมี GDP 2.7 % แต่หากได้คนไทย คนรักประเทศ รักชาติ มาช่วยกันใช้จ่าย เห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือคนที่ด้อยโอกาสกว่า ทุกอย่างก็จะกลับมาได้”
อยากจะฝากไปถึงท่านรองนายกฯ ว่า ขอให้เลิกฝันเฟื่องถึงตัวเลขจีดีพี 4% นั่นได้แล้ว เพราะหลังเกิดการระบาดระลอก 3 นี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจของธนาคารยังประมาณการจีดีพีของประเทศไว้แค่ 1.8% – 2.2% ถึงแม้ว่าท่านจะเรียกร้องให้คนรักชาตินำเงินฝากออกมาใช้จ่ายก็ตาม แต่อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ท่านรองนายกฯได้เสนอว่า แค่นำเงินฝาก จำนวน 5-6 แสนล้านเศรษฐกิจก็จะกลับมาโตเพิ่ม 3%
ข้อมูลจากบัญชีประชาชาติที่สภาพัฒน์ได้รวบรวมเอาไว้ พบว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการออมของครัวเรือนนั้นอยู่ที่ราว 40% และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่การออมส่วนใหญ่หรือราว 60% นั้นเป็นของบริษัทเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้เป็นปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีเอกชนลงทุนต่ำ รัฐบาลต้องกระตุ้นให้บริษัทนำเงินมาลงทุนถึงจะเป็นการแก้ปัญหาเงินออมล้นธนาคารที่ถูกต้อง แต่ที่ผ่านมาแทบไม่เห็นมาตรการกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศ
ส่วนเงินฝากในบัญชีธนาคารพาณิชย์ก็กระจุกตัวมาก เงินฝากที่เพิ่มขึ้นหลายแสนล้านของท่านรองนายกฯนั้นเพิ่มขึ้นจากบัญชีที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านขึ้นไป ขอเรียกว่า “เศรษฐีเงินล้าน” เศรษฐีเงินล้านนี้มีอยู่เพียง 2% ของบัญชีเงินฝากทั้งหมด แต่กินสัดส่วนเงินฝากไปแล้วเกือบ 80% ของยอดเงินฝากทั้งหมด เรียกได้มีคนแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถแคะกระปุกเงินฝากมาช้อปปิ้งใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ไม่ได้หมายความว่าประชาชนทั้งประเทศมีเงินออมอื้อซ่าแต่อย่างใด
ดังนั้น แทนที่จะกระตุ้นให้เศรษฐีเงินล้านมาใช้จ่าย ทำไมรัฐบาลไม่ยืมเงินเศรษฐีพวกนี้มาลงทุนแทน ให้รัฐเป็นผู้ใช้เงินแทนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยการออกพันธบัตร โดยให้ดอกเบี้ยไม่ต้องแพงมากก็จูงใจกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารแล้ว แต่ลืมไปว่ารอบที่แล้วกู้มา 1 ล้านล้าน ยังใช้ไม่หมดเลย
ที่น่าเสียใจคือ โควิดระบาดระลอกใหม่นี้มาร่วมเดือน ยังไม่ได้ยินคำว่าเยียวยาหลุดออกจากปากรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ พูดถึงแต่ “คนละครึ่ง เฟส 3” ที่เหมือนว่ากว่าจะเริ่มก็ตั้งเดือนมิถุนายน
ยังไม่ได้คิดบัญชีรวมกับผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากประกาศคำสั่งของรัฐบาล เจ้าประจำที่ถูกปิดทุกระลอก อย่างร้านนวด ร้านอาหาร ร้านสัก ฟิตเนส ผับ บาร์ (ที่ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข) พวกเขาไม่เคยได้รับการชดเชยโดยตรงใดๆ นอกเสียจากออกมาตรการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) กลายเป็นว่าผู้ประกอบการต้องมาเป็นหนี้จากความผิดที่พวกเขาไม่ได้ก่อ ลองถามตัวเองดูว่า ตั้งแต่โควิดระบาดมาเป็นเวลา 1 ปีนี้ รัฐบาลได้มีมาตรการปิดร้านรวงต่าง ๆ มาแล้วถึง 3 ครั้ง ท่านได้เคยช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อยโดยที่ไม่ต้องให้พวกเขาเป็นหนี้เพิ่มบ้างแล้วหรือยัง?
