JJNY : 6in1 94%โอดศก.-การค้าแย่│เสม็ดเศร้า│SCBTห่วงฉีดวัคซีน│โควิดรอบ3ทุบศก.│พท.ยื่นชวนส่งศาลชี้ขาดตู่│หมออ๋องบ่นเบื่อ

ผลสำรวจ มี.ค.จุก!! นักธุรกิจทุกจังหวัด 94% โอดครวญศก.-การค้าแย่
https://www.matichon.co.th/economy/news_2663970

 
ผลสำรวจ มี.ค.จุก!! นักธุรกิจทุกจังหวัด 94% โอดครวญศก.-การค้าแย่
 
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือนมีนาคม 2564 จากสำรวจภาคเอกชน 369 ราย ระหว่างวันที่ 23-29 มีนาคม พบว่า ธุรกิจทุกจังหวัดส่วนใหญ่ 94% ระบุว่าเศรษฐกิจและการค้า อยู่ในภาวะแย่ลงและไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ส่งผลต่อการท่องเที่ยวหายไป กิจกรรมต่างๆยังไม่กลับเท่าปี 2562 กังวลเสถียรภาพทางการเมืองและการชุมนุมทางการเมือง ส่วนราคาพืชผลเกษตรดีแต่ด้วยบางพื้นที่เจอภัยแล้งผลผลิตต่ำลงจึงกระทบต่อรายได้ที่ได้รับลดลง ส่งผลต่อกำลังซื้อหดตัวอยู่มาก ซึ่งดูจากดัชนีทุกรายการลดต่ำลงทั้งมุมมองต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ การบริโภคในจังหวัด การท่องเที่ยวในจังหวัด อุตสาหกรรมและการค้าในจังหวัด รวมถึงการค้าชายแดน ภาคบริการและการจ้างงาน ทำให้ค่าดัชนีทุกรายการต่ำกว่าระดับ 40 สะท้อนเศรษฐกิจทุกจังหวัดเปราะบาง ภาวการณ์ประกอบการแย่ลงทุกธุรกิจ และเศรษฐกิจฟื้นตัวเองไม่ได้ ธุรกิจจึงเสนอให้รัฐบาลเร่ง 4 เรื่องด่วนเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ในไตรมาส 3/2564 ได้แก่
  
1. เร่งพิจารณาแผนผ่อนคลายภายในประเทศและการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ 
2. พิจารณากฎระเบียบการเดินทางเข้าออกประเทศ เช่น ใช้วัคซีนพาสปอร์ต ควบคู่กับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโรค  
3. เร่งกระจายฉีดวัคซีนให้ประชาชนทุกส่วนอย่างเร็วและทั่วถึง เพื่อให้การดำเนินชีวิตเข้าภาวะปกติเร็วขึ้น 
 
4. ออกมาตรการทางการเงินช่วยเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจในการช่วยเพิ่มศักยภาพกิจการและแรงงาน ให้ปรับมาทำธุรกิจได้ปกติหลังโควิด-19 คลี่คลายลง
 
นายธนวรรธน์ กล่าวถึงการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนมีนาคม 2564 พบว่า ดัชนีทุกรายการปรับลดลงอีกครั้ง เนื่องจากความวิตกกังวลมากขึ้นต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการชุมนุมทางการเมืองจากนี้ ทำให้ประชาชนมีมุมมองแย่ลงต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและในอีก 6 เดือนข้างหน้า รวมถึงรายได้ และโอกาสหางานทำ โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางาน ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ลดลงมาอยู่ที่ 42.5, 45.3 และ 57.7 ตามลำดับ จากเดือนกุมภาพันธ์ 43.4, 46.1 และ 58.7 ตามลำดับ
 
จึงทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบัน ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคต ลดลงมาอยู่ที่ 48.5, 32.9 และ 55.8 ตามลำดับ จากกุมภาพันธ์อยู่ที่ 49.4, 33.7, 56.8 ขณะที่ ผลสำนวจต่อภาวะใช้สอยภาคประชาชนและภาวะทางสังคม พบว่า ทุกรายการปรัยลดลงอีกครั้งเช่นกัน ซึ่งการที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงอีกครั้งท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิดรอบใหม่ แสดงว่าผู้บริโภคยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดในประเทศไทยและในโลกว่าจะส่งผละกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้ผู้บริโภคจะระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยในช่วงนี้
 
