JJNY : ฝ่ายค้านเลี้ยงกระชับสัมพันธ์│ไทยรื้อลงทุนเมียนมา│แก้รธน.ส่อวุ่น รอยร้าวรบ.ปริอีก│ยันคดีวิรัชไม่มีทางขาดอายุความ

พรรคร่วมฝ่ายค้านเลี้ยงกระชับสัมพันธ์ ยันมุ่งมั่นทำงานฝ่ายปชต.เพื่อปชช. ลั่นสงครามยังไม่จบต้องสู้กันต่อ

 
พรรคร่วมฝ่ายค้านเลี้ยงกระชับสัมพันธ์ ‘2 ปี ความร่วมมือพรรคร่วมฝ่ายค้าน’ ยันมุ่งมั่นทำงานฝ่ายปชต.เพื่อปชช. ลั่นสงครามยังไม่จบต้องสู้กันต่อไป
 
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 1 เมษายน ที่โรงแรม SC Park ห้องรัชดา พรรคร่วมฝ่ายค้านจัดงานเลี้ยงเนื่องในโอกาส “2 ปี ความร่วมมือพรรคร่วมฝ่ายค้าน
 
โดย นายสมพงศ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีที่เรามีโอกาสพบปะกัน เนื่องจากระยะเวลาที่ผ่านมา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 62 ที่เราได้พบกันครั้งแรกในฐานะพรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตย เราได้ประกาศเจตนารมย์ร่วมกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจ [เผล่ะจัง]
 
ทั้งนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยของเรากลายเป็นฝ่ายค้านเพาะกลไกที่บกพร่องของรัฐธรรมนูญ ตลอดระยะเวลา 2 ปี เราได้ต่อสู้ขัดขวางการสืบทอดอำนาจ และความไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็งทั้งในและนอกสภา เราได้ต่อสู้ ยืนหยัดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรายืนยันที่จะต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง เรายืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแน่วแน่
 
นายสมพงศ์ กล่าวอีกว่า วันนี้คงหลีกเลี่ยงไม่พ้นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการเดินหน้าพ.ร.บ.ประชามติ ฝ่ายค้านเราจะเดินสายพบพี่น้องประชาชนทั้ง 4 ภาค และหาทางแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาในรัฐธรรมนูญ ได้แก่ ระบบการเลือกตั้ง ที่มาและอำนาจส.ว. ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ
 
ตนขอขอบทุกพรรคทุกคนที่เราอยู่ด้วยกัน และทำงานด้วยกันด้วยดีมาโดยตลอด เชื่อว่าเราจะยึดมั่นในอุดมการณ์ที่มีร่วมกันต่อไปในวันข้างหน้า เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเราจะไม่ยอมจำนนต่อการสืบทอดอำนาจ และความไม่ถูกต้องของรัฐบาลที่ดำเนินการมาโดยตลอด
 
ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคพท. กล่าวว่า การพบปะกันในวันนี้ถือว่าเราได้ทำงานคร่วมกัน 2 ปีที่ผ่านมา ในฐานะแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตย วันนี้เราได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกาาเสนอกฎหมาย หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ เราจะต้องกำหนดแผนในการทำงานร่วมกันในอนาคตต่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำประชามติ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
 
โดยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ฝ่ายค้านเราได้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในคราวประชุมที่ผ่านมาแต่ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้ แต่การประชุมรัฐสภาสามัญที่จะเกิดขึ้น ฝ่ายค้านยังยืนหยัดในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตรงต่อความต้องการของพี่น้องประชาชน และให้พี่น้องประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้
 
แม้ฟากรัฐบาลพยายามเสนอแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา แต่ตนขอเรียนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่ประโยชน์ของคนในสภาเป็นหลัก ส่วนประเด็นพ.ร.บ.ประชามตินั้น เรามีความมั่นใจว่า การแก้ไขมาตรา 9 ที่ผ่านมาเป็นการทำงานร่วมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาฯ และส่งผลให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสเข้ามามีบทบาทมากขึ้น พ.ร.บ.ประชามตินี้เป็นกฎหมายที่รัฐบาลเสนอ หากตกไป รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบในทางใดทางหนึ่ง
 
ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า บรรยากาศของวันนี้ทำให้ตนนึกถึงบรรยากาศปีที่แล้วที่เราได้กินเลี้ยงกัน ขณะนั้นตนขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคครั้งแรก ท่ามกลางปัญหาที่ประชานพยายามฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงิน และรัฐธรรมนูญเป็นปัญหา ในฐานะหัวหน้าพรรคก.ก.ขอขอบคุณเพื่อนๆอีก 5 พรรคที่ทำงานร่วมกันปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เราทำงานอยบ่างเป็นเอกกภาพ

