พรรคร่วมฝ่ายค้านเลี้ยงกระชับสัมพันธ์ ยันมุ่งมั่นทำงานฝ่ายปชต.เพื่อปชช. ลั่นสงครามยังไม่จบต้องสู้กันต่อ
พรรคร่วมฝ่ายค้านเลี้ยงกระชับสัมพันธ์ ‘2 ปี ความร่วมมือพรรคร่วมฝ่ายค้าน’ ยันมุ่งมั่นทำงานฝ่ายปชต.เพื่อปชช. ลั่นสงครามยังไม่จบต้องสู้กันต่อไป
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 1 เมษายน ที่โรงแรม SC Park ห้องรัชดา พรรคร่วมฝ่ายค้านจัดงานเลี้ยงเนื่องในโอกาส “
2 ปี ความร่วมมือพรรคร่วมฝ่ายค้าน”
โดย นาย
สมพงศ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีที่เรามีโอกาสพบปะกัน เนื่องจากระยะเวลาที่ผ่านมา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 62 ที่เราได้พบกันครั้งแรกในฐานะพรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตย เราได้ประกาศเจตนารมย์ร่วมกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจ [เผล่ะจัง]
ทั้งนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยของเรากลายเป็นฝ่ายค้านเพาะกลไกที่บกพร่องของรัฐธรรมนูญ ตลอดระยะเวลา 2 ปี เราได้ต่อสู้ขัดขวางการสืบทอดอำนาจ และความไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็งทั้งในและนอกสภา เราได้ต่อสู้ ยืนหยัดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรายืนยันที่จะต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง เรายืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแน่วแน่
นาย
สมพงศ์ กล่าวอีกว่า วันนี้คงหลีกเลี่ยงไม่พ้นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการเดินหน้าพ.ร.บ.ประชามติ ฝ่ายค้านเราจะเดินสายพบพี่น้องประชาชนทั้ง 4 ภาค และหาทางแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาในรัฐธรรมนูญ ได้แก่ ระบบการเลือกตั้ง ที่มาและอำนาจส.ว. ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ
ตนขอขอบทุกพรรคทุกคนที่เราอยู่ด้วยกัน และทำงานด้วยกันด้วยดีมาโดยตลอด เชื่อว่าเราจะยึดมั่นในอุดมการณ์ที่มีร่วมกันต่อไปในวันข้างหน้า เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเราจะไม่ยอมจำนนต่อการสืบทอดอำนาจ และความไม่ถูกต้องของรัฐบาลที่ดำเนินการมาโดยตลอด
ด้าน นาย
ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคพท. กล่าวว่า การพบปะกันในวันนี้ถือว่าเราได้ทำงานคร่วมกัน 2 ปีที่ผ่านมา ในฐานะแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตย วันนี้เราได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกาาเสนอกฎหมาย หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ เราจะต้องกำหนดแผนในการทำงานร่วมกันในอนาคตต่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำประชามติ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ฝ่ายค้านเราได้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในคราวประชุมที่ผ่านมาแต่ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้ แต่การประชุมรัฐสภาสามัญที่จะเกิดขึ้น ฝ่ายค้านยังยืนหยัดในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตรงต่อความต้องการของพี่น้องประชาชน และให้พี่น้องประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้
แม้ฟากรัฐบาลพยายามเสนอแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา แต่ตนขอเรียนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่ประโยชน์ของคนในสภาเป็นหลัก ส่วนประเด็นพ.ร.บ.ประชามตินั้น เรามีความมั่นใจว่า การแก้ไขมาตรา 9 ที่ผ่านมาเป็นการทำงานร่วมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาฯ และส่งผลให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสเข้ามามีบทบาทมากขึ้น พ.ร.บ.ประชามตินี้เป็นกฎหมายที่รัฐบาลเสนอ หากตกไป รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบในทางใดทางหนึ่ง
ขณะที่ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า บรรยากาศของวันนี้ทำให้ตนนึกถึงบรรยากาศปีที่แล้วที่เราได้กินเลี้ยงกัน ขณะนั้นตนขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคครั้งแรก ท่ามกลางปัญหาที่ประชานพยายามฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงิน และรัฐธรรมนูญเป็นปัญหา ในฐานะหัวหน้าพรรคก.ก.ขอขอบคุณเพื่อนๆอีก 5 พรรคที่ทำงานร่วมกันปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เราทำงานอยบ่างเป็นเอกกภาพ
