ทัศนคติเรื่องเงินไม่ตรงกัน อีโก้สูง ยกเลิกงานแต่งดีมั้ย

ต้องเกริ่นรายละเอียดคร่าวๆก่อนเริ่ม เราสองคนทำงานอยู่ต่างประเทศ มาจากคนละประเทศ คบหากันมาราวๆ 2 ปีกำลังคิดจะแต่งงาน และซื้อบ้าน ทัศนคติต่างๆ โดยรวมตรงกัน แต่มีหลายๆทัศคติที่ไม่ตรงกัน ซึ่งเป็น major concerns เช่น ทัศนคติการการเมือง การเงิน

ทัศนคติทางการเมือง เขา Communism  เรา Capitalism ซึ่งพยายามไม่แตะกัน เพราะ heat debate ตลอด เขาเป็นคนโลกเรนโบว์ ลาเวนเดอร์ เชื่อในความเท่าเทียม การ subsidize ของรัฐ (equity) เป็นเพื่อนกับทุกคนผ่าน punk bands คนขับสิบล้อ คนเล่นยา คนตกงาน รับเป็นเพื่อนหมด  ชอบใช้ความรู้สึก  ส่วนเราเชื่อในการแข่งขัน และความไม่เท่าเทียมกัน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ใครทำใครได้ (equality) ใช้ความคิดผลได้เสีย จากการกระทำ และเลือกคบคน  มาเจอกันได้เพราะเรียน phd ที่มี class ร่วมกัน อยู่ร่วมกันได้โดยรวมเพราะให้อิสระแก่กัน ไม่ได้ share friend circle กัน ไม่ห้ามเรื่องคบเพื่อน แต่เตือนว่า ไปเล่นดนตรีกะพวกเล่นยา ระวังโดน ตร รวบไปด้วยกันหมด ถึงจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวแม้แต่น้อย แก่แล้ว เป็น ดร เลือกคบคนบ้าง คงไม่อยากถูกถีบออกนอก US แบบโง่ๆ หลังเรียนมา 6 ปี

เรื่อง personal finance และนำไปสู่เรื่องบ้าน คิดตรงข้ามกันแทบจะทุก shot อันที่จริงพื้นฐานครอบครัวดูคล้ายกัน ปู่ยาเป็น immigrant คือจนเลย พ่อแม่ที่รุ่น 2 ขยัน มั่นคง ประหยัด พ่อแม่พวกเราเป็นแพทย์ทั้งคู่ การเงินคือสบาย แต่ไม่ได้มีให้ล้างผลาญได้ รุ่น 3 คือพวกเราต่อยอด ไม่ได้มีกิจการให้รับต่อมาบริหาร แต่มีการศึกษาที่ดี นำไปสู่รายได้ที่มั่นคง แต่..ทัศนคติการใช้เงินต่างกันมาก เขา(ในความเห็นเรา) คือสุรุ่ยสุร่าย เราค่อนข้าง low key หมดเงินใหญ่ๆกับกิน, เที่ยวทริปใหญ่ๆ  ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรในชีวิตประจำวัน ไม่ได้อยากได้อะไร ไม่ชอบ shopping ผิดปกติ ผญ ค่อนข้างจะ happy กับสิ่งที่มี ชอบนอนเป็นงานอดิเรก (ถ้าจะนับ)

อายุเท่ากันคือ 30 นิดๆ แต่เขาเรียนจบก่อนเรา ทำงานได้ 1 ปี ได้เดือนละ 3.5 แสนบาทก่อน tax ซึ่งเขาคิดว่าเขาหาเงินได้เยอะมากกกกกก คือ median ประชากรคือราวๆ 9 หมื่นบาท กิจกรรมเผาเงินเริ่มตามมา

1. ซื้อกีต้า 1 ตัวราคา 1 แสน เท่าที่มีตอนนี้คือน่าจะหลายแสน เราเตือนแล้วว่าจะซื้อทำไม เราต้องซื้อบ้านต่อ เขาก็บอกว่าขายได้ ตอนนี้ค่าบ้านบานปลายมาก บอกขายกีต้า ยังไม่มีคนซื้อ คือราคานี่ สำหรับใน us ก็ถือว่าแพงอ่ะ

2. หมา เราบอกให้รอ ไปซื้อกะ breeder ก็ไม่ยอมรอ ไปซื้อใน Mall แถมช่วงโควิทอีก demand ลูกหมาสูง จ่ายลูกหมาไปอีก 1.2 แสน

