เปิดตัวรายการ 'คิดไปข้างหน้ากับธนาธร' แนะภาคธุรกิจไทยปรับแนวทางใช้รักษาการจ้างงานให้คนไทย
https://voicetv.co.th/read/SRi3mARJI
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แนะแนวทางผ่าวิกฤติให้ภาคธุรกิจประคองตัวต่อไปได้ในช่วงโควิด-19 ควรสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และรักษาการจ้างงานให้คนไทย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ไลฟ์เฟซบุ๊กเปิดตัวรายการ '
คิดไปข้างหน้ากับธนาธร' ในหัวข้อ '
สร้างพันธมิตร ประคองธุรกิจพ้นวิกฤต' แสดงวิสัยทัศน์แนะนำผู้ประกอบการในยุควิกฤตโควิด หวังนำไปสู่การประคองภาคธุรกิจเพื่อรักษาการจ้างงานให้ลูกจ้างทั่วประเทศ
ธนาธร ระบุว่าในเวลานี้วิกฤตโควิดกำลังส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ลดลง, กระแสเงินสดขององค์กรที่ลดลง ซึ่งหลายกรณีได้นำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก ภายใต้สภาวะเช่นนี้ หนึ่งในหนทางที่ภาคธุรกิจจะประคองตัวต่อไปได้ ตนขอเสนอความคิดเรื่องการหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่ออุดรูรั่วที่เกิดจากวิกฤตนี้
จากโลกสมมุติของ “ม้า” และ “รถลาก” สู่กรณีธุรกิจจริง แนะแนววิธีการเสริมทัพสู่ความยั่งยืน
โดย
ธนาธร เปรียบเทียบว่าหากมีโลกอยู่ใบหนึ่งที่ไม่รู้จักแท็กซี่ มีเพียงม้ากับรถลาก ถ้าจะเริ่มต้นสร้างแท็กซี่ขึ้นมา จะมีรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัท คือฟาร์มม้า กับบริษัททำรถลาก ได้อย่างไรบ้างเพื่อให้ทั้งสองบริษัทเติบโตร่ำรวยไปด้วยกัน
โดยสรุป
ธนาธรเปรียบเทียบว่าความสัมพันธ์ระหว่างสององค์กรธุรกิจ สามารถมีได้ตั้งแต่การซื้อ-ขาย และให้เช่าเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุด ทั้งเจ้าของม้าซื้อรถลากมาทำแท็กซี่ หรือเจ้าของรถลากซื้อม้ามาทำแท็กซี่ แต่การซื้อ-ขายและให้เช่า เป็นการทำธุรกรรมที่ไม่ได้มัดสององค์กรให้เหนียวแน่นเป็นพันธมิตรกัน สุดท้ายผู้ที่ทำแท็กซี่ได้สำเร็จจะนำปัจจัยกำลังซื้อจากลูกค้าใหม่ มากดราคาซื้อ-ขายกับอีกฝ่ายหนึ่งได้ และทุกคนต่างก็อยากอยู่ในชั้นบนสุดของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) กันทั้งนั้น
จากปัญหาพ้นฐานนี้ องค์กรธุรกิจสององค์กรสามารถกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การทำให้การซื้อ-ขายหรือให้เช่าเป็นในลักษณะเฉพาะ (exclusive) เช่น ต้องซื้อ-ขายจากกันและกันเท่านั้น ห้ามไปซื้อ-ขายกับคนอื่น ซึ่งสามารถนำไปสู่รายได้คงที่ (fixed revenue) และอาจจะนำไปสู่การแบ่งปันกำไร (profit-sharing) ได้
ในกรณีที่บริษัทที่ต้องการไปสร้างพันธมิตรกับบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่เราไม่มี อีกรูปแบบหนึ่งที่ทำกันอย่างแพร่หลายเรียกว่าการทำ Technology Licensing เช่น กรณีของวัคซีนโควิด มหาวิทยาลัย Oxford มีชื่อเสียงเก่าแก่ ได้รับการเคารพจากสังคม และมีสูตรยาที่จะสามารถผลิตเป็นวัคซีนโควิดได้ ส่วน AstraZeneca เป็นบริษัทยาใหญ่ระดับโลก ไม่มีสูตรแต่มีโรงงานผลิตและเครือข่ายการจำหน่ายระดับโลก เขาจึงจับมือกัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Technology Licensing