และปีหน้า เป็นปีที่ 3 ของการทำงานร่วมกัน ถือว่าใกล้ถึงการเลือกตั้งแล้ว แต่การเมืองยังไม่มีรูระบาย อุณหภูมิทางการเมืองจะสูงขึ้น และร้อนขึ้นไปอีก แต่ถ้าทุกคนร่วมกันทำงานอิย่างขยันขันแข็ง เชื่อว่าเราจะอยู่ถูกฝั่งในหน้าประวัติศาสตร์ เราจะร่วมกันตรวจสอบรัฐบาล นำเสนอวิสัยทัศน์ที่ใหม่ และชัดหว่า และเชื่อว่าเราจะได้เป็นรัฐบาลในที่สุดเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ‘
ชัยชนะ ต้องเป็นของประชาชน’
ขณะที่ นาย
สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เราสัญญากันว่า จะกอดคอสู้ด้วยกันจนกว่าได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) กล่าวว่า แม้ว่าการต่อสู้ 2 ปีที่ผ่านมา เรายังไม่ได้ไปตามเป้าหมายที่เราต้องการ ไม่ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ยังเป็นรัฐธรรมนูญเพื่อพวกเขา และฝ่ายเผด็จการยังคลองเมืองอยู่ เราก็ยังมีกำลังใจเพราะประชาชนยังเคียงข้างเราอยู่ วันนี้ ตนมองว่า สงครามยังไม่เลิก การต่อสู้ยังคงต้องดำเนินต่อไป
ทั้งนี้ ก่อนงานเลี้ยง นาย
ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคพท. ได้รายงานผลการประชุมในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติในวันแรกว่า ททางกฤษฎีกาพยายามแก้ไขเนื้อหาให้ไม่ไปขัดกับรัฐธรรนูญ เพราะมีกระแสหนาหูเรื่องว่าการแก้ไขมาตรา 9 ของร่างพ.ร.บ.ประชามติจะไปขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งวันนี้ก็ผ่านมาตรา 10 และมาตรา 11 ไปได้ด้วยดี
นาย
ชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ตนเชื่อว่าหลักพ.ร.บ.ประชามติฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาแล้ว สามารถนำมาใช้ดำเนินการทำประชามติเพื่อขอเสนอแก้รัฐธรรมนูญได้ทันที แต่อาจจะมีอุปสรรคต่างๆพอสมควรในการใช้ นอกจากนี้ ในส่วนทีให้ประชาชนเข้าชื่อทำประชามติได้นั้น มีการขยายความให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นกรอบ โดยที่ประชุมได้เห็นชอบให้ประชาชนเข้าชื่อจำนวน 10,000 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างชื่นมื่น มีการร้องพูดคุย และร้องเพลงอย่างเป็นกันเอง ทั้งยังได้ร่วมกันน้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ และอวยพรวันคล้ายวันเกิดให้นาย
ประเสริฐด้วย
ธุรกิจไทยรื้อแผนลงทุน ‘เมียนมา’ OR ชะลอปั๊ม อเมซอน คลังน้ำมัน
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/930421
สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ชี้ สถานการณ์รุนแรงกว่าคาด ธุรกิจชะลอ ชงรัฐจัดซอฟต์โลนอุ้ม เตือนสมาชิกไม่ให้ออกไปไหน "OR" ชะลอแผนคลังน้ำมันใหญ่สุด 1 ล้านบาร์เรล " ปตท.สผ." เดินหน้าลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ วางท่อก๊าซ ผลิตไฟฟ้า วางสายส่ง
ภายหลังการรัฐประหารในเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 นำโดย พลเอกอาวุโส มินห์ อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ ทำให้เมียนกลับไปถูกปกครองด้วยทหาร และมีการประท้วงกระจายทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีการปราบปรามการชุมชน ซึ่งเป็นประเด็นที่นักธุรกิจไทยในเมียนมามีความกังวลต่อสถานการณ์มากขึ้น
นาย
กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า ขณะนี้สถานการณ์ในเมียนมามีความรุนแรงมากขึ้นกระทบต่อการทำธุรกิจของบริษัทไทยในเมียนมารุนแรงมาก โดยไม่สามารถไปทำธุรกิจภายนอกได้ รวมทั้งพนักงานขายไม่สามารถไปขายสินค้าในแต่ละพื้นที่ได้ รวมทั้งร้านค้าต้องปิดทำให้สินค้าไม่สามารถจำหน่ายได้ ซึ่งแม้ด่านชายแดนเปิดได้และสินค้าไทยผ่านแดนได้ แต่การค้าในเมียนมาหยุดและอาจไม่จำเป็นต้องนำเข้า
“
ขณะนี้สถานการณ์รุนแรงมากกว่าที่เราคิดไว้เพราะส่งผลกระทบไปทุกพื้นที่ ตอนนี้ไม่สามารถประเมินความเสียหายได้เพราะทุกอย่างหยุดชะงักไปหมด”