ประชาชนยังติดตามและกังวลต่อการแพร่กระจายของโควิดรอบใหม่ว่าจะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน รุนแรงเพียงใด และรัฐบาลจะมีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างไร รวมถึงจะมีการล็อกดาวน์ ในจังหวัดต่างๆ มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคตได้ และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวต่ำกว่า 3% ได้ ตอนที่สำรวจนั้นที่ดัชนีลดลง 1-2 จุด เพราะ ศบค. ประกาศให้งดกิจกรรมสาดน้ำและปาร์ตี้โฟมในช่วงสงกรานต์ บวกความกังวลในสถานการณ์ทางการเมืองและการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่ล่าช้าส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมากนักและขาดแรงกระตุ้นในการฟื้นตัว แม้ว่ามาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะโครงการเราชนะ และโครงการต่างๆ จะมีส่วนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม ซึ่งหากตอนสำรวจมีเรื่องมีคลัสเตอร์ทองหล่อและตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงพุ่งและมีการติดเชื้อในทุกวงการดัชนีคงลดลง 2-3 จุด ดังนั้น ทิศทางการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นจากนี้คงใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือน หรือค่าดัชนีอาจลดลงต่อเนื่องในเดือนเมษายนถึงมิถุนายน” นายธนวรรธน์ กล่าว
  
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ตัวแปรที่จะฟื้นเศรษฐกิจ คือ การชะลอกของการแพร่ระบาดของโควิด ไม่ควรล็อกดาวน์ประเทศจนต้องปิดกิจการชั่วคราวอีกครั้ง ควรพิจารณาตามพื้นที่ที่จำเป็น เดินตามแผนการฉีดวัคซีนและแซนบ็อกซ์เปิดรับนักท่องเที่ยว และรัฐเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา ภาคธุรกิจ และเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชนเพื่อกระตุ้นใช้จ่าย ต่อไตรมาสไม่น้อยกว่า 2-3 แสนล้านบาท
  

 
ผู้ประกอบการเกาะเสม็ดเศร้า!! ‘150’ โรงแรม-รีสอร์ต ถูกยกเลิกจอง 80% 
https://www.matichon.co.th/region/news_2664091
 
ผู้ประกอบการเกาะเสม็ดเศร้า!! ‘150’ โรงแรม-รีสอร์ต ถูกยกเลิกจอง 80%
 
นางสริญทิพญ ทัพมงคลทรัพย์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเกาะเสม็ด จ.ระยอง เปิดเผยถึงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ว่า ก่อนที่จะมีข่าวโควิด-19 แพร่ระบาด ยอดจองที่พักโรงแรม รีสอร์ต และบ้านพัก เกือบ 80% ทั้งหมดมีจำนวน 150 แห่งโดยวางมัดจำ 50% นักท่องเที่ยวเตรียมพร้อมที่จะมาเล่นสงกรานต์ ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มคึกคัก แต่พอมีข่าวโควิดระบาดระลอก 3 ครั้งนี้ นักท่องเที่ยวโทร.มายกเลิกจองคืนห้องพัก ขอคืนเงินมัดจำกันจำนวนมาก แต่เราไม่อยากให้ยกเลิก แต่ขอให้เลื่อนไปก่อน วันนี้ได้รับแจ้งจากทางโรงแรมแห่งหนึ่งโทร. มาขอยกเลิกทั้งหมดแล้ว ขณะนี้ผู้ประกอบการรับโทรศัพท์กันไม่ไหวโทร.มาขอยกเลิกกันแทบสายไหม้ และมีคำถามถามกลับมาว่าสรุปแล้วยังเดินทางได้ไหม ต้องถูกกักตัวไหม มากมายหลายคำถาม
 
นางสริญทิพญ กล่าวว่า แล้วผู้ประกอบการจะไปต่ออย่างไร โดวิดมันมาทุกเทศกาล แล้วจะให้เรามั่นใจได้อย่างไร วัคซีนที่นำเข้ามา ขนาดรัฐมนตรีฉีดวัคซีนแล้วยังติดโควิด มันทำให้เรามีความรู้สึกว่าไม่มีความมั่นใจในกระบวนการและระบบของรัฐบาล ภาคนักท่องเที่ยวและประชาชนจะอยู่กันอย่างไร ระยองไม่ใช่ระลอก 3 ครั้งนี้ระลอก 4 แล้ว ผู้ประกอบการเราคาดหวังว่าเราจะค้าขายได้ การท่องเที่ยวจะเดินไปได้ดี แต่ก็มาเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก เราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ผู้ประกอบการเดินเข้าไปธนาคารออมสิน ได้รับคำตอบว่าตัวเลขเงินเดินในบัญชีไม่สวย ก็ค้าขายไม่ได้แล้วจะเอาตัวเลขเดินบัญชีสวยๆมาจากไหน ซอฟท์โลนก็ยังเข้าไม่ถึง
 