ถ้าอนุทินเป็น #ทองแท้ไม่กลัวไฟ สุพัฒนพงษ์คงเป็น #ทองไม่รู้ร้อน เข้าคิวให้ประชาชนล่ารายชื่อคนต่อไปเป็นแน่ ขอร้องเถอะค่ะ แค่นี้ประชาชนก็ลำบากมากพออยู่แล้ว”
JJNY : 4in1 พท.มอบของให้รพ.สนาม│ศิริกัญญาอัดรัฐไร้ทิศทางกู้ศก.│แคนาดาพบเสียชีวิตรายเเรกฉีดแอสตรา│เอกชนเสนอล็อกดาวน์15วัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2695536
‘เพื่อไทย’ มอบของใช้จำเป็นให้โรงพยาบาลสนาม ทั้งที่บางขุนเทียน-หนองจอก
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 เมษายน แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรค นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานโซน กทม.โซน 2 และนายวราวุธ ยันต์เจริญ คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครส.ก. ส.ส.กทม.ของพรรค และผู้สมัคร ส.ก. ลงพื้นที่ด้วยลงพื้นที่นำของใช้จำเป็น ได้แก่ หน้ากากอนามัย ชุด PPE แอลกอฮอล์ล้างมือ ข้าวกล่อง ข้าวสาร น้ำดื่ม ขนมขบเคี้ยว มอบให้กับโรงพยาบาลสนาม ณ โรงพยาบาลผู้สูงอายุ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพ พร้อมให้กำลังใจผู้บริหาร บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลและรักษาผู้ป่วยโควิด-19 มาโดยตลอด
โดยนายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้พรรคพท.ได้ประสานให้ผู้ป่วยสูงอายุ 2 รายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ซึ่งได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยในการประสานโรงพยาบาลเพื่อนำผู้ป่วยเข้ารักษา อย่างไรก็ตาม พรรคพท.พบปัญหาระบบการส่งผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยเป็นคนในพื้นที่ใกล้เคียงโรงพยาบาล และโรงพยาบาลมีเตียงเพียงพอ แต่กลับต้องส่งข้อมูลเข้าส่วนกลางของ กทม. เพื่อรอการจัดสรรก่อน ทำให้เกิดความล่าช้าจนผู้ป่วยอาการแย่ลง จึงมองว่าแนวคิดการทำงานแบบรวมศูนย์อาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในตอนนี้
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ส.ส. สมาชิกพรรค และว่าที่ผู้สมัคร .สก.ของพรรค ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ทั้งการแจกจ่ายของใช้จำเป็นเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงที่ประชาชนประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย รวมทั้งนำส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลหลายราย โดยได้กระจายทีมงานส่วนกลางและทีมประสานงาน ส.ส.ในทุกพื้นที่ ช่วยกันดูแลประชาชนให้กว้างขวางมากที่สุด หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ พรรคพท. พร้อมเป็นสื่อกลางในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยสามารถติดต่อประสานงานมายังศูนย์ประสานงานของ ส.ส. พรรคพท. ได้ทั่วประเทศ และในกรุงเทพมหานครสามารถติดต่อ ผู้สมัครส.ก.ได้ทุกพื้นที่