อีกรูปแบบหนึ่งที่มีความซับซ้อนมากขึ้น คือการทำบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) หรือการที่องค์กรธุรกิจต่างคนต่างลงขันกันสร้างบริษัทใหม่ขึ้นมา แบ่งกันถือหุ้น ทำให้การจัดสรรกำไรใน supply chain เป็นธรรมมากขึ้น ไม่ใช่อีกฝ่ายมากดราคาซื้อ ซึ่งอาจจะทำในลักษณะการถือหุ้นไขว้กัน (cross-shareholding) ได้ เพื่อให้เชื่อใจกันมากขึ้น แนบสนิทกันมากขึ้น ให้ผลประโยชน์ถูกแบ่งสรรกันอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
และอีกรูปแบบหนึ่งที่ไปไกลกว่านั้น ก็คือการควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) คือการที่องค์กรธุรกิจทั้งสองต่างยุบเอาบริษัทของตัวเองลงมารวมกันเป็นบริษัทใหม่บริษัทเดียว ต่างฝ่ายต่างเข้าไปถือหุ้นอยู่ในบริษัทใหม่ ผลประโยชน์ทุกอย่างจะถูกแบ่งตามสัดส่วนผู้ถือหุ้น
“
ถ้าเราลองดูรูปแบบทั้งหมดที่มี ผมไล่มาให้ดูตั้งแต่การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีการผูกมัดกันน้อยไปจนถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีการผูกมัดกันเยอะ สิ่งต่างๆเหล่านี้คือรูปแบบการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีอยู่ จะใช้กับกระบวนการไหน จะใช้กับธุรกิจแบบไหน ต้องอยู่ที่ผู้บริการตัดสินใจเอาเอง”
ธนาธรกล่าว
ห่วงคนไทยตกงานเพิ่ม แนะภาคธุรกิจไทยปรับแนวทางใช้รักษาการจ้างงานให้คนไทย
ธนาธรยังกล่าวต่อไป ว่าในธุรกิจปกติ ไม่มีใครมีทุกอย่างครบ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป, ฐานลูกค้า, เงินลงทุน, เครือข่ายโลจิสติกต์, ช่องทางการขาย, ทีมผู้บริหารที่พร้อม, ชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์, ชื่อเสียงของบริษัท ฯลฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดภาวะวิกฤติอย่างโควิด ทำให้งบประมาณในการลงทุนใช้จ่ายเพื่อสร้างความเข้มแข็งขององค์กรทางธุรกิจแต่ละองค์กรน้อยลง การหาพันธมิตรจึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เพื่อเอามาอุดรอยรั่วในสิ่งที่เราไม่มี
“
ทั้งหมดนี้คือรูปแบบต่างๆที่จะช่วยประคับประคองธุรกิจได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องปลดคนงานทิ้ง หวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์และนำความคิดตรงนี้กลับไปใช้ ในเวลาที่ยอดขายตกลงจากผลกระทบโควิด สร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติมด้วยรูปแบบต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจของท่านมีความเจริญก้าวหน้าไป มีการจ้างงานมากขึ้น คนงานมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็หวังว่าเราจะช่วยกันประคับประคองระบบเศรษฐกิจไม่ให้ล้มเหลวไปกว่านี้ได้”
ธนาธรกล่าวทิ้งท้าย
'ดร.หญิง'แนะรัฐบาลบิ๊กตู่ จัดลำดับฉีดวัคซีนโควิดใหม่
https://www.dailynews.co.th/politics/838916
ดร.อรุณี กาสยานนท์ (ดร.หญิง) โฆษกพรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์โควิด-19 และข้อเสนอการแก้ไขปัญหาไปยังรัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยระบุว่า
“ประยุทธ์ต้องยอมรับความจริง!”
