โรคซึมเศร้า........แค่เศร้าจริงหรอ

วันนี้ เราจะมาเขียนเรื่องราวการเป็นโรคซึมเศร้า มันแค่เศร้าจริงหรอ  ในมุมมมองของคนทั่วไปอาจจะมองว่าโรคซึมเศร้าอาจจะเป็นแค่เพียงอาการสเศร้า อาการคิดลบ  อาการเบื่อๆ เฟลๆ แค่นั้นจริงหรอ
          หากอาการมันเป็นแค่นั้นจริงก็น่าจะดีสิ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันแย่กว่าแค่คำว่าเศร้า
          ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับตัวเองสักนิด ว่าเป็นใครนะคับ ผมเป็นนักศึกษา อยู่ที่มหาลัยแห่งหนึ่งของภาคใต้ เรียนเกี่ยวกับการแสดง ซึ่งเป็นเอกที่ต้องใช้ทักษะในการเข้าสังคมค่อนข้างสูง นิสัยส่วนตัวก่อนที่จะเข้ามหาลัย เราเป็นคนที่มีอีโก้ค่อนข้างสูง มีความเป็นตัวเอง ชนได้ชน สู้คน เอาแต่ใจ และม่ยอมใคร มีความมั่นใจในทุกๆเรื่อง 
          ตอนเข้ามหาลัยใหม่ๆ ก็มีความคาดหวังกับสังคมความเป็นอยู่ใหม่ว่ามันจะต้องดีแน่ๆ เพราะเราเข้ามาเรียนในสาขาวิชาที่ชอบ สังคนคนรอบข้างน่าจะเข้ากันได้ดี แต่พอมาสักระยะหนึ่งเริ่มที่จะเห็นความจริงที่แตกต่าง ไม่เหมือนกับความคิดที่คิดไว้ตอนแรกสักเท่าไหร่ ดังนั้น แล้วที่ คือเรื่องแรก ที่ค่อนค้างที่จะผิดหวัง  ต่อมาสักระยะหนึ่ง ระหว่างปี 1 - 2 เรามีแฟน ครั้งนี้เป็นการมีแฟนที่มีความคาดหวังสูงมากเพราะ เราบอกให้กับทางครอบครัวทั้งสองฝ่ายได้รู้ เราก็มีความโลกสวยคิดว่าความรักครั้งนี้ต้องออกมาดีมีการวางแผนอนาคตเรียบร้อย  แต่อยู่ดี เรากลับโดนทิ้งแบบไม่ทราบสาเหตุ นี้เป็นเรื่องที่  2 ที่มีความผิดหวังกับชีวิตในมหาลัย หลังจากที่อกหักได้สักระยะหนึ่ง เข้าสู่ปีที่3 ของการเรียนมหาลัย เราก็เริ่มที่จะมาคาดหวังกับการเรียนมากขึ้น เนื่องจากที่เราเรียนต้องมีการเข้าสังคมสูง เราก็คาดหวังกับเพื่อนกับครูสูงมาก อีก แต่บอเราเจอเรื่องหลายเรื่องที่ผิดหวังแล้ว ชีวิตมันเริ่มที่จะวนหลูบ ในวังวนของการคิดลบมากยิ่งขึ้น  
          อาการแรกๆที่เป็นโรคซึมเศร้า ของเรา เริ่มจากอาการ นอนไม่หลับ ช่วงนั้นอยู่ในช่วงของปลายๆปี3  ก็ไปหาหมอประมาณ 2-3 เดือน ด้วยอาการของการนอนไม่หลับ พอเข้าไปเจอหมอหมอก็พูดคุยปกติถามว่าเรียนอะไร มีปัญหาอะไรบ้าง ครั้งแรกหมอให้ยามา1ตัว ที่ช่วยในการนอนหลับ หมอนัดอีกครั้ง 3อาทิตย์ต่อมา ครั้งที่ 2 หมอก็ถามอาการเราก็ตอบไปตามความจริงว่ายังมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ้าง แต่อาการที่มีความเครียดมีความกังวลก็ยังมีอยู่ทีนี้หมอเพิ่ม ยา อีกตัวให้ เป็นยาที่ช่วยในการนอนหลับและเป็นยาคลายเครียดให้ ที่นี้อาการก็เริ่มดีขึ้น ไปหาหมออยู่อีกประมาณ 3 ครั้ง  อาการดีขึ้น เลยไม่ไปหาอีกเพราะคิดว่าเป็นการสิ้นเปลืองเพราะการไปหาหมอแต่ละครั้งค้อนข้างที่จะใช้ เงินมากเพราะเราไปหาหมอ รพ.เอกชน  ไปหาหมอครั้งนึงก็ประมาณ 1000-1500บาท แล้วแต่ปริมาณยาที่หมอจะให้ 
