Review !! เที่ยวเกาะหลีเป๊ะ 3 วัน 2 คืน ฉบับสู้ Covid

* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะ

สวัสดีครับ เพื่อนๆชาว Pantip ทุกคนหรือผู้ที่หลงเข้ามาอ่านกระทู้นี้นะครับ 555 

วันนี้ผม...จะพาไปหลอก เอ้ย จะพาไปเที่ยวเกาะที่หลายๆคนขนานนามว่าเป็นมัลดีฟเมืองไทย นั้นก็คือ เกาะหลีเป๊ะ นั่นเองครับ



สำหรับกระทู้เที่ยวหลีเป๊ะของผมอันนี้ อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดลึกมากนะครับ เพราะแก่แล้ว+ตื่นเต้นกับความสวยงาม จำรายละเอียดได้ไม่ค่อยหมด โดยผมจะเน้นจากความรู้สึกส่วนและประสบการณ์ที่เจอมา โดยจะพยายามใส่รายละเอียดเท่าที่จำได้ให้มากที่สุด เพื่อที่จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่สนใจจะมานะครับ ส่วนสรุปค่าใช้จ่ายต่างๆ ผมจะสรุปไว้ท้ายโพสต์นะครับ

มาเรียกน้ำย่อยด้วย VDO กันก่อนครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

Day 1

ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าทริปของเรานี้ได้ทำการจองเอาไว้ตั้งแต่ก่อนโควิดระลอก 3 ระบาด ซึ่งเราก็สองจิตสองใจว่าจะเลื่อนดีไหม สุดท้ายเราก็ตัดสินใจว่าจะลุยต่อ โดยป้องกันตัวให้ดีที่สุด โดยทริปของเรานั้นไปวันที่ 17-19 เม.ย.64 เป็นทริป 3 วัน 2 คืน ครับ โดยเราเลือกเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะตั๋วช่วงนี้ถูกพอๆกับรถทัวร์เลยย เรามาถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 08.00 เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องเวลา 08.40 ครับ บรรยากาศสนามบินฝั่งขาออก ตปท.นี่ชวนขนหัวลุกมากๆ เรียกว่าร้างกันเลย





ตั๋วขาไปนั้นเราเลือกใช้บริการของ Air Asia ราคารวมทุกอย่างแล้วคนละ 800 เท่านั้น เช็คอินเรียบร้อย พร้อมลุย



บรรยากาศตอนเดินไป Gate เงียบจริงๆครับ เจ้าไวรัสโควิดนี่มันร้ายจริงๆ สงสารร้านค้าในสนามบินเลยครับ



ก่อนไปแวะเติมพลังสักหน่อย ใครต้องการประหยัดงบ แนะนำร้านนี้เลย ข้าวราดแกง 50 บาท กาแฟก็แก้วละ 40-50 เท่านั้น



นั่งรอเวลาขึ้นเครื่องก็ถ่ายรูปไปเรื่อย



คนน้อยกว่าที่คิด ที่นั่งว่างเต็มเลย ดีเหมือนกันไม่ต้องแออัดให้เสี่ยงโควิด



let's go หลีเป๊ะจ๋าพี่มาแล้วว



เข้าเขตจังหวัดสงขลา เห็นทะเลแล้ว ตื่นเต้นไม่ไหว ฟิลเหมือนเด็กพึ่งเคยเที่ยวทะเล



มาถึงสนามบินหาดใหญ่ก็เข้าสู่มาตรการคัดกรองโควิด 19 ซึ่งทางสนามบินให้สแกน QR Code เพื่อกรอกประวัติการเดินทาง ผ่านสบายๆ ไม่มีการกักตัวแต่อย่างใดครับ



เรามาถึงหาดใหญ่ประมาณ 10.30 น. สิ่งที่ต้องทำต่อไปนั่นก็คือ หารถตู้ไปท่าเรือปากบารา เพื่อที่จะให้ทันเรือไปหลีเป๊ะรอบ 11.30 น. แต่แล้วก็เจอเรื่อง Surprise !! ไม่มีรถตู้ไปท่าเรือปากบาราเลยครับ เราเลยเหมารถสองแถวซะเลย ลุงแกคิดคนละ 400 แพงหน่อยแต่ก็ถือว่าซื้อเวลาไป เป็นประสบการณ์นั่งสองแถวที่นานที่สุดในชีวิตผมเลย นั่งจนปวดตูด