3. ซื้อบ้าน.. อันนี้หนักสุด ที่ทำให้เรารู้สึกว่าต้อง jump ship รึป่าว ทรงไม่ดี การใช้เงินไม่ไปด้วยกันเลย พูดแล้วไม่ฟังเลย ห้ามไม่ได้ หลังจากทำงานมาแค่ 1 ปี ทำสัญญาสร้างบ้าน 5 ห้องนอน (หลังแต่งงานคืออยู่ 2 คน 1 หมา) base price 14 ล้าน upgrade อีกสารพัด (ไม่รวมบิ้วอิน เฟอ) งอกไปเกือบ 18 ล้าน  เราถามว่าถ้าชอตเรื่องเงินขึ้นมา ทำไง? เขาบอกขาย บอกว่าขายขาดทุนก็ยังได้ถือว่าเป็นค่าเช่าบ้านไป ขายสัก 16 ล้านก็โอเค เชื่อเรื่องคำนวน เขาเป็น engineer เลขออกมาโอเค เราก็ตั้งคำถามว่ารู้ได้ไง ว่าจะขายได้ ทำเลมันค่อนข้างจะ farm นะ ละทำไมเราต้องซื้อบ้านใหญ่ขนาดนั้น

คำตอบ: ชอบบ้าน floorplan นี้ “อยากได้” เหตุผลเดียวกับกีต้า บอกว่าเงียบไปเลย เงินเขา เขาจ่ายได้ หาเงินได้เยอะ อีกหน่อยดินก็เจริญขึ้น บ้านขายได้อยู่แล้ว คือคาดการณ์ต่างๆ เข้าข้างตัวเองหมดเลย ไม่ได้คิด worst-case scenario เราคิดว่าประเด็นหลักเลยคือ ego อยากได้ อยากมี รู้สึกว่าตัวเอง success (คือประสบความสำเร็จจริง แต่เรามองว่าเกินตัว เกินความจำเป็น)

ละผ่อนขั้นต่ำที่สุดคือเดือนละ 1 แสน บอกว่าถือเงินสดเยอะในมือ secure กว่า ค่อย refinance ทีหลังเพื่อจ่ายดอกมากกว่าเงินต้น  สัญญาตอนนี้คือ จ่ายดอก มากกว่าเงินต้น (เขาบอกว่ามันปกติแหละ)  เราเสนอว่า ขอเงินพ่อแม่ดีม่ะ คือถึงเรามีเงิน ทำไมเราต้องต่ายเงินดอกเป็นล้านอ่ะ  

คำตอบ: เขาก็อีโก้ บอกโตแล้ว ต้องสร้างตัวด้วยตัวเอง จ่ายดอกได้ (โอเค คือจ่ายได้ จ่ายไหว แต่ทำไมต้องจ่าย?!)

คือรายได้ก็เหมือนจะเยอะอะนะ แต่ถ้าจ่ายขนาดนี้ต้องย้ายงาน ละหาให้ได้มากกว่านี้ 2 เท่าแล้วละ

**คำถามคือ**
1. เราเห็นชะตากรรม bankrupt อยู่ร่ำไร แต่ใจนึงก็คิดว่าอาจจะโอเครึเปล่า ไม่ได้เอาเงินไปลงกับอย่างอื่น มีแต่บ้านกับกีต้าร์ เราควรแต่งงานกับเขา และไม่จดทะเบียนดีรึเปล่า ไม่อยากได้เงิน ทรัพย์สินเขา และก็ไม่อยากซวยได้หนี้ด้วย ประมาณว่าเตือนแล้วไม่ฟัง ก็ตัวใครตัวมันละกัน
2. เราใกล้จะจบแล้ว ตามเรตสายอาชีพ เราน่าจะหาเงินได้ประมาณ 1.5-2 แสน ก่อน tax เราจะจัดสรรยังไงกับเงินเดือนดี
  2.1 ช่วยผ่อนบ้าน (อาจจะ refinance เขาแสน เรา 5 หมื่น) ถ้างั้นต้องจดทะเบียน ถ้าเราผ่อน เราถือว่าเราควรมีส่วนในสินทรัพย์ เผื่อกรณีหย่าร้าง แต่เราไม่อยากมีหนี้ก้อนใหญ่ และก็ไม่อยากต้องมาแบ่งทรัพย์สิน ถ้าเลิกก็ไม่อยากได้บ้าน
  2.2 ไม่ช่วยผ่อน แต่งงาน แต่ไม่จดทะเบียน ช่วยค่าน้ำไฟในบ้านจิปาถะประมาณ 2 หมื่นบ้าน ($700) ประนึงว่าเราเช่าบ้านอยู่ในราคาคนในครอบครัว
  2.3 ไม่แต่ง ไม่จด เลิก ละกลับไทยตามที่แม่ยุ ใช้ชีวิตแบบไม่หวือหวา อยู่แบบพอมีพอกิน ทำงานความเครียดน้อย (กว่าที่ US) หรือจะทำงานต่อที่ US ก็ได้ แต่เลิกกับคนนี้ เงินเราพอเลี้ยงตัวเองได้ เช่าบ้านไป ทำงานสักพักมีเงินก้อน กลับไทยไปอยู่กับพ่อแม่