          หลังจากนั้นการใช้ชีวิตของเราก็มาเรื่อยๆ จนเริ่มขึ้นปี 4 เทอม 1 เป็นช่วงที่มีปัญหามากๆ เนื่องจากต้องทำวิทยานิพนธิ์แบบกลุ่ม ซึ่งกลุ่มที่ต้องทำด้วยค่อนค้างที่จะหลายคน(17คน) หากใครเคยทำงานกับคนหมู่มาก แล้วนิสัยแบบเราก็น่าจะรู้ดีว่าการทำงานแบบนี้นั้นยากที่จะทำงานด้วยได้ บอกตามตรงในกลุ่มใหญ่ๆนี้ เราคิดว่าแบ่งออกเป็น 2ฝ่าย ฝ่ายที่อยู่กับเราก็จะไม่ค่อยมีเสียงมากเท่าไหร่ เพื่อนว่ายังไงก็ว่าตามเพื่อน ซึ่งเราไม่ถูกใจกับอาการแบบนี้เป็นที่สุด เนื่อจากงานชิ้นนี้เราใช้ทุนทรัพย์ในการทำงานที่สูง   เราเลยตัดสินใจที่จะแยกกลุ่ม แล้วถามเพื่อนที่คิดว่าสนิทๆในตอนนั้นว่า ถ้าเราแยกกลุ่มและขอเปิดรายวิชาใหม่กับอาจารย์อีกคน จะมีใครแยกมากับเราบ้าง ตอนนี้เพื่อนก็อ้ำๆอึ้งๆไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด  อีกสาเหตุที่เราต้องเปิดรายวิชาใหม่ ก็เพราะเราคิดว่าเราไม่สามารถทำงานร่วมกับอาจารย์ท่านนี้ได้เพราะเนื่องด้วยวิธีการสอนหรือการพูดไม่ค่อยที่จะให้กำลังใจในการเรียนสักเท่าไหร่  พอไม่มีใครตอบว่าจะแยกมาทำงานร่วมกับเราได้ ความรู้สึกเหมือนโดนแทงจากด้านหลังยังไงไม่รู้  หลังจากนั้นเราก็เอาปัญหานี้ไปปรึกษากับอาจารย์ที่เป็นประธานโปรแกรม ท่าก็ให้คำแนะนำว่า ให้เปลี่ยนกลุ่มมาเรียนกับอาจารญ์อีกคนแทน เพราะมีเราเพียงคนเดียวมันก็ไม่น่าจะเปิดวิชาเรียนเพิ่มได้ เราก็โอเค อย่างน้อย ในอีกกลุ่มที่จะเปลี่ยนไปก็น่าจะทำงานได้สดวกใจกว่ากลุ่มเดิม   
          แต่เรื่องมันไม่เป็นเช่นนั้นนะสิ เพราะเพื่อนๆในกลุ่มเดิมไม่ยอมให้เราแยกไปอีกลุ่ม  พวกเขาให้เหตุผลว่าเรียนมาด้วยกันก็ต้องจบไปด้วยกัน ตอนนั้นทุกคนพยายามพูดจาหว่านล้อมให้เรากลับไปเรียนกลุ่มเดิม แต่เราก็ไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่  แต่ในเมื่อเพื่อนๆมาพูดกันขนาดนี้แล้วเรากฌจำใจที่จะต้องกลับไปเรียนกลุ่มเดิม   ในช่วงแรกของการเรียนในรายวิชา ศิลปนิพนธ์ ก็ดูว่าจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรสักเท่าไหร่ แต่ทุนเดิมของเราคือไม่ค่อยที่จะคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาแบบปกติได้สักเท่าไหร่ ไม่รุ้ว่าอาจารย์มีอคติกับเราหรือเปล่านะ แต่เราก็พยายามเต็มที่ที่จะปรึกษาในการสร้างสรรค์งานครั้งนี้ เพราะในเมื่อเลือกที่จะกลับมาเรียนกับท่านแล้วเราก็ต้องพยายามเข้าหาเพื่อที่จะให้ผลงานมันออกมาดี แต่การปรึกษาแต่ละครั้ง เรารู้สึกบั่นทอนความรู้สึกทุกครั้ง จนเรารู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติ 
          อาการนอนไม่หลับกลับมาอีกครั้ง  อาการแปลกๆเริ่มเกิดขึ้น เช่น อาการแพ้อาหารที่ปกติไม่เคยมี บางที่ผื่นขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ  ร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุ มีการย้ำความรู้สึกแย่ๆ คิดวนอยู่ในหัวตลอด ไม่อยากไปเข้าสังคมกลัวการพบเจอเพื่อน แยกตัว ทำตัวเหลวแหลก เอามีดมากรีดแขนเล่นๆโดยที่เราไม่รุ้ว่าทำไปทำไม เหม่อลอยเวลาขับรถ และอีกหลายๆอาการที่เกิดขึ้น เราเริ่มที่จะนึกถึงความตาย เริ่มหาวิธีที่จะจบชีวิต เริ่มคิดเรือ่งตายๆถี่ๆขึ้น จนเรารู้ตัวเองว่าถ้าเป็นแบบนี้ต้องแย่แน่ๆ จนต้องตัดสินใจไปหาหมออีกครั้ง
          ครั้งหน้าจะมาเล่าถึงการเข้ารักษาอย่างจริงจัง ใครมีข้อสงสัย หรือคำถามอยากจะถาม ถามได้เลยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่