รูปแกะสลัก " ไดโนเสาร์ " ลึกลับในปราสาทตาพรหม




นักบรรพชีวินวิทยากระแสหลักกล่าวว่า ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อนวิวัฒนาการของมนุษย์ยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้หยุดความคิดที่ว่าไดโนเสาร์บางตัวอาจรอดชีวิตในฐานะประชากรที่เกี่ยวข้อง และปรากฏในงานศิลปะของมนุษย์ ซึ่งตัวอย่างงานศิลปะที่นำมาเป็นหลักฐานสำหรับมุมมองนี้คืองานแกะสลักที่ลึกลับที่ปราสาทตาพรหม (Ta Prohm) ซึ่งเป็นวัดป่ารกชัฏที่สวยงามใน Angkor เมืองหลวงของอาณาจักรเขมร

ปราสาทตาพรหม สร้างขึ้นในรัชสมัยของผู้ปกครองเขมร พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ค.ศ. 1181-1218) เพื่อเป็นอารามของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ซึ่งหลังจากการสลายตัวของอาณาจักรขอม วัดก็ถูกทิ้งและถูกยึดโดยป่ารกจนถึงศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณที่ตั้งของ Angkor เริ่มขึ้น

ในปัจจุบัน ปราสาทตาพรหมมีชื่อเสียงมากที่สุด จากลักษณะที่น่าสนใจของรากไม้ขนาดยักษ์ซึ่งมีปราสาทติดอยู่ตรงกลาง แต่มุมมองที่สวยงามดังกล่าว
กำลังได้รับการเฝ้าดูและดูแลรักษาอย่างรอบคอบในทุกวันนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าวัดจะไม่ทรุดโทรมไปมากกว่านี้ หรือไม่ปลอดภัยสำหรับผู้มาเยี่ยมชมจำนวนนับไม่ถ้วนที่ประหลาดใจในที่บริเวณนี้ในแต่ละปี

เหตุผลที่ปราสาทตาพรหมกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจในประชากรที่มีชีวิตของไดโนเสาร์คือ สิ่งมีชีวิตที่สลักอยู่บนผนังของวิหาร ซึ่งบางตัวมีความคล้ายคลึงกับ " สเตโกซอรัส " (stegosaurus)

 
ประตู 'Tomb Raider' ที่มีชื่อเสียงของวัดตาพรหม นครกัมพูชา 
ในภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider ในปี 2001 (Cr.Paul Mannix/ CC BY 2.0 )


ปราสาทตาพรหมกำลังถูกยึดคืนโดยป่า

สิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิต saurian ชนิดนี้มีลักษณะคล้าย " สเตโกซอรัส " ก็คือส่วนที่ยื่นออกมาที่ด้านหลัง ซึ่งดูเหมือนแผ่นหลังของไดโนเสาร์ที่เป็นที่รู้จัก
นี่เป็นคำกล่าวอ้างที่ได้รับความนิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักสร้างโลกรุ่นเยาว์ ที่เชื่อว่าเป็นหลักฐานที่แสดงว่าไดโนเสาร์อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์นานพอที่พวกมันถูกสลักไว้บนผนังวิหาร

มีคำถามถึงสิ่งมีชีวิตนี้ว่าเป็นไดโนเสาร์หรือไม่ เพราะมันคล้ายกับไดโนเสาร์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม สมมติฐานนี้มีปัญหาหลายประการ ปัญหาแรกคือ
แผ่นจารึกทางศิลปะที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในงานแกะสลักอื่น ๆ อีกมากมายรอบวิหาร ซึ่งแตกต่างจากความเจริญรุ่งเรืองในที่อื่น ๆเล็กน้อย
แต่ไดโนเสาร์ที่ปรากฏอยู่บนผนังวิหารนั้น มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่พวกมันจะเฟิ่องฟูในยุคนี้ เพราะหากตัดการมีอยู่อย่างมากมายของพวกมันออกไป
สิ่งมีชีวิตนี้จะมีความคล้ายคลึงกับไดโนเสาร์น้อยลง และจะมีความคล้ายคลึงกับแรดมากขึ้น

และหากรูปแกะสลักไม่มีแผ่นหลังที่เหมือนแผ่นหลังของไดโนเสาร์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าสิ่งมีชีวิตนี้เป็น " สเตโกซอรัส " หรือไดโนเสาร์ตัวอื่น ๆ
ซึ่งในเรื่องนี้ มีเหตุผลประกอบอย่างหนึ่งก็คือ หนามแหลมที่ด้านหลังที่โดดเด่นแบบนี้เป็นลักษณะของไดโนเสาร์อย่างแน่นอน จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ศิลปินจะไม่รู้รายละเอียดดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกัน ที่ด้านหลังของหัวสัตว์มีสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหูหรือเขาซึ่ง " สเตโกซอรัส " ไม่น่าจะมี รวมทั้งส่วนหัวของก็ไม่ใช่รูปร่างที่ถูกต้องเช่นกัน


ภาพแสดง " สเตโกซอรัส " ในป่า ( Cr.warpaintcobra / Adobe Stock)
 
