เรื่อง ลูกหนี้
เรื่องโดย นัฐพันธ์
ปิ่นค่อยๆก้าวขาลงมาจากรถเมล์ การจราจรในกรุงเทพนี่มันติดยิ่งกว่าอะไร ให้ตายเถอะ จากพระประแดงมาถึงปิ่นเกล้าใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง แม้จะต้องดั้นด้นมาหาป้าที่เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่แต่เธอก็ต้องมาเพื่อความอยู่รอด
ถ้าไม่เดือดร้อน ปิ่น คงไม่กล้าเสนอหน้ามาขอยืมเงินป้าจิตหรอก เธอสำนึกดีว่าเงินก้อนที่ยืมไปครั้งที่แล้วยังไม่ได้เอามาคืนป้าเลย แต่มาวันนี้ด้วยความจำเป็นอย่างยิ่งจึงทำให้เธอบากหน้ามาถึงอพาร์ทเมนต์ปลื้มจิต ของผู้เป็นป้า
ปิ่นนึกไปถึงครั้งก่อนที่เดินทางมาหาป้า เธอมาขอยืมเงินจำนวนห้าหมื่นเพื่อไปไถ่ตัวสามีที่ติดคุกในข้อหาค้ายาเสพติด ตอนนั้นเธอต้องดิ้นรนหาเงินจากหลายช่องทาง คนละหมื่นสองหมื่นเพื่อเอาไปประกันสามี ก็มีป้าจิตนี่แหละที่เป็นคนให้ยืม แต่ปิ่นก็ทำตัวเหลวแหลกไม่เอาเงินมาคืนตามที่สัญญา หลังจากที่สามีออกจากคุกได้ ทั้งสองก็หันกลับไปทำอาชีพเดิม “เด็กเดินยา” เป็นสมุนให้พวกเอเย่นต์ใหญ่และเธอก็หลงระเริงกับยาเสพติดจนถูกจับได้ และต้องโทษจำคุกกว่าสามปี
ตลอดระยะเวลาสามปีที่เธอไม่ได้มาที่อพาร์ทเมนต์แห่งนี้ ทุกอย่างดูจะเปลี่ยนไปตั้งแต่ทางเข้าปากซอย มีร้านสะดวกซื้อมาเปิดใหม่แข่งกับร้านขายของชำที่เปิดมาก่อนหน้านี้แม้จะรู้ตัวว่าถึงไปเจอหน้าจะต้องถูกบ่น ถูกด่า หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ป้าจิตก็เป็นความหวังเดียวและความหวังสุดท้ายในชีวิต
“มาหาใคร” เสียงหนึ่งเอ่ยเมื่อพบว่ามีคนเดินมาด่อมๆมองๆอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์ หญิงสูงวัยเหล่มองด้วยสายตาไม่สู้ดี
“ป้าจิต” ปิ่นร้องเรียกพลางเดินเข้าไปหา
“ใครล่ะนั่น” หญิงสูงวัยที่สวมแว่นตาสีดำพลางถามด้วยสายตาที่ไม่ดี มาสองปีกว่าภายหลังต้องลอกตาเพราะเป็นต้อทำให้การมองเห็นไม่เหมือนเดิม ปิ่นเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นป้า เจ้าหล่อนยกมือไหว้
“ปิ่นไงจ้ะป้า ปิ่นไง” เธอระลำระลักเข้าไปหา
“มาทำไมอีกล่ะปิ่น” หญิงชราดูห่างเหิน น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่ต้อนรับ
“หนูขอโทษนะป้า หนูขอโทษ” เธอยกมือไหว้ น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความอับอาย เธอมันไม่รักดี ญาติช่วยเหลือไปตั้งเท่าไหร่ก็ไม่พอ ความห่างเหินในครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกถึงความผิดพล่ดของจนเอง มันอาจะสายไปแล้วก็ได้ที่จะมาคิดตอนนี้
