JJNY : แพทย์รามาฯชี้โควิดขั้นวิกฤต│เสียงสะท้อนพี่'แท็กซี่'│วิโรจน์แนะโยกงบคุมม็อบปรับปรุง1668│พิจารณ์ปูดพรรคร่วมแบ่งเค้ก

แพทย์รามาฯ ชี้วงจรโควิด เข้าขั้นวิกฤตของประเทศ วอนช่วยกันหยุดการแพร่ระบาด
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2686211

 
แพทย์รามาฯ ชี้วงจรโควิด เข้าขั้นวิกฤตของประเทศ วอนช่วยกันหยุดการแพร่ระบาด
 
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์เฟซบุ๊ก Suppachok NeungPeu Kirdlarp ระบุข้อความว่า
 
อัพเดตสถานการณ์สัปดาห์ที่2 เข้า 3
 
จากนโยบายที่รัฐบาลเลือกที่จะไม่ lock down และยังให้เปิดการไปมาระหว่างจังหวัด ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะไม่สามารถจะทำการ lock down ได้อีกแล้ว ด้วยหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งถ้าทำ lock down อีกเศรษฐกิจก็จะยิ่งไปใหญ่
 
แต่ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะถูกมองกันว่าอย่างไร แต่สิ่งที่เราพบต่อมาหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ เราพบว่า
 
– ผู้ป่วยที่รับใหม่เริ่มเป็นวง 2 หมดแล้ว เป็นผู้สูงอายุ พ่อ แม่ ปู่ ยา ตายาย มี co-morbid มากๆ แถมบางคนเป็นผู้ป่วยติดเตียง ด้วย
 
– การติดเชื้อ ส่วนใหญ่เป็น contact confirm เคส นั่นก็คือลูกๆที่กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ หรือปู่ย่าตายาย บายคนบอกว่าลูกหลานกลับมาจากเที่ยว หรือกลับมาช่วงเทศกาลสงกรานต์
 
– แต่2-3 วันมานี้คือ tracking ไม่ได้แล้วนะว่าไปติดมาจากไหน ใช้แต่อาการแสดงทาง clinical + lab + CXR ถามไม่ได้ความเสี่ยงอะไรเลย เอาจริงๆมันก็คือ phase 3 แล้วแหล่ะ แต่รัฐบาลคงเลิกประกาศแล้วมั้ง และคนคงเลิกสนใจแล้วแหล่ะ
 
– ความพีคคือมีหลายๆ ความยากลำบากเช่น
 
– พ่อแม่บวก ลูกลบ แต่ลูกอายุ 3 เดือน
 
– ปู่ย่า บวก เป็นผู้ป่วยติดเตียง ลูกเอามาติด นอน ICU แต่ลูกอีกคนที่เป็น caregiver negative และนอนติดเตียง
 
– ตายายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่เป็นลบ ลูกผู้ดูแลเป็นบวกและต้อง admit ไม่มีใครดูแลตายาย และไม่มีใครพาตายาไป swab เนื่องจากเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง
 
– คนไข้ที่นอนตั้งแต่ช่วงแรก 50-60% เป็น pneumonia ทั้งๆที่ admit ค่อนข้างเร็วแล้ว และ10-20% อาการหนัก ต้องเข้า intermediate/ICU และบางส่วนต้อง intubation ไปถึงแม้จะพยายามให้ยา Favipiravir/dexamethasone ไปเร็วแค่ไหน แต่ถ้า co-morbid มากยังไงก็เอาไม่อยู่
 
– คนไข้เก่าขยับไม่ออก คนไข้ใหม่ก็เข้ามาไม่ได้ เกิดปรากฎการคอขวด ขึ้นมาเลยในหลายๆที่
 
– คนไข้ที่รออยู่บ้าน ซึ่ง40-50% จะเกิด pneumonia มีคนไข้บางส่วนที่เริ่มเหนื่อย และได้รับการ admit ช้า (DOI8-9) และ delay treatment ทำให้คนไข้อาการหนักมาตั้งแต่แรกรับ และต้องเข้า intermediate/ICU มากกว่าเดิม เปิดเพิ่มเท่าไหร่ก็ไม่พอ (เพราะมีแต่เตียง ไม่มีคนพอ เราเรียกเตียงทิพย์)
 