และปีหน้า เป็นปีที่ 3 ของการทำงานร่วมกัน ถือว่าใกล้ถึงการเลือกตั้งแล้ว แต่การเมืองยังไม่มีรูระบาย อุณหภูมิทางการเมืองจะสูงขึ้น และร้อนขึ้นไปอีก แต่ถ้าทุกคนร่วมกันทำงานอิย่างขยันขันแข็ง เชื่อว่าเราจะอยู่ถูกฝั่งในหน้าประวัติศาสตร์ เราจะร่วมกันตรวจสอบรัฐบาล นำเสนอวิสัยทัศน์ที่ใหม่ และชัดหว่า และเชื่อว่าเราจะได้เป็นรัฐบาลในที่สุดเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ‘ชัยชนะ ต้องเป็นของประชาชน
 
ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เราสัญญากันว่า จะกอดคอสู้ด้วยกันจนกว่าได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
 
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) กล่าวว่า แม้ว่าการต่อสู้ 2 ปีที่ผ่านมา เรายังไม่ได้ไปตามเป้าหมายที่เราต้องการ ไม่ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ยังเป็นรัฐธรรมนูญเพื่อพวกเขา และฝ่ายเผด็จการยังคลองเมืองอยู่ เราก็ยังมีกำลังใจเพราะประชาชนยังเคียงข้างเราอยู่ วันนี้ ตนมองว่า สงครามยังไม่เลิก การต่อสู้ยังคงต้องดำเนินต่อไป
 
ทั้งนี้ ก่อนงานเลี้ยง นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคพท. ได้รายงานผลการประชุมในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติในวันแรกว่า ททางกฤษฎีกาพยายามแก้ไขเนื้อหาให้ไม่ไปขัดกับรัฐธรรนูญ เพราะมีกระแสหนาหูเรื่องว่าการแก้ไขมาตรา 9 ของร่างพ.ร.บ.ประชามติจะไปขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งวันนี้ก็ผ่านมาตรา 10 และมาตรา 11 ไปได้ด้วยดี
 
นายชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ตนเชื่อว่าหลักพ.ร.บ.ประชามติฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาแล้ว สามารถนำมาใช้ดำเนินการทำประชามติเพื่อขอเสนอแก้รัฐธรรมนูญได้ทันที แต่อาจจะมีอุปสรรคต่างๆพอสมควรในการใช้ นอกจากนี้ ในส่วนทีให้ประชาชนเข้าชื่อทำประชามติได้นั้น มีการขยายความให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นกรอบ โดยที่ประชุมได้เห็นชอบให้ประชาชนเข้าชื่อจำนวน 10,000 คน
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างชื่นมื่น มีการร้องพูดคุย และร้องเพลงอย่างเป็นกันเอง ทั้งยังได้ร่วมกันน้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ และอวยพรวันคล้ายวันเกิดให้นายประเสริฐด้วย
 


ธุรกิจไทยรื้อแผนลงทุน ‘เมียนมา’ OR ชะลอปั๊ม อเมซอน คลังน้ำมัน
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/930421
 
สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ชี้ สถานการณ์รุนแรงกว่าคาด ธุรกิจชะลอ ชงรัฐจัดซอฟต์โลนอุ้ม เตือนสมาชิกไม่ให้ออกไปไหน "OR" ชะลอแผนคลังน้ำมันใหญ่สุด 1 ล้านบาร์เรล " ปตท.สผ." เดินหน้าลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ วางท่อก๊าซ ผลิตไฟฟ้า วางสายส่ง
 
ภายหลังการรัฐประหารในเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 นำโดย พลเอกอาวุโส มินห์ อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ ทำให้เมียนกลับไปถูกปกครองด้วยทหาร และมีการประท้วงกระจายทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีการปราบปรามการชุมชน ซึ่งเป็นประเด็นที่นักธุรกิจไทยในเมียนมามีความกังวลต่อสถานการณ์มากขึ้น
 
นายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า ขณะนี้สถานการณ์ในเมียนมามีความรุนแรงมากขึ้นกระทบต่อการทำธุรกิจของบริษัทไทยในเมียนมารุนแรงมาก โดยไม่สามารถไปทำธุรกิจภายนอกได้ รวมทั้งพนักงานขายไม่สามารถไปขายสินค้าในแต่ละพื้นที่ได้ รวมทั้งร้านค้าต้องปิดทำให้สินค้าไม่สามารถจำหน่ายได้ ซึ่งแม้ด่านชายแดนเปิดได้และสินค้าไทยผ่านแดนได้ แต่การค้าในเมียนมาหยุดและอาจไม่จำเป็นต้องนำเข้า
 