นั่งสองแถวมาประมาณ 1 ช.ม. ก็เข้าสู่เขตท่าเรือปากบารา ได้เห็นทะเลแล้ว



เราคิดไว้ว่าคนคงน้อยเพราะโควิด แต่เปล่าเลย พอมาถึงท่าเรือปากบาราแล้วก็ต้องอุทาน OMG คนเยอะชิหัยเลยจ้าา



คือก็งงเหมือนกันว่าจะไปยืนอัดกันเยอะๆทำไม เราเลยตัดสินใจมารอขึ้นเรือด้านนอกดีกว่า ลดความเสี่ยงติดโควิดด้วย



ระหว่างรอขึ้นเรือก็เติมพลังกันหน่อย ไม่ได้เลือกร้าน เจออันไหนเข้าอันนั้น จานนี้ 50 บาท น้ำ 40 รสชาติไม่คาดหวัง กินกันตายกันไป



ก่อนเข้าไปขึ้นเรือ ก็ต้องเสียค่าบำรุงอุทยานคนละ 40 ก่อนนะจ้ะ



เราใช้บริการของ Baramee Speed Boat ทั้งไปและกลับ ราคาตกคนละ 800 บาท ใช้เวลาเดินทางไปเกาะหลีเป๊ะประมาณ 1 ช.ม.



บรรยากาศในท่าเรือ คนไม่เยอะเหมือนด้านนอก มีการเว้นระยะห่าง Social Distancing ชัดเจน



รอขึ้นเรือครับ โดยจะเรียกให้ขึ้นตามคิวที่จัดไว้ ทำให้ไม่ต้องเบียดเสียดแย่งกันขึ้น จัดการได้ดีครับ ขอชม



พร้อมจะอ้วก เอ้ย พร้อมจะลุยแล้ว ตรงนี้แนะนำอย่างแรงง ควรพกยาดม ยาหม่องมาด้วยครับ หากคุณเจอคลื่นแรง คุณมีโอกาสให้อาหารปลาสูงมาก เราเตือนแล้วนะ



บรรยากาศบนเรือ ที่นั่งว่างเยอะ สบายๆ



โดยปกติแล้วจากที่ศึกษามา เรือ Speed Boat จะแวะให้เราลงไปถ่ายรูปตรงเกาะไข่และเกาะตะรุเตาครับ แต่วันนี้คนขับบอกว่าเอาเรือเทียบไม่ได้ ให้ถ่ายจากบนเรือ งงเหมือนกัน เสียดายมากก อยากไปลอดประตูรักนิรันด์ อดเลย ตรงจุดนี้เริ่มเห็นความใสของน้ำแล้ว ถึงหลีเป๊ะเมื่อไหร่ ฟินแน่ๆ



ใกล้ถึงแล้ว ฮึบๆ



ถึงแล้วววว เกาะหลีเป๊ะะะของข้าา น้ำใสเว่อร์แบบไม่ต้องแต่งรูปอ่ะ



จุดเทียบเรือนั้นจะอยู่ตรงหาดพัทยาครับ ขึ้นมาก็จะเจอกับที่พักและรีสอร์ทมากมาย ส่วนใครขี้เมื่อย ขี้เกียจเดิน เขาก็มีสองแถวบริการครับ คนละ 50 บาท



เข้าเช็คอินกับที่พักที่เราจองไว้ นั้นคือ Castaway Resort ครับ











บรรยากาศของที่นี่จะเหมือนเราพักในป่าเลยครับ ร่มรื่นต่างจากที่พักอื่นๆมาก ดูใกล้ชิดธรรมชาติดีครับ



ที่พักอยู่ติดทะเลเลยครับ ถ้าใครอยากประหยัด ไม่ต้องเลือกห้อง Beach Front ก็ได้ เพราะเดินนิดเดียวก็ถึงทะเลล่ะ