นางสริญทิพญ กล่าวต่อว่า ผู้ประกอบการคาดหวังว่าวันสงกรานต์หยุดยาวจะมีการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว มีเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น แต่กลายเป็นว่าสะดุดหมดเพราะอะไร ส่วนใหญ่ที่เกิด ผู้ที่มีฐานะทางสังคมมีชื่อเสียงทั้งนั้น วัคซีนมั่นใจได้มากน้อยแค่ไหน จะให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้อย่างไร ทุกคนถอดใจกันหมด เราพยายามตอบคำถามนักท่องเที่ยวว่ามาได้ไม่ต้องวิตกกังวล เกาะเสม็ดไม่ได้มีโควิดแต่อย่างใด ขอให้รัฐบาลพิจารณาโดยเร่งด่วนเรื่องการช่วยเหลือในการที่จะช่วยฟื้นฟูผู้ประกอบการอย่างไร ธุรกิจเริ่มสั่นคลอนอีกแล้ว เงินกู้ซอฟท์โลนครั้งแรกก็ได้มาอย่างยากเย็น คาดหวังว่าตอนช่วงเทศกาลก็จะมีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น ก็หมดปัญญาแล้ว ขาดทุนมาตลอดช่วยให้เขาอยู่ได้ ไม่ใช่มาพูดว่าเงินเดินบัญชีตัวเลขไม่สวย วอนรัฐบาลหันกลับมามองผู้ประกอบการจริงๆ เสียทีว่าตอนนี้สถานการณ์มันสั่นคลอน ผู้ประกอบการเริ่มจะไปไม่ได้จริงๆ ให้ช่วยด้วยความจริงใจเสียที
 

 
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คงจีดีพีปีนี้ขยายตัว 2.4% ห่วงฉีดวัคซีนล่าช้า บั่นทอนความเชื่อมั่น
https://www.matichon.co.th/economy/news_2664095
 
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คงจีดีพีปีนี้ขยายตัว 2.4% ห่วงฉีดวัคซีนล่าช้า บั่นทอนความเชื่อมั่น
 
เมื่อวันที่ 8 เมษายน ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จัดแถลงข่าวอัพเดทเศรษฐกิจไตรมาส 2 ปี 2564 นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่า ได้ประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2564 และปี 2565 ขยายตัว 2.4% และ 3.0% ตามลำดับ ปัจจัยสำคัญคือ การใช้นโยบายการคลังนโยบายการเงินมีข้อจำกัด เนื่องจากหนี้สาธารณะใกล้แตะเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ในขณะที่โอกาสลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจมีอยู่ไม่มาก และการกระจายการฉีดวัคซีนและการเปิดภาคการท่องเที่ยวของประเทศ
 
นายทิม กล่าวว่า คาดการณ์เงินเฟ้อไว้อยู่ในระดับต่ำ อันเนื่องมาจากความต้องการบริโภคลดลง และดุลบัญชีเดินสะพัดที่อยู่ในระดับเกินดุลไม่มาก อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยว การนำเข้าที่ สูงขึ้น และราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น เป็นความเสี่ยงที่มีผลต่อการคาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัด นอกจากนี้คาดว่าการเบิกจ่ายทางการคลังยังคงดำเนินไปอย่างช้าๆ
 
แม้ว่าสถานการณ์ของโรคโควิด-19 จะดูมีความหวังมากขึ้น แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนเนื่องจากยังมีการระบาดเป็นระลอกในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลต่อการหดตัวของเศรษฐกิจในประเทศในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ยังคงบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในระยะสั้นนี้ อย่างไรก็ตามได้เริ่มมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในเดือนมีนาคม แต่จะช่วยผลักดันให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วของการได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง และประสิทธิผลในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค
 
นายทิม กล่าวว่า ความต้องการด้านการท่องเที่ยวน่าจะยังไม่มากในระยะใกล้นี้ เนื่องจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ยังคงเปราะบางทั่วโลก ในระยะกลางปริมาณผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวอาจจะเป็นประเด็นที่ต้องตามดู เนื่องจากโรคระบาดในครั้งนี้ทำให้ธุรกิจโรงแรมหลายแห่งต้องปิดกิจการ นอกจากนี้มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมมูลค่ารวม 3.5 แสนล้านบาท จากกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในไตรมาส 2 ของภาคท่องเที่ยวซึ่งเตรียมตัวที่จะกลับมาเริ่มเปิดอีกครั้ง
 
ทั้งนี้ การส่งออกได้กลับมาเติบโตในช่วงต้นปี 2564 โดยการส่งออกภาคยานยนต์เริ่มฟื้นตัว ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเนื่องจากการฟื้นตัวของภาคนำเข้าและความไม่แน่นอนในภาคการท่องเที่ยว ดังนั้นคาดว่าค่าเงินบาทจะผันผวนในระยะสั้น อย่างไรก็ตามคาดว่าค่าเงินบาทจะฟื้นตัวในปลายปี 2564 เนื่องจากภาคท่องเที่ยวค่อยๆปรับตัวดีขึ้นปลายปี เพื่อให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่อาจต้องใช้เวลา
 
ได้ปรับประมาณการค่าเงินบาทมาอยู่ที่ 31.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐในช่วงกลางปี จากเดิมคาดไว้ที่ 29.75 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และคาดว่าในช่วงสิ้นปีจะอยู่ที่ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากเดิมคาดไว้ที่ 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐ” นายทิม กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่