ขณะนี้สถานการณ์รุนแรงมากกว่าที่เราคิดไว้เพราะส่งผลกระทบไปทุกพื้นที่ ตอนนี้ไม่สามารถประเมินความเสียหายได้เพราะทุกอย่างหยุดชะงักไปหมด”
ทั้งนี้ สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ได้มีการหารือกับสมาชิก โดยต้องการให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือโดยด่วน ซึ่งได้หารือกับนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 26 มี.ค.2564 และได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐช่วยเหลือหลายข้อ แต่สิ่งสำคัญเร่งด่วนที่สุด คือ การช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงินของสมาชิกเพราะขาดรายได้ รวมทั้งส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีที่ต้องปิดกิจการชั่วคราว จึงต้องการให้ช่วยออกเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟท์โลน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์รับไปช่วยประสานงานให้ และนัดหารืออีกครั้งกลางเดือน เม.ย.นี้
 
“วันนี้ทำได้แค่ต้องพยุงและประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ การที่จะถอนธุรกิจออกก็จะทำให้ขาดทุน เพราะเงินลงทุนทำธุรกิจในเมียนมาจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยได้ คือ ซอฟต์โลน เพราะขาดสภาพคล่องโดยสิ้นเชิง
 
นอกจากนี้ ในระหว่างการประสานความช่วยเหลือรัฐบาลนั้น สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ขอให้สมาชิกที่อยู่ในเมียนมาอยู่นิ่งๆอย่าออกไปทำธุรกิจภายนอก และอดทนรอ ดูแลตัวเองให้มากที่สุด เนื่องจากสถานการณ์อันตรายมาก 
 
• OR ชะลอลงทุนคลังน้ำมัน

น.ส.จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า แผนขยายการลงทุนในเมียนมาของ OR ปัจจุบัน มีการจัดตั้ง 2 บริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรกลุ่มบริษัท คันบาวซา จำกัด (Kanbawza KBZ Group of Companies Limited) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของเมียนมา ในการดำเนินการ 2 โครงการ คือ 
 
1. โครงการร่วมทุนธุรกิจคลังและค้าส่งปิโตรเลียม กับ บริษัท ไบรท์เทอร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ในการจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม รวมถึงการจัดตั้งและบริหารคลังน้ำมัน ท่าเรือ และโรงบรรจุก๊าซหุงต้มแอลพีจี ซึ่งเดิมโครงการดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2564 นับเป็นคลังน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเมียนมา มีความจุรวมกว่า 1 ล้านบาร์เรล และมีความจุแอลพีจี รวม 4,500 เมตริกตัน
 
2. โครงการร่วมทุนธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีก กับ บริษัท ไบรท์เทอร์ เอนเนอร์ยี่ รีเทล จำกัด โดยจะนำแบรนด์ของ โออาร์ ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยมาต่อยอดเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคชาวเมียนมา ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ก๊าซหุงต้มแอลพีจี และร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน ซึ่งเดิมวางเป้าหมายการขยายสถานีฯ ที่ 70 แห่ง ภายในปี 2566 นั้น
 
ทั้ง 2 โครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยโครงการแรก คืบหน้าไปแล้ว 65% และโครงการที่สอง อยู่ระหว่างก่อสร้างปั๊ม 2 แห่ง แต่เนื่องจากเหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาทำให้ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจำเป็นต้องชะลอการลงทุนออกไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง
 
• ปตท.สผ.เดินหน้าโรงไฟฟ้า
 
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า โครงการ Gas to Power ในเมียนมา หลังจากเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2563 บริษัทได้ลงนามในหนังสืออนุญาตให้เริ่มดำเนินงาน (Notice to Proceed) ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในเมียนมา (Integrated Domestic Gas to Power) เพื่อนำก๊าซธรรมชาติจากโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวเมาะตะมะ
 
โดยเริ่มแรกจะนำก๊าซจากโครงการซอติก้า และโครงการเมียนมา เอ็ม3 มาใช้ในการผลิตไฟฟ้าในโครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อดำเนินการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ขนาดกำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ ในเขตไจลัท ภูมิภาคอิรวดี การก่อสร้างระบบท่อขนส่งก๊าซฯ ทั้งในทะเลและบนบก จากเมืองกันบก-เมืองดอร์เนียน-เมืองไจลัท รวมระยะทางประมาณ 370 กิโลเมตร
และการวางระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงจากเขตไจลัทไปยังเขตลานทายาในภูมิภาคย่างกุ้ง มีระยะเวลาสัญญา 20 ปี และสามารถต่ออายุสัญญาได้ 5 ปี นับจากวันเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่