จากนั้น ช่วงบ่าย ตัวแทนพรรคพท. นำโดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์, นายการุณ โหสกุล นายอนุสรณ์ ปั้นทอง ส.ส.กทม. น.ส.ลีลาวดี วัชโรบล และนายไพโรจน์ อิสระเสรีพงศ์ อดีตผู้สมัครสส. กทม. พร้อมด้วยนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานโซน กทม.โซน 2 และนายวราวุธ ยันต์เจริญ คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครส.ก. ได้นำอาหาร และของใช้จำเป็นมอบให้กับโรงพยาบาลสนาม ณ สนามกีฬาบางกอกอารีนา หนองจอก ด้วย
'ศิริกัญญา' อัดรัฐไร้ทิศทางกู้ศก. เลี่ยงบาลีจ่ายเยียวยา ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปชช.ลำบาก
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2696153
“ศิริกัญญา” อัดรัฐ ไร้ทิศทางกู้ศก. ชี้ฝันเฟื่อง เงินฝากคนไทย ดันจีดีพีโต 4% ถามทำไม ดึงคนรวย ทวนความจำโครงสร้าง รวยกระจุก เศรษฐีเงินล้าน ถึงจะมีเงินฝากทะลุล้าน
วันนี้ (28 เม.ย.) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อเขียนเรื่อง [ผ่านไปเกือบเดือนยังไร้วี่แววเยียวยา ไร้ทิศทางกอบกู้เศรษฐกิจ สุพัฒนพงษ์เสนอมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย “รักชาติ อย่าหยุดช็อป”] ผ่านแฟนเพจส่วนตัว โดยระบุว่า
“หลังจากการกลับมาระบาดของโควิดในรอบที่ 3 มาเกือบ 1 เดือนแล้ว รอบนี้เหมือนจะเป็นรอบที่หนักที่สุดที่ประเทศไทยเคยเจอมา รัฐบาลก็ยังแสดงทัศนคติไร้ความรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง ประการสำคัญคือไม่ยอมออกคำสั่งให้มีการล็อกดาวน์ แต่ใช้วิธีโยนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละแห่งไปประกาศมาตรการต่าง ๆ กันเอง ผลที่ปรากฏ คือหลายพื้นที่เริ่มล็อกดาวน์ บางแห่งประกาศเคอร์ฟิว ในขณะที่รัฐบาลโดย ศบค.กลับเลี่ยงบาลีเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องจ่ายเงินเยียวยาก็เท่านั้น
ล่าสุด นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังออกมาให้สัมภาษณ์ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาใดๆ
แถมยังตอบอย่างอารมณ์ดี “คิดว่าหากคนไทยช่วยกันก็ยังมีโอกาสที่ GDP ของไทยจะโตขึ้น 4% ได้ เพราะในตอนนี้พบว่าบัญชีเงินฝากของคนไทยสูงขึ้นหลายแสนล้านบาท ดังนั้นหากต้องการให้ GDP สูงขึ้น 4% ก็ขอให้ช่วยนำเงินฝากออกมาใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งหากนำจำนวนเงินฝากจำนวน 5-6 แสนล้านบาท ออกมาใช้ จะเปลี่ยน GDP ได้ถึง 3% หรือหากนำเงินฝากมาใช้เพียงครึ่งหนึ่งก็จะช่วยได้ขยับ GDP ถึง 1% ทั้งนี้ จากการประเมินประเทศไทยจะมี GDP 2.7 % แต่หากได้คนไทย คนรักประเทศ รักชาติ มาช่วยกันใช้จ่าย เห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือคนที่ด้อยโอกาสกว่า ทุกอย่างก็จะกลับมาได้”
อยากจะฝากไปถึงท่านรองนายกฯ ว่า ขอให้เลิกฝันเฟื่องถึงตัวเลขจีดีพี 4% นั่นได้แล้ว เพราะหลังเกิดการระบาดระลอก 3 นี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจของธนาคารยังประมาณการจีดีพีของประเทศไว้แค่ 1.8% – 2.2% ถึงแม้ว่าท่านจะเรียกร้องให้คนรักชาตินำเงินฝากออกมาใช้จ่ายก็ตาม แต่อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ท่านรองนายกฯได้เสนอว่า แค่นำเงินฝาก จำนวน 5-6 แสนล้านเศรษฐกิจก็จะกลับมาโตเพิ่ม 3%