หญิงคิดว่าในเมื่อรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาและจัดการการระบาดได้ด้วยตัวเอง แม้จะมี ศบค.แต่สุดท้ายยังทำงานเชิงรับแบบนี้ รัฐบาลต้องยอมรับความจริงว่าลำพังตัวเองนั้น '
ทำไม่ได้ ไปไม่รอด' ตอนนี้ต้องคิดได้แล้วว่าปัญหาที่มีอยู่เกิดจากอะไร แล้วหาวิธีปิดจุดบอดนั้น รีบเปิดใจให้คนที่เชี่ยวชาญและเก่งเข้ามาช่วยแม้จะเห็นต่างในทางการเมือง เพราะนี้เป็นภาวะวิกฤต สิ่งที่ต้องทำตั้งแต่วันนี้ คือแก้ปัญหาเหล่านี้ค่ะ
1. แพทย์ พยาบาล ไม่พอ
2. โรงพยาบาลรัฐรับผู้ป่วยหนักไม่พอ
3. การได้มาซึ่งวัคซีน และวัคซีน SINOVAC กำลังมีผลกระทบข้างเคียงหรือไม่
หญิงขอเสนอทางออกในฐานะที่เป็นทั้งโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และในฐานะของประชาชนคนหนึ่งที่อยากจะช่วยคิดแก้ปัญหาในตอนนี้ค่ะ
—————————
“แพทย์ พยาบาล ไม่พอ ทางออกที่คิดไม่สุดทาง”
—————————
หญิงเห็นด้วยกับแนวคิดของพลเอกประยุทธ์ที่ขอความร่วมมือให้แพทย์และพยาบาลที่เกษียณอายุ มาช่วยกันทำงานในช่วงที่เกิดการระบาดนี้ ซึ่งหญิงไม่แน่ใจว่าตั้งแต่ที่พลเอกประยุทธ์ประกาศออกไป มีแพทย์ พยาบาล เข้ามาร่วมมือมากน้อยแค่ไหนแล้ว
ปัญหาอยู่ที่ว่าเหล่าแพทย์ พยาบาล ที่เกษียณอายุไปแล้วนั้น มีความมั่นใจที่จะมาร่วมด้วยช่วยกันแค่ไหน เพราะคนที่เกษียณอายุไปแล้วหมายถึงผู้ที่สูงอายุ ซึ่งเมื่อมาร่วมรับมือโรคระบาดอย่างโควิด ก็สมควรต้องได้รับวัคซีนก่อนที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้หรือไม่
—————————
“โรงพยาบาลรับผู้ป่วยหนักไม่พอ”
—————————
เรามีสายด่วน 1668 กรมการแพทย์ หรือ 1646 ศูนย์เอราวัณ หรือ 1330 สายด่วน สปสช. หาเตียงให้ภายใน 24 ชั่วโมง แต่พบว่ามีผู้ป่วยโควิดที่มีอาการรุนแรงจำนวนมากโทรติดต่อเบอร์เหล่านี้ยากลำบาก แต่เมื่อโทรติดเจ้าหน้าที่แนะนำให้รอคิว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก จนต้องออกมาร้องเรียนผ่านสื่อหลายครั้ง กลายเป็นว่าสื่อคือที่พึ่งของผู้ป่วยแทนที่จะเป็นรัฐบาลไปแล้ว
จากข้อมูลล่าสุด (18 เม.ย.64) มีผู้ป่วยโควิดติดต่อขอเตียงผ่านสายด่วน 1668 จำนวน 1,204 คน รับเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแล้ว 627 คน และรอเตียงอยู่ 509 คน แม้ในจำนวนนี้จะเป็นผู้ป่วยที่ไม่ค่อยมีอาการ 362 คน และข้อมูลสายด่วนที่โทรเข้า 1330 (22เม.ย.64) มีผู้ติดเชื้อกว่า 1000 ราย ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. เป็นต้นมา มีเคสค้างที่รอเตียงกว่า 500 ราย และยังมีผู้ติดเชื้อโทรมาแจ้งกว่าวันละ 100 ราย ทางโรงพยาบาลก็พยายามเร่งจัดหาเตียง และเบื้องต้นใช้การโทรสอบถามอาการในเคสที่ไม่รุนแรงและให้กักตัวอยู่บ้าน รักษาตัวตามอาการ แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่าอาการป่วยจะรุนแรงขึ้นเมื่อไหร่