คือเราไม่ได้กะเอาเปรียบ แต่เรารู้สึกว่าไม่ fair ถ้าเราต้อง bankrupt ไปกับเขาด้วย ในขณะที่เราไม่ได้ยินยอมในหนี้สินก้อนนี้ เตือนแล้วว่ามันเกินความจำเป็น ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องมีบ้านเกือบ 3000 sqf ทั้งๆที่เราก็อยู่กันแค่นี้ คือถ้ามีเงิน ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ เหมือนเขาเกลียดเงินอ่ะ ถ้ามีต้องใช้ เราชอบเห็นเงินนอนอยู่ใน bank
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
อ่านมานี่ สงสัยสุดคือ

คบกันทำไม
ความคิดเห็นที่ 26
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อมาแสดงความเห็นเลยนะเนี่ย

พี่และสามีอายุเลยหลักสี่มานานแล้ว พูดจากประสบการณ์ชีวิตจริง

การที่น้องจะเริ่มต้นชีวิตคู่ นอกจากความรักแล้วมันต้องมีทัศนคติอื่นๆ ประกอบด้วย
ซึ่งจะต้องเป็นทัศนะที่มีความคล้ายกัน เป็นไปในทางเดียวกัน รวมถึงความใส่ใจ ห่วงใยกันในความรู้สึกแบบครอบครัว

หลังจากแต่งงานแล้วในความเป็นจริงคือมันเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดเหมือนกัน เห็นตรงกัน 100% เต็ม เพราะพื้นฐานครอบครัว มาจากคนละประเทศ คนละวัฒนธรรม คนละความเชื่อ   แต่ว่าสามีภรรยามันต้องคุยไปในทิศเดียวกัน สำคัญนะอันนี้

จากที่อ่าน ที่น้องเล่ามา ถ้าน้องเป็นลูกสาวพี่ พี่จะแนะนำว่า

1. ทัศนคติเรื่องการใช้เงิน การเก็บออม ไม่เหมือนกัน คือปัญหาในชีวิตคู่ เรื่องใหญ่เลยแหล่ะ ไม่ผ่านค่ะ

2. การคบเพื่อน ที่นี่อเมริกา ใช่ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่ากัน แต่คบเพื่อนติดยา อันตรายมาก แฟนของน้องจะนำภัยและหายนะมาสู่ตัวน้องและลูกๆ ในอนาคต ข้อนี้สำหรับพี่คือ ไม่ผ่านอย่างแรงค่ะ

3. สรุป แนะนำให้เลิกค่ะ เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ไม่ใช่ คู่รัก แต่ถึงเป็นเพื่อนกัน น้องก็ต้องระวังตัวเพราะการคบคนไม่เลือกของเขานี่แหล่ะ

พี่อาศัยอยู่ใน Bay Area, CA
ที่นี่มีบริษัทเทคโนโลยีมากมาย
ที่น้องสามารถสมัครมาทำงานได้
เห็นว่าทำทาง text processing
เด็ก nerds เยอะแยะ แถวนี้
เลือกที่คุยกันได้สบายใจทุกเรื่องดีกว่า

ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของน้องเอง
อย่ามองข้าม red flags ต่างๆ

ขออวยพรให้น้องโชคดีค่ะ
ความคิดเห็นที่ 27
ชั่งน้ำหนัก ความสุข / ความทุกข์ ที่จะเกิดจากเขาแล้ว

อย่าแต่งค่ะ แต่งไป จบไม่สวย เสียคนรักด้วย เสียเพื่อนดีๆไปด้วย

ความสุขที่เขากับคุณ มีร่วมกันวันนี้ เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่า
ความเป็นเพื่อนจะ ไม่ทำให้ปัญหาความเห็นไม่ตรงกันในวันนี้ใหญ่โตขึ้น
แต่ความเป็นคู่ชีวิต จะทำให้ปัญหาความไม่ลงรอยของคุณและเขา ทวีความรุนแรงมากขึ้น
เพราะต่างก็มีส่วนได้ส่วนเสีย

ต่อให้ทำสัญญาก่อนแต่งไว้ดียังไง ก็ไม่ได้ช่วยหรอกค่ะ หากเขาประสบปัญหาเรื่องการเงินจริงๆ
ชีวิตคู่ เมื่อมีแล้ว ความรู้สึกร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน ความไม่ต้องการเห็นมันพังต่อหน้าต่อตา จะทำให้คุณดิ้นรนรักษา