สำหรับผู้ที่สนับสนุนว่าสัตว์น่าจะเป็น " สเตโกซอรัส " ได้เสนอความเป็นไปได้เช่น สัตว์นั้นเป็นตัวแทนของสปีชีส์เตโกซอรัสที่ไม่มีหนามแหลม แต่ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การแกะสลักเป็นภาพของสเตโกซอรัสที่ถูกเลี้ยงในบ้าน ที่หนามแหลมถูกนำออกไปด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ซึ่งตามมุมมองนี้ โครงสร้างที่คล้ายหูน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของสายรัด

เพื่อหาคำตอบโดยเฉพาะกับความเป็นไปได้ทั้งสองดังกล่าว โดยคำอธิบายแรกอาจเป็นไปได้ว่า มีสปีชีส์เตโกซอรัสที่ไม่มีหนามแหลมที่ยังไม่ถูกค้นพบ นักบรรพชีวินจึงต้องตั้งสมมติฐานเพิ่มเติมและสำรองสิ่งที่คาดเดาในปัจจุบันให้มากยิ่งขึ้น นั่นคือ ไม่เพียงต้องคิดว่ามันเป็นตัวแทนของไดโนเสาร์จริงๆที่ยังไม่ได้รับการยอมรับ แต่ยังแสดงถึงไดโนเสาร์ที่เรายังไม่มีหลักฐานยืนยันการดำรงอยู่ ซึ่งข้อเสนอแนะนี้ขัดแย้งกับ Occam’s razor (ทฤษฎีที่เหมาะสมและตรงกับข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือการทดลอง)

ส่วนคำอธิบายที่สองที่เป็นปัญหา เนื่องจากเราไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าสเตโกซอรัสมีชีวิตอยู่ในประวัติศาสตร์ ไม่มีการพบกระดูก หรือสายรัดหรือสิ่งใด
ที่บ่งบอกถึงการเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่เช่น สเตโกซอรัส และหากเคยมีไดโนเสาร์ในประเทศนี้ นี่คงเป็นเพียงหลักฐานเดียวที่ได้รู้

รูปปั้นนูนลึกลับที่วัดตาพรหมในนครวัดที่มีชื่อเสียงวัฒนธรรมเขมรเสียมราฐประเทศกัมพูชา
ของ 'ไดโนเสาร์' ท่ามกลางงานแกะสลักอื่น ๆ (อูเวชวาร์ซบาค / CC BY NC SA 2.0 )

ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าสิ่งมีชีวิตที่ปรากฎบนวิหารนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตที่ชาว Khmers โบราณต้องรู้จักกันดี
โดยนักวิชาการได้ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งมีชีวิตนี้มีลักษณะคล้ายกับหมูป่า แรด หรือกิ้งก่า ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายๆกัน ที่อาจไม่ได้ระบุลายละเอียดอย่างเด่นชัด แต่มีอีกหลายเหตุผลที่บ่งบอกว่า มันคือแรด เนื่องจากหูและรูปร่างของหัวของมัน ในขณะที่อีกหลายเหตุผลยังยืนยันว่า มันคือ " สเตโกซอรัส " จากส่วนที่ยื่นออกมาที่แผ่นหลัง

สุดท้าย ตัวตนของสิ่งมีชีวิตนั้นยังมีความคลุมเครืออยู่มาก จากรูปแกะสลักอาจไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันไม่ใช่ไดโนเสาร์ แต่เนื่องจากเรามีหลักฐาน
ที่ชัดเจนว่าชาว Khmers เคยเผชิญหน้ากับแรด หมูป่าและกิ้งก่า แต่ไม่ใช่ไดโนเสาร์ที่มีชีวิต จึงเป็นไปได้มากกว่าในแง่ของหลักฐานใน Occam’s razor นั่นคือ มันเป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่งที่ถูกนำเสนอและไม่เกี่ยวข้องกับประชากรของสเตโกซอรัส

นอกจากนั้น ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะอ้างได้เกี่ยวกับ ฟอสซิลไดโนเสาร์ใดๆล่าสุดที่มีอายุหลายล้านปีที่เคยมีชีวิตอยู่ที่นี่ ซึ่งมันจะต้องหายากมากและมีแนวโน้มว่าจะถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งพวกมันจะปลอดภัยจากผู้ล่า เช่น มนุษย์และเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างกะทันหัน

ซึ่งในช่วงที่มีการสร้างวัดนั้น กัมพูชาเป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมหัวเมืองที่สำคัญคือ อาณาจักรขอมและยังคงมีมนุษย์อาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ตอนล่างเป็นอย่างน้อย  ซึ่งมนุษย์ได้รบกวนสภาพแวดล้อมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากการโค่นป่า และสร้างพื้นที่เพาะปลูกเมืองและเมืองต่างๆ ทำให้ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีประชากรไดโนเสาร์ในพื้นที่ที่มนุษย์ตรวจพบได้ในช่วงปลายประวัติศาสตร์

ในที่สุดมีการเสนอว่า แผ่นหลังที่ที่ยื่นออกมานั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตจริงๆ แต่เป็นเพียงพืชพื้นหลังหรือพืชประดับตกแต่ง และหากนำมันออกไป ความคล้ายคลึงกับ " สเตโกซอรัส " ก็จะหายไป 




By Caleb Strom

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่