หรือ Hospitel ตอนนี้ หญิงก็คิดว่าเป็นแนวคิดที่ดี แต่คิดไปไม่สุดทาง เพราะ Hospitel มีศักยภาพแค่รับผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการเท่านั้น ซึ่งเราก็มีโรงพยาบาลสนามที่มีกระจายอยู่ทุกพื้นที่ จากรายงานจำนวนเตียงโรงพยาบาลสนามในสังกัดของกระทรวงอุดมศึกษาฯ ยังมีเตียงรองรับผู้ป่วยได้กว่า 7,193 เตียง และมีอีกหลายแห่งที่จะเปิดเพิ่มได้ทั้งในส่วนของสถานศึกษาและฝ่ายความมั่นคง แต่ในอนาคต หากมีจำนวนผู้ป่วยโควิดมากขึ้น เตียงในโรงพยาบาลสนามก็อาจจะไม่เพียงพอรองรับได้ แม้กระทั่งเตียงโรงพยาบาลเอกชนเองก็ยังอาจจะไม่พอเลยค่ะตอนนี้
หญิงจึงเสนอว่า รัฐควรไปจับมือกับเอกชนที่ทำ Budget Hotel หรือ Service Apartment ที่ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์แล็บของเอกชน ซึ่งมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัย และมีบุคลากรทางการแพทย์อยู่ เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิดที่แสดงอาการและต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน แทนโรงพยาบาลของรัฐที่เตียงไม่พอ หรือสำหรับคนที่ไม่สามารถหาเตียงของโรงพยาบาลเอกชนได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาเตียงไม่พอและยังช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการได้ในอีกทางด้วย
—————————
“การได้มาซึ่งวัคซีนมีปัญหาทุกด้าน”
—————————
หญิงขอไม่ลงถึงปัญหาที่เกิดจากการจัดหาวัคซีนของรัฐบาล ที่ทั้งช้าและน้อย (เพราะได้พูดมาหลายครั้งและเสนอทางออกมาหลายวิธีเช่นกัน) แต่หญิงอยากจะให้รัฐทบทวนการจัดลำดับความสำคัญของการฉีดวัคซีนใหม่ รัฐบอกเองว่า 'ในช่วงที่วัคซีนมีจำกัด' จะต้องฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก รองลงมาให้ฉีดผู้สูงอายุ หญิงคิดว่า เมื่อเกิดการระบาดระลอกที่ 3 ซึ่งมีผู้ติดเชื้อรายวันหลักพันคนแบบนี้ รัฐต้องปรับแผนการฉีดวัคซีน เมื่อฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์กลุ่มแรก แต่ในกลุ่มที่สองควรเปลี่ยนการฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ มาฉีดให้กลุ่มที่สร้างรายได้เข้าประเทศในสัดส่วนที่มากขึ้นแทนจะดีกว่าหรือไม่ เพื่อกระตุ้นการสร้างรายได้เข้าประเทศ และเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนทางร่างกายของผู้สูงอายุที่เกิดจากผลข้างเคียงของวัคซีน อย่างที่ได้เกิดขึ้นในต่างประเทศทั้งเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในบางราย หรือในไทยเองก็เกิดภาวะ (คล้าย) อัมพฤกษ์อย่างที่ ศบค.บอก
สำหรับกรณีที่มีผู้รับการฉีดวัคซีนของ SINOVAC แล้วพบอาการอัมพฤกษ์จำนวน 6 ราย ที่จังหวัดระยองนั้น และล่าสุด จากข่าวโรงพยาบาลที่ลำปาง วันนี้ 22 เม.ย.64 บุคลากรทางการแพทย์ก็มีอาการอัมพฤกษ์ เป็นผลข้างเคียงอีกจากการฉีด วัคซีน SINOVAC กว่า 40 ราย หญิงเสนอว่า
1. ควรเร่งตรวจสอบหาสาเหตุ หลังเกิดการฉีดวัคซีนของ SINOVAC มีปัญหารัฐบาลควรระงับการฉีดไว้ก่อนได้หรือไม่ ? แล้วทดสอบวัคซีนอย่างละเอียดอีกรอบ จะดีกว่าหรือไม่ ?
2. ควรนำผลการฉีดวัคซีนทั้ง 7 แสนโดส ทั้งในรายที่ฉีดไปแล้ว 1 เข็ม หรือ 2 เข็ม มาวิเคราะห์และประเมินว่าควรจะฉีดต่อหรือระงับใช้วัคซีนของ SINOVAC หรือไม่ ?