ทั้งนี้ สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ได้มีการหารือกับสมาชิก โดยต้องการให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือโดยด่วน ซึ่งได้หารือกับนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 26 มี.ค.2564 และได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐช่วยเหลือหลายข้อ แต่สิ่งสำคัญเร่งด่วนที่สุด คือ การช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงินของสมาชิกเพราะขาดรายได้ รวมทั้งส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีที่ต้องปิดกิจการชั่วคราว จึงต้องการให้ช่วยออกเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟท์โลน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์รับไปช่วยประสานงานให้ และนัดหารืออีกครั้งกลางเดือน เม.ย.นี้
“วันนี้ทำได้แค่ต้องพยุงและประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ การที่จะถอนธุรกิจออกก็จะทำให้ขาดทุน เพราะเงินลงทุนทำธุรกิจในเมียนมาจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยได้ คือ ซอฟต์โลน เพราะขาดสภาพคล่องโดยสิ้นเชิง”
นอกจากนี้ ในระหว่างการประสานความช่วยเหลือรัฐบาลนั้น สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ขอให้สมาชิกที่อยู่ในเมียนมาอยู่นิ่งๆอย่าออกไปทำธุรกิจภายนอก และอดทนรอ ดูแลตัวเองให้มากที่สุด เนื่องจากสถานการณ์อันตรายมาก
• OR ชะลอลงทุนคลังน้ำมัน
น.ส.
จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า แผนขยายการลงทุนในเมียนมาของ OR ปัจจุบัน มีการจัดตั้ง 2 บริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรกลุ่มบริษัท คันบาวซา จำกัด (Kanbawza KBZ Group of Companies Limited) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของเมียนมา ในการดำเนินการ 2 โครงการ คือ
1. โครงการร่วมทุนธุรกิจคลังและค้าส่งปิโตรเลียม กับ บริษัท ไบรท์เทอร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ในการจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม รวมถึงการจัดตั้งและบริหารคลังน้ำมัน ท่าเรือ และโรงบรรจุก๊าซหุงต้มแอลพีจี ซึ่งเดิมโครงการดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2564 นับเป็นคลังน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเมียนมา มีความจุรวมกว่า 1 ล้านบาร์เรล และมีความจุแอลพีจี รวม 4,500 เมตริกตัน
2. โครงการร่วมทุนธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีก กับ บริษัท ไบรท์เทอร์ เอนเนอร์ยี่ รีเทล จำกัด โดยจะนำแบรนด์ของ โออาร์ ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยมาต่อยอดเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคชาวเมียนมา ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ก๊าซหุงต้มแอลพีจี และร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน ซึ่งเดิมวางเป้าหมายการขยายสถานีฯ ที่ 70 แห่ง ภายในปี 2566 นั้น
“
ทั้ง 2 โครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยโครงการแรก คืบหน้าไปแล้ว 65% และโครงการที่สอง อยู่ระหว่างก่อสร้างปั๊ม 2 แห่ง แต่เนื่องจากเหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาทำให้ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจำเป็นต้องชะลอการลงทุนออกไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง”
• ปตท.สผ.เดินหน้าโรงไฟฟ้า
นาย
พงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า โครงการ Gas to Power ในเมียนมา หลังจากเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2563 บริษัทได้ลงนามในหนังสืออนุญาตให้เริ่มดำเนินงาน (Notice to Proceed) ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในเมียนมา (Integrated Domestic Gas to Power) เพื่อนำก๊าซธรรมชาติจากโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวเมาะตะมะ
โดยเริ่มแรกจะนำก๊าซจากโครงการซอติก้า และโครงการเมียนมา เอ็ม3 มาใช้ในการผลิตไฟฟ้าในโครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อดำเนินการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ขนาดกำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ ในเขตไจลัท ภูมิภาคอิรวดี การก่อสร้างระบบท่อขนส่งก๊าซฯ ทั้งในทะเลและบนบก จากเมืองกันบก-เมืองดอร์เนียน-เมืองไจลัท รวมระยะทางประมาณ 370 กิโลเมตร
และการวางระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงจากเขตไจลัทไปยังเขตลานทายาในภูมิภาคย่างกุ้ง มีระยะเวลาสัญญา 20 ปี และสามารถต่ออายุสัญญาได้ 5 ปี นับจากวันเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์