ข้อมูลจากบัญชีประชาชาติที่สภาพัฒน์ได้รวบรวมเอาไว้ พบว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการออมของครัวเรือนนั้นอยู่ที่ราว 40% และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่การออมส่วนใหญ่หรือราว 60% นั้นเป็นของบริษัทเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้เป็นปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีเอกชนลงทุนต่ำ รัฐบาลต้องกระตุ้นให้บริษัทนำเงินมาลงทุนถึงจะเป็นการแก้ปัญหาเงินออมล้นธนาคารที่ถูกต้อง แต่ที่ผ่านมาแทบไม่เห็นมาตรการกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศ
ส่วนเงินฝากในบัญชีธนาคารพาณิชย์ก็กระจุกตัวมาก เงินฝากที่เพิ่มขึ้นหลายแสนล้านของท่านรองนายกฯนั้นเพิ่มขึ้นจากบัญชีที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านขึ้นไป ขอเรียกว่า “เศรษฐีเงินล้าน” เศรษฐีเงินล้านนี้มีอยู่เพียง 2% ของบัญชีเงินฝากทั้งหมด แต่กินสัดส่วนเงินฝากไปแล้วเกือบ 80% ของยอดเงินฝากทั้งหมด เรียกได้มีคนแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถแคะกระปุกเงินฝากมาช้อปปิ้งใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ไม่ได้หมายความว่าประชาชนทั้งประเทศมีเงินออมอื้อซ่าแต่อย่างใด
ดังนั้น แทนที่จะกระตุ้นให้เศรษฐีเงินล้านมาใช้จ่าย ทำไมรัฐบาลไม่ยืมเงินเศรษฐีพวกนี้มาลงทุนแทน ให้รัฐเป็นผู้ใช้เงินแทนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยการออกพันธบัตร โดยให้ดอกเบี้ยไม่ต้องแพงมากก็จูงใจกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารแล้ว แต่ลืมไปว่ารอบที่แล้วกู้มา 1 ล้านล้าน ยังใช้ไม่หมดเลย
ที่น่าเสียใจคือ โควิดระบาดระลอกใหม่นี้มาร่วมเดือน ยังไม่ได้ยินคำว่าเยียวยาหลุดออกจากปากรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ พูดถึงแต่ “คนละครึ่ง เฟส 3” ที่เหมือนว่ากว่าจะเริ่มก็ตั้งเดือนมิถุนายน
ยังไม่ได้คิดบัญชีรวมกับผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากประกาศคำสั่งของรัฐบาล เจ้าประจำที่ถูกปิดทุกระลอก อย่างร้านนวด ร้านอาหาร ร้านสัก ฟิตเนส ผับ บาร์ (ที่ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข) พวกเขาไม่เคยได้รับการชดเชยโดยตรงใดๆ นอกเสียจากออกมาตรการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) กลายเป็นว่าผู้ประกอบการต้องมาเป็นหนี้จากความผิดที่พวกเขาไม่ได้ก่อ ลองถามตัวเองดูว่า ตั้งแต่โควิดระบาดมาเป็นเวลา 1 ปีนี้ รัฐบาลได้มีมาตรการปิดร้านรวงต่าง ๆ มาแล้วถึง 3 ครั้ง ท่านได้เคยช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อยโดยที่ไม่ต้องให้พวกเขาเป็นหนี้เพิ่มบ้างแล้วหรือยัง?
ถ้าอนุทินเป็น #ทองแท้ไม่กลัวไฟ สุพัฒนพงษ์คงเป็น #ทองไม่รู้ร้อน เข้าคิวให้ประชาชนล่ารายชื่อคนต่อไปเป็นแน่ ขอร้องเถอะค่ะ แค่นี้ประชาชนก็ลำบากมากพออยู่แล้ว”