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แม้จะมีผู้พบอาการไม่พึงประสงค์ไม่รุนแรง จากการฉีดวัคซีนของ SINOVAC 72 ราย และพบอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง 6 ราย ดังนั้นรัฐจึงควรเร่งสอบสวนและแถลงกับพี่น้องประชาชนให้ชัดเจน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่เล่นคำให้เร็วที่สุด
JJNY : 4in1 เปิดตัวรายการ'คิดไปข้างหน้ากับธนาธร'│'ดร.หญิง'แนะรบ.ตู่│วิโรจน์หวดสธ.│วิจัยอังกฤษชี้วัคซีนโควิดลดระบาด65%
https://voicetv.co.th/read/SRi3mARJI
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ไลฟ์เฟซบุ๊กเปิดตัวรายการ 'คิดไปข้างหน้ากับธนาธร' ในหัวข้อ 'สร้างพันธมิตร ประคองธุรกิจพ้นวิกฤต' แสดงวิสัยทัศน์แนะนำผู้ประกอบการในยุควิกฤตโควิด หวังนำไปสู่การประคองภาคธุรกิจเพื่อรักษาการจ้างงานให้ลูกจ้างทั่วประเทศ
ธนาธร ระบุว่าในเวลานี้วิกฤตโควิดกำลังส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ลดลง, กระแสเงินสดขององค์กรที่ลดลง ซึ่งหลายกรณีได้นำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก ภายใต้สภาวะเช่นนี้ หนึ่งในหนทางที่ภาคธุรกิจจะประคองตัวต่อไปได้ ตนขอเสนอความคิดเรื่องการหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่ออุดรูรั่วที่เกิดจากวิกฤตนี้
จากโลกสมมุติของ “ม้า” และ “รถลาก” สู่กรณีธุรกิจจริง แนะแนววิธีการเสริมทัพสู่ความยั่งยืน
โดยธนาธร เปรียบเทียบว่าหากมีโลกอยู่ใบหนึ่งที่ไม่รู้จักแท็กซี่ มีเพียงม้ากับรถลาก ถ้าจะเริ่มต้นสร้างแท็กซี่ขึ้นมา จะมีรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัท คือฟาร์มม้า กับบริษัททำรถลาก ได้อย่างไรบ้างเพื่อให้ทั้งสองบริษัทเติบโตร่ำรวยไปด้วยกัน
โดยสรุป ธนาธรเปรียบเทียบว่าความสัมพันธ์ระหว่างสององค์กรธุรกิจ สามารถมีได้ตั้งแต่การซื้อ-ขาย และให้เช่าเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุด ทั้งเจ้าของม้าซื้อรถลากมาทำแท็กซี่ หรือเจ้าของรถลากซื้อม้ามาทำแท็กซี่ แต่การซื้อ-ขายและให้เช่า เป็นการทำธุรกรรมที่ไม่ได้มัดสององค์กรให้เหนียวแน่นเป็นพันธมิตรกัน สุดท้ายผู้ที่ทำแท็กซี่ได้สำเร็จจะนำปัจจัยกำลังซื้อจากลูกค้าใหม่ มากดราคาซื้อ-ขายกับอีกฝ่ายหนึ่งได้ และทุกคนต่างก็อยากอยู่ในชั้นบนสุดของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) กันทั้งนั้น
จากปัญหาพ้นฐานนี้ องค์กรธุรกิจสององค์กรสามารถกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การทำให้การซื้อ-ขายหรือให้เช่าเป็นในลักษณะเฉพาะ (exclusive) เช่น ต้องซื้อ-ขายจากกันและกันเท่านั้น ห้ามไปซื้อ-ขายกับคนอื่น ซึ่งสามารถนำไปสู่รายได้คงที่ (fixed revenue) และอาจจะนำไปสู่การแบ่งปันกำไร (profit-sharing) ได้
ในกรณีที่บริษัทที่ต้องการไปสร้างพันธมิตรกับบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่เราไม่มี อีกรูปแบบหนึ่งที่ทำกันอย่างแพร่หลายเรียกว่าการทำ Technology Licensing เช่น กรณีของวัคซีนโควิด มหาวิทยาลัย Oxford มีชื่อเสียงเก่าแก่ ได้รับการเคารพจากสังคม และมีสูตรยาที่จะสามารถผลิตเป็นวัคซีนโควิดได้ ส่วน AstraZeneca เป็นบริษัทยาใหญ่ระดับโลก ไม่มีสูตรแต่มีโรงงานผลิตและเครือข่ายการจำหน่ายระดับโลก เขาจึงจับมือกัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Technology Licensing