“ใครติดคุกอีกล่ะถึงเที่ยวมาหาป้าได้” หญิงชราเอ่ยแกมประชด
“ไม่เดือดร้อนก็คงไม่เสนอหน้ามาหา” ยังไม่วายที่จะชดประชันหญิงสาว
“โถ่ป้า” เธอเอ่ยเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้
“ฉันขอโทษนะป้า ป้าเป็นที่พึ่งทางเดียวของฉันแล้ว” หญิงสาวปาดน้ำตาที่ไหล
“พ่อแม่เอ็งเป็นยังไงบ้าง” หญิงชราเอ่ยถาม เมื่อความเดือดภายในใจลดลงก็เพราะความเป็นญาติมิตรนั่นเองที่ทำให้เธอยังพอมีหวังที่จะขอความช่วยเหลือจากป้า เธอบอกเล่าชีวิตของตนเองที่หายไป ป้าจิตก็รับฟังและเวทนาในชีวิตของเธอ
“คงเป็นเวรเป็นกรรมของฉันล่ะป้า ให้ต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้” ปิ่นบอก
“ก็ทำตัวเอง ก็ต้องยอมรับกรรม” ป้าจิตบอก หญิงสาวไม่มีอะไรจะโต้แย้ง เธอก้มหน้ารับฟัง ก็คงเป็นกรรมอย่างที่ป้าบอกนั่นแหละ เธอคิดในใจ
“แล้วนี่จะมายืมเงินอีกกี่บาทล่ะ” ป้าจิตถาม แม้จะบ่นจะด่าก็เถอะ แต่ด้วยความเป็นหลานแท้ๆจึงมิอาจจะไม่ช่วยเหลือได้
“สามหมื่นจ่ะป้า จะเอาไปกายภาพผัวของฉัน” เธอพูดเบาๆด้วยความละอาย
ป้าจิตส่ายหน้าแต่ก็ช่วยแม้จะไม่อยากช่วย
“ถ้าฉันมี ฉันสัญญาจะเอามาคืนนะจ้ะป้า” เธอบอก นางจิตรู้ว่าคงอีกนาน คนเราหากมันริจะโกงยังไงมันก็โกง แต่ที่ช่วยก็เพราะเห็นแก่ความเป็นหลานหรอกถึงช่วย ป้าจิตลุกเดินหายไปในตัวตึก ปิ่นที่นั่งรออย่างมีความหวัง ป้าจิตเป็นความหวังเดียวที่พอจะช่วยได้ ในขณะที่เธอนั่งอย่างใจจดใจจ่อรอคอยด้วยความหวัง เธอก็ถึงกับสะดุ้งเอพี่น้อยเดินเข้ามาจากทางหน้าอพาร์ทเมนต์ มองเธอด้วยความไม่พอใจ ปิ่นยกมือไหว้ไม่กล้าสบตา
“มาทำไมอีกล่ะ” นั่นคือเสียงที่เอ่ยถาม มันบ่งบอกถึงความห่างเหินของพี่น้อย
“มาหาป้าจิตจ้ะ” ปิ่นบอกเสีงสั่นแบบเบาๆ เธอไม่กล้าสู้หน้าพี่น้อยเพราะอายที่ต้องบากหน้ามาขอยืมเงินทั้งๆที่ของเก่ายังไม่ทันจะคืน
“ป้าจิต” พี่น้อย ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ พลางหน้าฉงนใส่ปิ่น
พี่น้อยพูดขึ้นเสียงดังฟังชัด “แกไม่รู้หรอว่าป้าจิตแกตายไปตั้งแต่ปีที่แล้ว” พี่น้อยพูดออกมา ปิ่นที่นั่งอยู่ถึงกับตะลึง
“ว่าอะไรนะพี่น้อย”
“ป้าจิตแกตายไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว แกจะมาหาไปที่วัดโน้นไม่ใช่ที่นี่”
“แล้วเมื่อกี้ เมื่อกี้ที่ฉันคุย ฉันเจอป้าล่ะจ้ะ” ปิ่นเหมือนคนเสียสติ ก็เมื่อกี้เธอยังเจอป้าจิตอู่เลยแล้วทำไมตอนนี้ เรื่องมันกลับตาลปัตรแบบนี้