JJNY : ฝ่ายค้านเลี้ยงกระชับสัมพันธ์│ไทยรื้อลงทุนเมียนมา│แก้รธน.ส่อวุ่น รอยร้าวรบ.ปริอีก│ยันคดีวิรัชไม่มีทางขาดอายุความ
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 1 เมษายน ที่โรงแรม SC Park ห้องรัชดา พรรคร่วมฝ่ายค้านจัดงานเลี้ยงเนื่องในโอกาส “2 ปี ความร่วมมือพรรคร่วมฝ่ายค้าน”
โดย นายสมพงศ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีที่เรามีโอกาสพบปะกัน เนื่องจากระยะเวลาที่ผ่านมา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 62 ที่เราได้พบกันครั้งแรกในฐานะพรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตย เราได้ประกาศเจตนารมย์ร่วมกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจ [เผล่ะจัง]
ทั้งนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยของเรากลายเป็นฝ่ายค้านเพาะกลไกที่บกพร่องของรัฐธรรมนูญ ตลอดระยะเวลา 2 ปี เราได้ต่อสู้ขัดขวางการสืบทอดอำนาจ และความไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็งทั้งในและนอกสภา เราได้ต่อสู้ ยืนหยัดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรายืนยันที่จะต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง เรายืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแน่วแน่
นายสมพงศ์ กล่าวอีกว่า วันนี้คงหลีกเลี่ยงไม่พ้นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการเดินหน้าพ.ร.บ.ประชามติ ฝ่ายค้านเราจะเดินสายพบพี่น้องประชาชนทั้ง 4 ภาค และหาทางแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาในรัฐธรรมนูญ ได้แก่ ระบบการเลือกตั้ง ที่มาและอำนาจส.ว. ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ
ตนขอขอบทุกพรรคทุกคนที่เราอยู่ด้วยกัน และทำงานด้วยกันด้วยดีมาโดยตลอด เชื่อว่าเราจะยึดมั่นในอุดมการณ์ที่มีร่วมกันต่อไปในวันข้างหน้า เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเราจะไม่ยอมจำนนต่อการสืบทอดอำนาจ และความไม่ถูกต้องของรัฐบาลที่ดำเนินการมาโดยตลอด
ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคพท. กล่าวว่า การพบปะกันในวันนี้ถือว่าเราได้ทำงานคร่วมกัน 2 ปีที่ผ่านมา ในฐานะแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตย วันนี้เราได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกาาเสนอกฎหมาย หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ เราจะต้องกำหนดแผนในการทำงานร่วมกันในอนาคตต่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำประชามติ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ฝ่ายค้านเราได้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในคราวประชุมที่ผ่านมาแต่ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้ แต่การประชุมรัฐสภาสามัญที่จะเกิดขึ้น ฝ่ายค้านยังยืนหยัดในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตรงต่อความต้องการของพี่น้องประชาชน และให้พี่น้องประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้
แม้ฟากรัฐบาลพยายามเสนอแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา แต่ตนขอเรียนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่ประโยชน์ของคนในสภาเป็นหลัก ส่วนประเด็นพ.ร.บ.ประชามตินั้น เรามีความมั่นใจว่า การแก้ไขมาตรา 9 ที่ผ่านมาเป็นการทำงานร่วมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาฯ และส่งผลให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสเข้ามามีบทบาทมากขึ้น พ.ร.บ.ประชามตินี้เป็นกฎหมายที่รัฐบาลเสนอ หากตกไป รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบในทางใดทางหนึ่ง
ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า บรรยากาศของวันนี้ทำให้ตนนึกถึงบรรยากาศปีที่แล้วที่เราได้กินเลี้ยงกัน ขณะนั้นตนขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคครั้งแรก ท่ามกลางปัญหาที่ประชานพยายามฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงิน และรัฐธรรมนูญเป็นปัญหา ในฐานะหัวหน้าพรรคก.ก.ขอขอบคุณเพื่อนๆอีก 5 พรรคที่ทำงานร่วมกันปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เราทำงานอยบ่างเป็นเอกกภาพ