อีกรูปแบบหนึ่งที่มีความซับซ้อนมากขึ้น คือการทำบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) หรือการที่องค์กรธุรกิจต่างคนต่างลงขันกันสร้างบริษัทใหม่ขึ้นมา แบ่งกันถือหุ้น ทำให้การจัดสรรกำไรใน supply chain เป็นธรรมมากขึ้น ไม่ใช่อีกฝ่ายมากดราคาซื้อ ซึ่งอาจจะทำในลักษณะการถือหุ้นไขว้กัน (cross-shareholding) ได้ เพื่อให้เชื่อใจกันมากขึ้น แนบสนิทกันมากขึ้น ให้ผลประโยชน์ถูกแบ่งสรรกันอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
และอีกรูปแบบหนึ่งที่ไปไกลกว่านั้น ก็คือการควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) คือการที่องค์กรธุรกิจทั้งสองต่างยุบเอาบริษัทของตัวเองลงมารวมกันเป็นบริษัทใหม่บริษัทเดียว ต่างฝ่ายต่างเข้าไปถือหุ้นอยู่ในบริษัทใหม่ ผลประโยชน์ทุกอย่างจะถูกแบ่งตามสัดส่วนผู้ถือหุ้น
“ถ้าเราลองดูรูปแบบทั้งหมดที่มี ผมไล่มาให้ดูตั้งแต่การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีการผูกมัดกันน้อยไปจนถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีการผูกมัดกันเยอะ สิ่งต่างๆเหล่านี้คือรูปแบบการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีอยู่ จะใช้กับกระบวนการไหน จะใช้กับธุรกิจแบบไหน ต้องอยู่ที่ผู้บริการตัดสินใจเอาเอง” ธนาธรกล่าว
ห่วงคนไทยตกงานเพิ่ม แนะภาคธุรกิจไทยปรับแนวทางใช้รักษาการจ้างงานให้คนไทย
ธนาธรยังกล่าวต่อไป ว่าในธุรกิจปกติ ไม่มีใครมีทุกอย่างครบ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป, ฐานลูกค้า, เงินลงทุน, เครือข่ายโลจิสติกต์, ช่องทางการขาย, ทีมผู้บริหารที่พร้อม, ชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์, ชื่อเสียงของบริษัท ฯลฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดภาวะวิกฤติอย่างโควิด ทำให้งบประมาณในการลงทุนใช้จ่ายเพื่อสร้างความเข้มแข็งขององค์กรทางธุรกิจแต่ละองค์กรน้อยลง การหาพันธมิตรจึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เพื่อเอามาอุดรอยรั่วในสิ่งที่เราไม่มี
“ทั้งหมดนี้คือรูปแบบต่างๆที่จะช่วยประคับประคองธุรกิจได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องปลดคนงานทิ้ง หวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์และนำความคิดตรงนี้กลับไปใช้ ในเวลาที่ยอดขายตกลงจากผลกระทบโควิด สร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติมด้วยรูปแบบต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจของท่านมีความเจริญก้าวหน้าไป มีการจ้างงานมากขึ้น คนงานมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็หวังว่าเราจะช่วยกันประคับประคองระบบเศรษฐกิจไม่ให้ล้มเหลวไปกว่านี้ได้” ธนาธรกล่าวทิ้งท้าย
'ดร.หญิง'แนะรัฐบาลบิ๊กตู่ จัดลำดับฉีดวัคซีนโควิดใหม่
https://www.dailynews.co.th/politics/838916
ดร.อรุณี กาสยานนท์ (ดร.หญิง) โฆษกพรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์โควิด-19 และข้อเสนอการแก้ไขปัญหาไปยังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยระบุว่า
“ประยุทธ์ต้องยอมรับความจริง!”