– โรงพยาบาลต่างๆเกิดปรากฏการณ์ “ป้อมแตก” มีคนไข้บวกในward ที่เป็น ward สามัญ หรือมีเข้าหน้าที่ติดเชื้อมาจากบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ (อาจจะเพราะไปได้มาจากลูกหลาน, บางส่วนได้มาเพราะยังไปสถานที่ชุมนุมชนเช่น fitness เป็นต้น)
 
– มีเพื่อน คนรู้จัก หรือแพทย์/เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนที่ติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะติดจากการสัมผัสผู้ติดเชื้อโดยที่เราไม่ทันทราบ และไม่ได้ตั้งใจ หลายๆคนใช้ชีวิตปลอดภัยมากแต่พลาดเพราะไม่รู้ว่าคนที่เราอยู่ใกล้ๆ นำพาเชื้อมา (เพราะไม่คิดว่าเค้าจะติดได้ เราเลยประมาท)
 
– เป็นช่วงที่เริ่มได้ notice ว่าให้ใช้ favipiravir ด้วยความจำกัดจำเขี่ยมากขึ้นจนทำให้เรากลัวเหลือเกินว่าจะมียาเหลือพอหรือไม่
 
– และมันก็เกิดวงจรที่ไม่ควรเกิด
 
=> เตียงไม่พอ => admit ไม่ได้ => รออยู่บ้าน => อาการหนักเพราะ delay ยา=> ต้องใช้ยาเยอะกว่าเดิมและใช้ ICU => กินเตียงนาน => เตียงเต็มเตียงไม่พอ วนไปเป็นนิรันทร์
 
– นอกจากนี้พอทุกๆ ที่เกินศักยภาพ มีการประสานส่วนกลางเพื่อกระจายเคสหนักเข้า ICU ในแต่ละรพที่มีศักยภาพ
 
– แต่เตียงก็มันเต็มมมมมมมมม จนอยากจะบอกว่ารับไม่ได้อ่า ฝ่ายจัดการเตียงและทรัพยากรก็หมุนกำลังเต็มที่ หมุนจนไม่คิดว่าเราจะทำได้ขนาดนี้
 
– เจ้าหน้าที่ทำงานหนักแบบ 200% ทุกภาคส่วนไม่เว้นแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรอื่นๆนอกโรงพยาบาล
 
– บางโรงพยาบาลไม่วามารถรับเคสได้อีกเพราะเตียง “ล้น” บางโรงพยาบาลคนหายไปเพราะถูก quarantine หรือ ติดเชื้อไปบางส่วน
 
– การดูแลผู้ป่วย non covid เริ่มได้รับปัญหาเรื่อยๆเพราะเกิดการ down size ระบบบริการเพื่อไปเทกับ COVID care
 
– สถานการณ์ที่เป็นแบบนี้ ยาที่เริ่มจำกัดจำเขี่ย เราก็ยังได้ยิน timeline ประหลาดๆเช่น บุคคลชั้นสูงของบางกิจการติดเชื้อเป็นร้อยเพราะไปจ้างสาวPR มาจัดงานเลี้ยงในช่วงเวลาแบบนี้ เป็นต้น
 
– ข่าวผู้เสียชีวิตรายวันเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ช้าๆ
สุดท้าย ภาพที่เห็นในอนาคตนี้ช่างยากลำบากเหลือเกิน
ขอให้ทุกท่านช่วยกัน และรีบร่วมมือหยุดวงจรเหล่านี้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้น อาจจะมีวันที่เราไม่เหลือเตียงและยารักษา
 
หวังว่าเบื้องบนระดับผู้ใหญ่ระดับประเทศจะเห็นพ้องตรงกันว่า นี่คือวิกฤตของประเทศแล้ว
อาเมน
 
https://www.facebook.com/nungtoxic/posts/4005629629475672


 
เสียงสะท้อนพี่'แท็กซี่' พิษโควิด3เจ็บหนักกว่าทุกรอบ
https://www.dailynews.co.th/economic/838837
 