และการต้องคอยซ่อมแซม ส่วนที่พัง มันเหนื่อย .... เมื่อเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ จะโทษอีกฝ่าย

ให้เขาซื้อบ้านเล็กลง เขาก็จะไม่มีความสุข และจะสงสัยตลอดเวลา ว่าถ้าตามใจตัวเอง จะมีความสุขขนาดไหน
เขาก็จะโทษคุณ

มีบ้านใหญ่โต ก็อยากอวด อยากจัดปาร์ตี้ที่บ้าน ในเมื่อ เพื่อนเขา คุณไม่ชอบ ไม่ไว้ใจ
เขาก็คงจะไม่ยอม

การใช้จ่ายต่างๆ จะตามใจตัวเอง และซื้อความสุขด้วยเงิน ในขณะที่คุณชอบความสุขจากความมั่นคงมากกว่า
เฉพาะปัญหาข้อนี้ก็เป็นเหตุหย่าร้างมากพอแล้ว

นี่ยังไม่นับเรื่อง ความเห็นต่อสังคมและเรื่องคบเพื่อน

การอยู่ด้วยกัน นอนด้วยกัน ควรเป็นคนที่เมื่อเราตื่นมาเจอตอนเช้า
จะไม่รู้สีกเป็นอื่น มีความเข้ากันได้ มีความสุขร่วมกันเสมอ ในเกือบทุกเรื่อง ไม่ใช่มองไปทางไหน ก็ขัดใจตลอด
และมันจะมากขึ้น เมื่อจำนวนปีที่อยู่ด้วยกันเพิ่มขึ้น

สรุป. ความเป็นผู้ชายที่ฉลาด คุยสนุก อยู่ด้วยแล้วมีความสุข คุณควรรักษาเขาไว้ในฐานะเพื่อนค่ะ
คุณสมบัติทั้งหมดนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นสามี ที่เติมเต็มให้ชีวิตคู่ มีความสุขอย่างเรียบง่ายในแบบที่คุณปรารถนาค่ะ
ความคิดเห็นที่ 7
การใช้ชีวิตคู่ คือ การร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน การจะใช้ชีวิตคู่ได้ยืดยาว คือ ความรัก ทัศนะคติ ความเข้าใจ  ความเคารพ และ ศรัทธา ที่มีให้กันและกัน

อยากเล่าเรื่องเราให้ฟัง  บางครั้ง เราแอบคิดเปรียบเทียบสามีกับแฟนเก่า เราชอบคิดไปว่า ถ้าวันนั้น เราแต่งกับแฟนเก่า ที่เราเคยรักเค้ามากๆ  วันนี้ชีวิตเราคงไม่มีความสุข เพราะพื้นฐานความคิดต่างกันมากๆ เค้าเป็นเพอเฟคชั่นนิส ส่วนเราเป็นคนง่ายๆ เค้าชอบแบรนเนม ส่วนเราไม่สนใจ ตอนนั้นคิดแค่ว่า ความรัก การให้อภัย บวกกับเราเป็นคนยังไงก็ได้ แต่งไปคงไม่เป็นไร

แต่พอได้แต่งงานจริงๆ กับ แฟนคนปัจจุบัน เรารู้เลยว่า ถัาวันนั้นเราแต่งกับแฟนเก่า วันนี้คงหย่ากัน
ขนาดว่า สามี และ เรา มองเรื่องใหญ่ๆ รวมถึง ทัศนคติ ในการใช้ชีวิตไปในทางเดียวกัน แต่มันจะมีปัญหาหยุมหยิม ที่คอยบั่นทอนจิตใจมาทดสอบเรื่อยๆ
ที่อยากบอกคือ ถ้าวันนี้ยังไม่มีความสุข ควรจะคิดถึงวันหน้าเยอะๆ บางทีการฉุกคิดแบบนี้ อาจจะเป็นเสียงจิตใต้สำนึกที่กำลังเตือนคุณอยู่ ตั้งสติ แล้ว ทบทวนดีๆค่ะ
ความคิดเห็นที่ 2
ขออนุญาตถามนะคะว่า
- ได้ทดลองอยู่ด้วยกันหรือยังคะ การmove in togetherของฝรั่งมันดีตรงนี้คือเป็นโอกาสในการได้ศึกษากัน เพราะอ่านดูหลายอย่างต่างกันมาก
- มีตรงไหนอะไรที่เป็นshared happinessระหว่างกันบ้างคะ คุณ
- มองอนาคตตัวเองไว้ยังไงบ้างคะ

ถ้าประเด็นอ่อนไหว ตอบหลังไมค์ก็ได้นะคะ เรามาเรียนเอกที่สวิตเซอร์แลนด์แล้วเจอสามีในคลาสเหมือนกันค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่