“แกไม่เชื่อใช่มั้ย” พี่น้อยทำท่าทีไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบรูปหน้าศพของป้าจิตมาส่งให้ปิ่นดู ปิ่นถึงกลับเข่าทรุด
“หรือว่านั่นคือผี นี่ฉันเจอผีป้าจิต” เธอสั่นไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัว เธอยกมือพนมด้วยความกลัวก่อนที่ปิ่นลุกขึ้นและก้าวเดินออกไป พี่น้อยพูดไล่หลัง
“แล้วถ้ามีเงินก็เอามาคืนด้วย ระวังไว้เถอะ ผีจะไปตามทวงเงินพวกลูกหนี้ที่ชอบเบี้ยวหนี้”
เสียงนั้นตะโกนไล่หลังจนปิ่นอับอายรีบเดินจ้ำๆออกไป มีสายตาใครหลายคนแอบจ้องมอง
“แช่งกุแต่หัววันเชียวนะอีน้อย กุนะแม่ ยังไม่ตายโว้ย” เสียงนางจิตดังออกมา หญิงชราตาฝ้าฟางเดินเข้าไปจะหยิบเงินมาให้ปิ่นยืม แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“ยืมจัง คนพวกนี้จิตใจมันทำด้วยอะไร สักแต่ยืมๆแต่ไม่เคยคืนสักสลึง” น้อยบ่น
“ก็เลย เอารูปกูไปอัดกรอบ เป็นรูปคนตาย เอามาหลอกคนที่มายืมเงินงั้นสิ” ป้าจิตบ่นที่ลูกสาวตัวดี แอบเอารูปไปอัดใส่กรอบ ไว้หลอกคนที่ชอบมายืมเงินแม่ตัวเอง
“ไม่เข็ดหรือไงแม่ ให้คนพวกนี้ยืมเงิน นอกจากมันจะไม่เอามาคืนแล้ว มันยังทำลายน้ำใจที่เรามีให้” น้อยบอก นางจิตได้แต่ฟังเพราะมันก็จริงอย่างที่น้อยว่านั่นแหละ “ไม่เข็ดหรือไงกับการให้คนพวกนี้ยืม”
จบ
เรื่องสั้น "ลูกหนี้"
เรื่องโดย นัฐพันธ์
ปิ่นค่อยๆก้าวขาลงมาจากรถเมล์ การจราจรในกรุงเทพนี่มันติดยิ่งกว่าอะไร ให้ตายเถอะ จากพระประแดงมาถึงปิ่นเกล้าใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง แม้จะต้องดั้นด้นมาหาป้าที่เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่แต่เธอก็ต้องมาเพื่อความอยู่รอด
ถ้าไม่เดือดร้อน ปิ่น คงไม่กล้าเสนอหน้ามาขอยืมเงินป้าจิตหรอก เธอสำนึกดีว่าเงินก้อนที่ยืมไปครั้งที่แล้วยังไม่ได้เอามาคืนป้าเลย แต่มาวันนี้ด้วยความจำเป็นอย่างยิ่งจึงทำให้เธอบากหน้ามาถึงอพาร์ทเมนต์ปลื้มจิต ของผู้เป็นป้า
ปิ่นนึกไปถึงครั้งก่อนที่เดินทางมาหาป้า เธอมาขอยืมเงินจำนวนห้าหมื่นเพื่อไปไถ่ตัวสามีที่ติดคุกในข้อหาค้ายาเสพติด ตอนนั้นเธอต้องดิ้นรนหาเงินจากหลายช่องทาง คนละหมื่นสองหมื่นเพื่อเอาไปประกันสามี ก็มีป้าจิตนี่แหละที่เป็นคนให้ยืม แต่ปิ่นก็ทำตัวเหลวแหลกไม่เอาเงินมาคืนตามที่สัญญา หลังจากที่สามีออกจากคุกได้ ทั้งสองก็หันกลับไปทำอาชีพเดิม “เด็กเดินยา” เป็นสมุนให้พวกเอเย่นต์ใหญ่และเธอก็หลงระเริงกับยาเสพติดจนถูกจับได้ และต้องโทษจำคุกกว่าสามปี