หนักกว่าทุกรอบ โควิด #3  “แท็กซี่” เมืองกรุงบ่นผู้โดยสารหายเกลี้ยง ไม่กล้าเดินทาง เหลือวิ่งแค่ 2-3 หมื่นคัน จาก 8 หมื่นคัน มีรายได้วันละ 300-400 บา ส่วน 5-6 หมื่นคันจอดสนิท วิ่งไปไม่คุ้ม เสี่ยงโรค วอนรัฐช่วยฉีดวัคซีน 3 หมื่นคัน ชี้ใช้สิทธิบริการสาธารณะ พบคนหมู่มาก สร้างความมั่นใจบริการ

นายวิฑูรย์ แนวพานิช นายกสมาคมการค้าเครือข่ายแท็กซี่ไทย เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 ในหลายพื้นที่หรือมีการระบาดระลอก 3 ในครั้งนี้ ส่งผลกระทบให้ผู้ประกอบการแท็กซี่ที่ให้บริการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีประมาณ 80,000 กว่าคันเป็นอย่างมาก หนักกว่าการระบาดรอบแรกและรอบ 2 อีก เพราะขณะนี้ให้บริการจริงประมาณ 20,000-30,000 คันเท่านั้น โดยแท็กซี่ที่ให้บริการนี้จะไม่วิ่งหาผู้โดยสารตามท้องถนนทั่วไปแล้ว เนื่องจากตอนนี้ผู้โดยสารไม่มีการเดินทาง เพราะส่วนใหญ่ทำงานอยูที่บ้านเป็นหลัก หรือถ้ามีการเดินทางจะไม่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เนื่องจากกลัวและผวาเสี่ยงต่อการติดเชื้อ 
 
เพราะตอนนี้เชื้อโควิด-19 ติดกันง่ายและไทยพบผู้ติดเชื้อหลักพันคนทุกวัน และเพิ่มสูงต่อเนื่อง จึงเลี่ยงเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก และเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวแทน ทำให้แท็กซี่ที่ให้บริการอยู่จึงต้องปรับแผนมารอจอดรับส่งผู้โดยสารตามสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมากแทน เช่น สถานีรถไฟฟ้า อาทิ บีทีเอสจตุจักร เซ็นทรัลลาดพร้าว รวมทั้งป้ายรถโดยสาร (รถเมล์) ขนาดใหญ่ อย่างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อลดต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งแท็กซี่ที่ให้บริการนั้นจะมีรายได้ประมาณ 300-400 บาทเท่านั้น ถ้าหักค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วเหลือประมาณ 100-200 บาทเท่านั้น ส่วนจำนวนแท็กซี่ที่เหลือ 50,000-60,000 คันจอดรถไว้เฉยๆ ไม่เอาออกมาให้บริการ เพราะผู้โดยสารหายเกลี้ยงในรอบนี้ ถ้านำออกมาให้บริการมีความเสี่ยงทั้งโควิด-19 และไม่มีคุ้มค่าในการให้บริการ จึงเลือกที่จะจอดรถไว้ดีกว่า 
 
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ส่วนการขอรับเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 รอบ 3 จากภาครัฐนั้น ขณะนี้รัฐบาลได้เร่งดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับกลุ่มเสี่ยงก่อน โดยเฉพาะกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มผู้สูงอายุ หากกลุ่มเหล่านี้รับวัคซีนหมดแล้ว ในอนาคตอีก 2-3 เดือน อยากให้รัฐบาลพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้พนักงานรถแท็กซี่ประมาณ 30,000 คัน ด้วย เพราะกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงอยู่ในระบบขนส่งสาธารณะ ที่ทำงานบริการผู้โดยสารจำนวนมาก หากได้รับวัคซีนทำให้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารได้อีกทาง รวมทั้งที่จะช่วยสร้างรายได้ให้ภาคเศรษฐกิจต่อไปด้วย 
 
ส่วนการขอเยียวยาในการผ่อนค่างวดรถต่างๆ นั้น ที่ผ่านมาในการระบาดโควิดทุกรอบ แท็กซี่ได้ขอเยียวยาเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผ่อนผันงวดรถให้ประมาณ 3-6 เดือนแล้ว แต่ขณะนี้โควิด-19 ส่งผลกระทบมาเป็นปีกว่าแล้ว ซึ่งทำให้หน่วยงานที่ช่วยเหลือบริษัทไฟแนนซ์ต่างๆ คงมีต้นทุนในการแบกรับภาระเหล่านี้ และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทุกครั้งเช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่