หญิงคิดว่าในเมื่อรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาและจัดการการระบาดได้ด้วยตัวเอง แม้จะมี ศบค.แต่สุดท้ายยังทำงานเชิงรับแบบนี้ รัฐบาลต้องยอมรับความจริงว่าลำพังตัวเองนั้น 'ทำไม่ได้ ไปไม่รอด' ตอนนี้ต้องคิดได้แล้วว่าปัญหาที่มีอยู่เกิดจากอะไร แล้วหาวิธีปิดจุดบอดนั้น รีบเปิดใจให้คนที่เชี่ยวชาญและเก่งเข้ามาช่วยแม้จะเห็นต่างในทางการเมือง เพราะนี้เป็นภาวะวิกฤต สิ่งที่ต้องทำตั้งแต่วันนี้ คือแก้ปัญหาเหล่านี้ค่ะ
1. แพทย์ พยาบาล ไม่พอ
2. โรงพยาบาลรัฐรับผู้ป่วยหนักไม่พอ
3. การได้มาซึ่งวัคซีน และวัคซีน SINOVAC กำลังมีผลกระทบข้างเคียงหรือไม่
หญิงขอเสนอทางออกในฐานะที่เป็นทั้งโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และในฐานะของประชาชนคนหนึ่งที่อยากจะช่วยคิดแก้ปัญหาในตอนนี้ค่ะ
—————————
“แพทย์ พยาบาล ไม่พอ ทางออกที่คิดไม่สุดทาง”
—————————
หญิงเห็นด้วยกับแนวคิดของพลเอกประยุทธ์ที่ขอความร่วมมือให้แพทย์และพยาบาลที่เกษียณอายุ มาช่วยกันทำงานในช่วงที่เกิดการระบาดนี้ ซึ่งหญิงไม่แน่ใจว่าตั้งแต่ที่พลเอกประยุทธ์ประกาศออกไป มีแพทย์ พยาบาล เข้ามาร่วมมือมากน้อยแค่ไหนแล้ว
ปัญหาอยู่ที่ว่าเหล่าแพทย์ พยาบาล ที่เกษียณอายุไปแล้วนั้น มีความมั่นใจที่จะมาร่วมด้วยช่วยกันแค่ไหน เพราะคนที่เกษียณอายุไปแล้วหมายถึงผู้ที่สูงอายุ ซึ่งเมื่อมาร่วมรับมือโรคระบาดอย่างโควิด ก็สมควรต้องได้รับวัคซีนก่อนที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้หรือไม่
—————————
“โรงพยาบาลรับผู้ป่วยหนักไม่พอ”
—————————
เรามีสายด่วน 1668 กรมการแพทย์ หรือ 1646 ศูนย์เอราวัณ หรือ 1330 สายด่วน สปสช. หาเตียงให้ภายใน 24 ชั่วโมง แต่พบว่ามีผู้ป่วยโควิดที่มีอาการรุนแรงจำนวนมากโทรติดต่อเบอร์เหล่านี้ยากลำบาก แต่เมื่อโทรติดเจ้าหน้าที่แนะนำให้รอคิว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก จนต้องออกมาร้องเรียนผ่านสื่อหลายครั้ง กลายเป็นว่าสื่อคือที่พึ่งของผู้ป่วยแทนที่จะเป็นรัฐบาลไปแล้ว
จากข้อมูลล่าสุด (18 เม.ย.64) มีผู้ป่วยโควิดติดต่อขอเตียงผ่านสายด่วน 1668 จำนวน 1,204 คน รับเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแล้ว 627 คน และรอเตียงอยู่ 509 คน แม้ในจำนวนนี้จะเป็นผู้ป่วยที่ไม่ค่อยมีอาการ 362 คน และข้อมูลสายด่วนที่โทรเข้า 1330 (22เม.ย.64) มีผู้ติดเชื้อกว่า 1000 ราย ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. เป็นต้นมา มีเคสค้างที่รอเตียงกว่า 500 ราย และยังมีผู้ติดเชื้อโทรมาแจ้งกว่าวันละ 100 ราย ทางโรงพยาบาลก็พยายามเร่งจัดหาเตียง และเบื้องต้นใช้การโทรสอบถามอาการในเคสที่ไม่รุนแรงและให้กักตัวอยู่บ้าน รักษาตัวตามอาการ แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่าอาการป่วยจะรุนแรงขึ้นเมื่อไหร่
หรือ Hospitel ตอนนี้ หญิงก็คิดว่าเป็นแนวคิดที่ดี แต่คิดไปไม่สุดทาง เพราะ Hospitel มีศักยภาพแค่รับผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการเท่านั้น ซึ่งเราก็มีโรงพยาบาลสนามที่มีกระจายอยู่ทุกพื้นที่ จากรายงานจำนวนเตียงโรงพยาบาลสนามในสังกัดของกระทรวงอุดมศึกษาฯ ยังมีเตียงรองรับผู้ป่วยได้กว่า 7,193 เตียง และมีอีกหลายแห่งที่จะเปิดเพิ่มได้ทั้งในส่วนของสถานศึกษาและฝ่ายความมั่นคง แต่ในอนาคต หากมีจำนวนผู้ป่วยโควิดมากขึ้น เตียงในโรงพยาบาลสนามก็อาจจะไม่เพียงพอรองรับได้ แม้กระทั่งเตียงโรงพยาบาลเอกชนเองก็ยังอาจจะไม่พอเลยค่ะตอนนี้