และปีหน้า เป็นปีที่ 3 ของการทำงานร่วมกัน ถือว่าใกล้ถึงการเลือกตั้งแล้ว แต่การเมืองยังไม่มีรูระบาย อุณหภูมิทางการเมืองจะสูงขึ้น และร้อนขึ้นไปอีก แต่ถ้าทุกคนร่วมกันทำงานอิย่างขยันขันแข็ง เชื่อว่าเราจะอยู่ถูกฝั่งในหน้าประวัติศาสตร์ เราจะร่วมกันตรวจสอบรัฐบาล นำเสนอวิสัยทัศน์ที่ใหม่ และชัดหว่า และเชื่อว่าเราจะได้เป็นรัฐบาลในที่สุดเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ‘ชัยชนะ ต้องเป็นของประชาชน’
ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เราสัญญากันว่า จะกอดคอสู้ด้วยกันจนกว่าได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) กล่าวว่า แม้ว่าการต่อสู้ 2 ปีที่ผ่านมา เรายังไม่ได้ไปตามเป้าหมายที่เราต้องการ ไม่ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ยังเป็นรัฐธรรมนูญเพื่อพวกเขา และฝ่ายเผด็จการยังคลองเมืองอยู่ เราก็ยังมีกำลังใจเพราะประชาชนยังเคียงข้างเราอยู่ วันนี้ ตนมองว่า สงครามยังไม่เลิก การต่อสู้ยังคงต้องดำเนินต่อไป
ทั้งนี้ ก่อนงานเลี้ยง นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคพท. ได้รายงานผลการประชุมในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติในวันแรกว่า ททางกฤษฎีกาพยายามแก้ไขเนื้อหาให้ไม่ไปขัดกับรัฐธรรนูญ เพราะมีกระแสหนาหูเรื่องว่าการแก้ไขมาตรา 9 ของร่างพ.ร.บ.ประชามติจะไปขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งวันนี้ก็ผ่านมาตรา 10 และมาตรา 11 ไปได้ด้วยดี
นายชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ตนเชื่อว่าหลักพ.ร.บ.ประชามติฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาแล้ว สามารถนำมาใช้ดำเนินการทำประชามติเพื่อขอเสนอแก้รัฐธรรมนูญได้ทันที แต่อาจจะมีอุปสรรคต่างๆพอสมควรในการใช้ นอกจากนี้ ในส่วนทีให้ประชาชนเข้าชื่อทำประชามติได้นั้น มีการขยายความให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นกรอบ โดยที่ประชุมได้เห็นชอบให้ประชาชนเข้าชื่อจำนวน 10,000 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างชื่นมื่น มีการร้องพูดคุย และร้องเพลงอย่างเป็นกันเอง ทั้งยังได้ร่วมกันน้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ และอวยพรวันคล้ายวันเกิดให้นายประเสริฐด้วย
ธุรกิจไทยรื้อแผนลงทุน ‘เมียนมา’ OR ชะลอปั๊ม อเมซอน คลังน้ำมัน
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/930421
สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ชี้ สถานการณ์รุนแรงกว่าคาด ธุรกิจชะลอ ชงรัฐจัดซอฟต์โลนอุ้ม เตือนสมาชิกไม่ให้ออกไปไหน "OR" ชะลอแผนคลังน้ำมันใหญ่สุด 1 ล้านบาร์เรล " ปตท.สผ." เดินหน้าลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ วางท่อก๊าซ ผลิตไฟฟ้า วางสายส่ง
ภายหลังการรัฐประหารในเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 นำโดย พลเอกอาวุโส มินห์ อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ ทำให้เมียนกลับไปถูกปกครองด้วยทหาร และมีการประท้วงกระจายทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีการปราบปรามการชุมชน ซึ่งเป็นประเด็นที่นักธุรกิจไทยในเมียนมามีความกังวลต่อสถานการณ์มากขึ้น
นายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า ขณะนี้สถานการณ์ในเมียนมามีความรุนแรงมากขึ้นกระทบต่อการทำธุรกิจของบริษัทไทยในเมียนมารุนแรงมาก โดยไม่สามารถไปทำธุรกิจภายนอกได้ รวมทั้งพนักงานขายไม่สามารถไปขายสินค้าในแต่ละพื้นที่ได้ รวมทั้งร้านค้าต้องปิดทำให้สินค้าไม่สามารถจำหน่ายได้ ซึ่งแม้ด่านชายแดนเปิดได้และสินค้าไทยผ่านแดนได้ แต่การค้าในเมียนมาหยุดและอาจไม่จำเป็นต้องนำเข้า
“ขณะนี้สถานการณ์รุนแรงมากกว่าที่เราคิดไว้เพราะส่งผลกระทบไปทุกพื้นที่ ตอนนี้ไม่สามารถประเมินความเสียหายได้เพราะทุกอย่างหยุดชะงักไปหมด”