ตลอดระยะเวลาสามปีที่เธอไม่ได้มาที่อพาร์ทเมนต์แห่งนี้ ทุกอย่างดูจะเปลี่ยนไปตั้งแต่ทางเข้าปากซอย มีร้านสะดวกซื้อมาเปิดใหม่แข่งกับร้านขายของชำที่เปิดมาก่อนหน้านี้แม้จะรู้ตัวว่าถึงไปเจอหน้าจะต้องถูกบ่น ถูกด่า หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ป้าจิตก็เป็นความหวังเดียวและความหวังสุดท้ายในชีวิต
“มาหาใคร” เสียงหนึ่งเอ่ยเมื่อพบว่ามีคนเดินมาด่อมๆมองๆอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์ หญิงสูงวัยเหล่มองด้วยสายตาไม่สู้ดี
“ป้าจิต” ปิ่นร้องเรียกพลางเดินเข้าไปหา
“ใครล่ะนั่น” หญิงสูงวัยที่สวมแว่นตาสีดำพลางถามด้วยสายตาที่ไม่ดี มาสองปีกว่าภายหลังต้องลอกตาเพราะเป็นต้อทำให้การมองเห็นไม่เหมือนเดิม ปิ่นเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นป้า เจ้าหล่อนยกมือไหว้
“ปิ่นไงจ้ะป้า ปิ่นไง” เธอระลำระลักเข้าไปหา
“มาทำไมอีกล่ะปิ่น” หญิงชราดูห่างเหิน น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่ต้อนรับ
“หนูขอโทษนะป้า หนูขอโทษ” เธอยกมือไหว้ น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความอับอาย เธอมันไม่รักดี ญาติช่วยเหลือไปตั้งเท่าไหร่ก็ไม่พอ ความห่างเหินในครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกถึงความผิดพล่ดของจนเอง มันอาจะสายไปแล้วก็ได้ที่จะมาคิดตอนนี้
“ใครติดคุกอีกล่ะถึงเที่ยวมาหาป้าได้” หญิงชราเอ่ยแกมประชด
“ไม่เดือดร้อนก็คงไม่เสนอหน้ามาหา” ยังไม่วายที่จะชดประชันหญิงสาว
“โถ่ป้า” เธอเอ่ยเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้
“ฉันขอโทษนะป้า ป้าเป็นที่พึ่งทางเดียวของฉันแล้ว” หญิงสาวปาดน้ำตาที่ไหล
“พ่อแม่เอ็งเป็นยังไงบ้าง” หญิงชราเอ่ยถาม เมื่อความเดือดภายในใจลดลงก็เพราะความเป็นญาติมิตรนั่นเองที่ทำให้เธอยังพอมีหวังที่จะขอความช่วยเหลือจากป้า เธอบอกเล่าชีวิตของตนเองที่หายไป ป้าจิตก็รับฟังและเวทนาในชีวิตของเธอ
“คงเป็นเวรเป็นกรรมของฉันล่ะป้า ให้ต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้” ปิ่นบอก
“ก็ทำตัวเอง ก็ต้องยอมรับกรรม” ป้าจิตบอก หญิงสาวไม่มีอะไรจะโต้แย้ง เธอก้มหน้ารับฟัง ก็คงเป็นกรรมอย่างที่ป้าบอกนั่นแหละ เธอคิดในใจ
“แล้วนี่จะมายืมเงินอีกกี่บาทล่ะ” ป้าจิตถาม แม้จะบ่นจะด่าก็เถอะ แต่ด้วยความเป็นหลานแท้ๆจึงมิอาจจะไม่ช่วยเหลือได้
“สามหมื่นจ่ะป้า จะเอาไปกายภาพผัวของฉัน” เธอพูดเบาๆด้วยความละอาย
ป้าจิตส่ายหน้าแต่ก็ช่วยแม้จะไม่อยากช่วย