หญิงจึงเสนอว่า รัฐควรไปจับมือกับเอกชนที่ทำ Budget Hotel หรือ Service Apartment ที่ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์แล็บของเอกชน ซึ่งมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัย และมีบุคลากรทางการแพทย์อยู่ เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิดที่แสดงอาการและต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน แทนโรงพยาบาลของรัฐที่เตียงไม่พอ หรือสำหรับคนที่ไม่สามารถหาเตียงของโรงพยาบาลเอกชนได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาเตียงไม่พอและยังช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการได้ในอีกทางด้วย
—————————
“การได้มาซึ่งวัคซีนมีปัญหาทุกด้าน”
—————————
หญิงขอไม่ลงถึงปัญหาที่เกิดจากการจัดหาวัคซีนของรัฐบาล ที่ทั้งช้าและน้อย (เพราะได้พูดมาหลายครั้งและเสนอทางออกมาหลายวิธีเช่นกัน) แต่หญิงอยากจะให้รัฐทบทวนการจัดลำดับความสำคัญของการฉีดวัคซีนใหม่ รัฐบอกเองว่า 'ในช่วงที่วัคซีนมีจำกัด' จะต้องฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก รองลงมาให้ฉีดผู้สูงอายุ หญิงคิดว่า เมื่อเกิดการระบาดระลอกที่ 3 ซึ่งมีผู้ติดเชื้อรายวันหลักพันคนแบบนี้ รัฐต้องปรับแผนการฉีดวัคซีน เมื่อฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์กลุ่มแรก แต่ในกลุ่มที่สองควรเปลี่ยนการฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ มาฉีดให้กลุ่มที่สร้างรายได้เข้าประเทศในสัดส่วนที่มากขึ้นแทนจะดีกว่าหรือไม่ เพื่อกระตุ้นการสร้างรายได้เข้าประเทศ และเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนทางร่างกายของผู้สูงอายุที่เกิดจากผลข้างเคียงของวัคซีน อย่างที่ได้เกิดขึ้นในต่างประเทศทั้งเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในบางราย หรือในไทยเองก็เกิดภาวะ (คล้าย) อัมพฤกษ์อย่างที่ ศบค.บอก
สำหรับกรณีที่มีผู้รับการฉีดวัคซีนของ SINOVAC แล้วพบอาการอัมพฤกษ์จำนวน 6 ราย ที่จังหวัดระยองนั้น และล่าสุด จากข่าวโรงพยาบาลที่ลำปาง วันนี้ 22 เม.ย.64 บุคลากรทางการแพทย์ก็มีอาการอัมพฤกษ์ เป็นผลข้างเคียงอีกจากการฉีด วัคซีน SINOVAC กว่า 40 ราย หญิงเสนอว่า
1. ควรเร่งตรวจสอบหาสาเหตุ หลังเกิดการฉีดวัคซีนของ SINOVAC มีปัญหารัฐบาลควรระงับการฉีดไว้ก่อนได้หรือไม่ ? แล้วทดสอบวัคซีนอย่างละเอียดอีกรอบ จะดีกว่าหรือไม่ ?
2. ควรนำผลการฉีดวัคซีนทั้ง 7 แสนโดส ทั้งในรายที่ฉีดไปแล้ว 1 เข็ม หรือ 2 เข็ม มาวิเคราะห์และประเมินว่าควรจะฉีดต่อหรือระงับใช้วัคซีนของ SINOVAC หรือไม่ ?
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แม้จะมีผู้พบอาการไม่พึงประสงค์ไม่รุนแรง จากการฉีดวัคซีนของ SINOVAC 72 ราย และพบอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง 6 ราย ดังนั้นรัฐจึงควรเร่งสอบสวนและแถลงกับพี่น้องประชาชนให้ชัดเจน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่เล่นคำให้เร็วที่สุด