ทั้งนี้ สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ได้มีการหารือกับสมาชิก โดยต้องการให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือโดยด่วน ซึ่งได้หารือกับนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 26 มี.ค.2564 และได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐช่วยเหลือหลายข้อ แต่สิ่งสำคัญเร่งด่วนที่สุด คือ การช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงินของสมาชิกเพราะขาดรายได้ รวมทั้งส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีที่ต้องปิดกิจการชั่วคราว จึงต้องการให้ช่วยออกเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟท์โลน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์รับไปช่วยประสานงานให้ และนัดหารืออีกครั้งกลางเดือน เม.ย.นี้
“วันนี้ทำได้แค่ต้องพยุงและประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ การที่จะถอนธุรกิจออกก็จะทำให้ขาดทุน เพราะเงินลงทุนทำธุรกิจในเมียนมาจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยได้ คือ ซอฟต์โลน เพราะขาดสภาพคล่องโดยสิ้นเชิง”
นอกจากนี้ ในระหว่างการประสานความช่วยเหลือรัฐบาลนั้น สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ขอให้สมาชิกที่อยู่ในเมียนมาอยู่นิ่งๆอย่าออกไปทำธุรกิจภายนอก และอดทนรอ ดูแลตัวเองให้มากที่สุด เนื่องจากสถานการณ์อันตรายมาก
• OR ชะลอลงทุนคลังน้ำมัน
น.ส.จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า แผนขยายการลงทุนในเมียนมาของ OR ปัจจุบัน มีการจัดตั้ง 2 บริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรกลุ่มบริษัท คันบาวซา จำกัด (Kanbawza KBZ Group of Companies Limited) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของเมียนมา ในการดำเนินการ 2 โครงการ คือ
1. โครงการร่วมทุนธุรกิจคลังและค้าส่งปิโตรเลียม กับ บริษัท ไบรท์เทอร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ในการจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม รวมถึงการจัดตั้งและบริหารคลังน้ำมัน ท่าเรือ และโรงบรรจุก๊าซหุงต้มแอลพีจี ซึ่งเดิมโครงการดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2564 นับเป็นคลังน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเมียนมา มีความจุรวมกว่า 1 ล้านบาร์เรล และมีความจุแอลพีจี รวม 4,500 เมตริกตัน
2. โครงการร่วมทุนธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีก กับ บริษัท ไบรท์เทอร์ เอนเนอร์ยี่ รีเทล จำกัด โดยจะนำแบรนด์ของ โออาร์ ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยมาต่อยอดเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคชาวเมียนมา ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ก๊าซหุงต้มแอลพีจี และร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน ซึ่งเดิมวางเป้าหมายการขยายสถานีฯ ที่ 70 แห่ง ภายในปี 2566 นั้น
“ทั้ง 2 โครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยโครงการแรก คืบหน้าไปแล้ว 65% และโครงการที่สอง อยู่ระหว่างก่อสร้างปั๊ม 2 แห่ง แต่เนื่องจากเหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาทำให้ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจำเป็นต้องชะลอการลงทุนออกไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง”
• ปตท.สผ.เดินหน้าโรงไฟฟ้า
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า โครงการ Gas to Power ในเมียนมา หลังจากเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2563 บริษัทได้ลงนามในหนังสืออนุญาตให้เริ่มดำเนินงาน (Notice to Proceed) ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในเมียนมา (Integrated Domestic Gas to Power) เพื่อนำก๊าซธรรมชาติจากโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวเมาะตะมะ
โดยเริ่มแรกจะนำก๊าซจากโครงการซอติก้า และโครงการเมียนมา เอ็ม3 มาใช้ในการผลิตไฟฟ้าในโครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อดำเนินการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ขนาดกำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ ในเขตไจลัท ภูมิภาคอิรวดี การก่อสร้างระบบท่อขนส่งก๊าซฯ ทั้งในทะเลและบนบก จากเมืองกันบก-เมืองดอร์เนียน-เมืองไจลัท รวมระยะทางประมาณ 370 กิโลเมตร
และการวางระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงจากเขตไจลัทไปยังเขตลานทายาในภูมิภาคย่างกุ้ง มีระยะเวลาสัญญา 20 ปี และสามารถต่ออายุสัญญาได้ 5 ปี นับจากวันเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์