“ถ้าฉันมี ฉันสัญญาจะเอามาคืนนะจ้ะป้า” เธอบอก นางจิตรู้ว่าคงอีกนาน คนเราหากมันริจะโกงยังไงมันก็โกง แต่ที่ช่วยก็เพราะเห็นแก่ความเป็นหลานหรอกถึงช่วย ป้าจิตลุกเดินหายไปในตัวตึก ปิ่นที่นั่งรออย่างมีความหวัง ป้าจิตเป็นความหวังเดียวที่พอจะช่วยได้ ในขณะที่เธอนั่งอย่างใจจดใจจ่อรอคอยด้วยความหวัง เธอก็ถึงกับสะดุ้งเอพี่น้อยเดินเข้ามาจากทางหน้าอพาร์ทเมนต์ มองเธอด้วยความไม่พอใจ ปิ่นยกมือไหว้ไม่กล้าสบตา
“มาทำไมอีกล่ะ” นั่นคือเสียงที่เอ่ยถาม มันบ่งบอกถึงความห่างเหินของพี่น้อย
“มาหาป้าจิตจ้ะ” ปิ่นบอกเสีงสั่นแบบเบาๆ เธอไม่กล้าสู้หน้าพี่น้อยเพราะอายที่ต้องบากหน้ามาขอยืมเงินทั้งๆที่ของเก่ายังไม่ทันจะคืน
“ป้าจิต” พี่น้อย ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ พลางหน้าฉงนใส่ปิ่น
พี่น้อยพูดขึ้นเสียงดังฟังชัด “แกไม่รู้หรอว่าป้าจิตแกตายไปตั้งแต่ปีที่แล้ว” พี่น้อยพูดออกมา ปิ่นที่นั่งอยู่ถึงกับตะลึง
“ว่าอะไรนะพี่น้อย”
“ป้าจิตแกตายไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว แกจะมาหาไปที่วัดโน้นไม่ใช่ที่นี่”
“แล้วเมื่อกี้ เมื่อกี้ที่ฉันคุย ฉันเจอป้าล่ะจ้ะ” ปิ่นเหมือนคนเสียสติ ก็เมื่อกี้เธอยังเจอป้าจิตอู่เลยแล้วทำไมตอนนี้ เรื่องมันกลับตาลปัตรแบบนี้
“แกไม่เชื่อใช่มั้ย” พี่น้อยทำท่าทีไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบรูปหน้าศพของป้าจิตมาส่งให้ปิ่นดู ปิ่นถึงกลับเข่าทรุด
“หรือว่านั่นคือผี นี่ฉันเจอผีป้าจิต” เธอสั่นไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัว เธอยกมือพนมด้วยความกลัวก่อนที่ปิ่นลุกขึ้นและก้าวเดินออกไป พี่น้อยพูดไล่หลัง
“แล้วถ้ามีเงินก็เอามาคืนด้วย ระวังไว้เถอะ ผีจะไปตามทวงเงินพวกลูกหนี้ที่ชอบเบี้ยวหนี้”
เสียงนั้นตะโกนไล่หลังจนปิ่นอับอายรีบเดินจ้ำๆออกไป มีสายตาใครหลายคนแอบจ้องมอง
“แช่งกุแต่หัววันเชียวนะอีน้อย กุนะแม่ ยังไม่ตายโว้ย” เสียงนางจิตดังออกมา หญิงชราตาฝ้าฟางเดินเข้าไปจะหยิบเงินมาให้ปิ่นยืม แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“ยืมจัง คนพวกนี้จิตใจมันทำด้วยอะไร สักแต่ยืมๆแต่ไม่เคยคืนสักสลึง” น้อยบ่น
“ก็เลย เอารูปกูไปอัดกรอบ เป็นรูปคนตาย เอามาหลอกคนที่มายืมเงินงั้นสิ” ป้าจิตบ่นที่ลูกสาวตัวดี แอบเอารูปไปอัดใส่กรอบ ไว้หลอกคนที่ชอบมายืมเงินแม่ตัวเอง
“ไม่เข็ดหรือไงแม่ ให้คนพวกนี้ยืมเงิน นอกจากมันจะไม่เอามาคืนแล้ว มันยังทำลายน้ำใจที่เรามีให้” น้อยบอก นางจิตได้แต่ฟังเพราะมันก็จริงอย่างที่น้อยว่านั่นแหละ “ไม่เข็ดหรือไงกับการให้คนพวกนี้ยืม”