Welcome Drink เป็นน้ำสัปปะรด เย็นๆให้ชื่นใจ ผ่อนคลายจากอาการหัวร้อน



ใครที่หลงมาอ่านถึงตอนนี้แล้ว อย่าเพิ่งกดออกไปไหนนะครับ จะพาไปดูห้องพักหลักพันวิวหลักล้านว่ามีอยู่จริงครับ โดยห้องพักที่เราเลือกไว้นั้นเป็นห้อง Beach Front คืนละ 1800 เท่านั้น



ห้องเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ด้านบนเป็นห้องนอน ด้านล่างเป็นห้องน้ำ โนแอร์ มีแต่พัดลมนะครับ ออกแนวใกล้ชิดธรรมชาติ โดยส่วนตัวแล้วชอบมาก



ห้องน้ำด้านล่างครับ สะอาดและสิ่งอำนวยความสะดวกครบ แต่ไม่มีน้ำอุ่นนะครับ เพราะ Concept ของที่นี่คือใกล้ชิดธรรมชาติ



เดินขึ้นมาชั้นสองแล้วก็เจอทีเด็ดกับภาพนี้ครับ เดินทางมาทั้งวันนี่คือหายเหนื่อยยย ขนาดยังไม่ได้ทำอะไรต่อเลยยังคิดว่า "ทริปนี้คุ้มแล้ว"



น้ำทะเลหน้าห้องพักครับ ลงเล่นสักหน่อย ขนาดตอนนั้นไม่ค่อยมีแดด ฟ้าครึ้มๆ น้ำยังใสมากก ใสกว่านี้ก็สระว่ายน้ำหมู่บ้านแล้วละ



ค่าเช่าอุปกรณ์ต่างๆครับ ไม่แพงเลย ส่วนใครอยากเช่าโกโปรก็สามารถเช่าได้ที่ร้านตรง Walking Street เลย เริ่มต้นวันละ 500 เท่านั้น ถ่ายใต้น้ำฟินๆกันไป



ตกเย็นแล้วก็เริ่มหิว ประมาณ 16.00-18.00 ทาง Castaway จะมีช่วง Happy Hour Cocktail 1 Free 1 บอกเลยว่าหลังจากนี้คือล้มละลายยจ้าาา กระเป๋าตังปังปินาศ



วอร์มเครื่องกันก่อนเลย Gin Tonic & Magarita



พอกรึ่มๆได้ที่ มันก็เรียกพวกมาเต็มเลยจ้าาา Thaijito & Mojito โดยเฉพาะ Mojito ของที่นี่คือเหมือนหมัดน็อคเลย



มาๆครับ ต่อด้วยอาหารคาวกันบ้าง เดี๋ยวข้างบ้านจะหาว่ากินแต่เหล้า​ ผัดไทยกุ้งสด จานนี้อยู่ที่ 200



ข้าวผัดสัปปะรดจานนี้ 170



สปาเก็ตตี้ คาโบนาร่า 190



หลังจากที่กระทำการโดยขาดสติ ล้มละลายกับอาหารของที่พักแล้ว ก็มาเดินย้อมใจกันที่ Walking Street กันครับ





บรรยากาศของ Walking Street และริมหาดพัทยานั้นดูคึกคักดีครับ แม้จะเป็นช่วงโควิด รู้สึกดีใจที่ได้เห็นร้านค้าต่างๆมีลูกค้ามาใช้บริการมากมาย สุดท้ายแล้วชีวิตมันก็ต้องเดินหน้าต่อไป เรียนรู้ที่จะปรับตัวมากกว่าหวาดกลัวจนไม่ได้ทำอะไรดีกว่าครับ เรายังต้องอยู่กับมันอีกนาน





เอาอีกแล้วว Happy Hourrr อีกแล้ว ชอบการตลาดของที่นี่มากๆครับ ดูดตังในกระเป๋าเราดีจริงๆ



โดนกันไปตามระเบียบ อ้วกไม่นับ หลับเป็นแพ้​ เครื่องดื่มตกแก้วละ​ 200​ 1​ ฟรี​ 1

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่