จดทะเบียน บริษัท กับ หจก. แบบไหนดีกว่ากัน | วิธีหาเงินและทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
คนทำธุรกิจต่างก็ต้องการจดทะเบียนพาณิชย์เป็นนิติบุคคล เพื่อใช้เป็นตัวแทนในการดำเนินธุรกิจ แล้วการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท หรือ หจก.
มีกี่แบบ กี่ประเภท และแต่ละประเภทมี ข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? แล้วอย่างไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด…
เชื่อว่าหลาย ๆ คน ที่ได้เริ่มต้นดำเนินกิจการหรือธุรกิจอะไรสักอย่าง เมื่อถึงจุดที่ธุรกิจของคุณคงที่เป็นรูปเป็นร่างและสามารถประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง ผู้ประกอบการก็ย่อมจะมุ่งหวังขยายฐานธุรกิจ พร้อมกับความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นการจดทะเบียนบริษัทแบบ บริษัทจำกัด (บจก.) หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) แบบไหนจะดีต่อธุรกิจของคุณได้มากที่สุด?! แต่ก่อนที่คุณจะพิจารณาว่าคุณควรจะจดทะเบียนบริษัทให้กับธุรกิจของคุณในรูปแบบใด เราคงต้องทราบถึงข้อมูลของการจดทะเบียนบริษัททั้งสองรูปแบบ เพื่อนำไปพิจารณาเปรียบเทียบการตัดสินใจได้ดังนี้
บริษัทจำกัด (บจก.) : การจดทะเบียนบริษัทในรูปแบบนี้ จำเป็นต้องมีผู้ก็ตั้งหรือผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โดยบริษัทจำกัดจะแบ่งทุนออกเป็นหุ้นมีมูลค่าหุ้นเท่า ๆ กัน หรือ หุ้นส่วนทุกคนจะมีการรับผิดชอบแบบจำกัดเฉพาะจำนวนเงินที่ได้ลงทุนไปเท่านั้น สมมุติว่า หากบริษัทคุณเป็นหนี้จากการกู้ยืมธนาคาร จำนวน 5,000,000 บาท แต่หุ้นส่วนทั้ง 3 คนได้เริ่มลงทุนในครั้งแรกคนละ 100,000 บาท รวมเป็น 300,000 บาท แสดงว่าเมื่อบริษัทเป็นหนี้ 5,000,000 บาท หุ้นส่วนก็จะจ่ายแค่ส่วนที่ได้ลงทุนไปในครั้งแรกเท่านั้น นั่นก็คือ 100,000 บาท ซึ่งในส่วนของการเป็นหนี้นั้น บางที่ผู้กู้อาจจะนำมาหมุนเวียนใช้จ่ายในบริษัท เพราะเห็นว่าในช่วงนั้นธุรกิจกำลังไปได้ดีจึงกู้เงินมาเพื่อขยับขยายธุรกิจ แต่กลับกลายว่าระหว่างที่กู้เงินมานั้นเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก จนทำให้ธุรกิจชะลอตัวลงหรือปิดกิจการไปในที่สุด ฉะนั้น เมื่อบริษัทปิดตัวลง หุ้นส่วนทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องชำระหนี้ให้กับธนาคารเป็นเงินที่ได้ลงทุนไปในเริ่มแรกเพียงเท่านั้น
ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) : อาจจะต้องมีอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป โดยจะมีหุ้นส่วน 2 จำพวก นั่นก็คือ 1. จำกัดความรับผิดชอบ หมายความว่าเมื่อหุ้นส่วนลงทุนในเริ่มแรกไปเท่าไหร่ เมื่อธุรกิจมีปัญหาก็ต้องรับผิดชอบไปเท่านั้น แต่ไม่มีสิทธิ์เป็น “หุ้นส่วนผู้จัดการ” 2.ไม่จำกัดความรับผิดชอบ ขึ้นชื่อว่าไม่จำกัดแสดงว่า ต้องรับผิดชอบแบบไม่จำกัด เช่น เมื่อธุรกิจมีปัญหาหรือมีหนี้สินคน ๆ นั้น จะต้องช่วยกันรับผิดชอบมากกว่าเงินที่คุณได้ลงทุนไปในครั้งแรก ฉะนั้น เมื่อบุคคลใดที่ทำห้างหุ้นส่วนจำกัดในรูปแบบนี้แล้วไม่มีเงินใช้หนี้ที่เหลือ โอกาสที่คุณจะถูกยึดทรัพย์ก็อาจจะเป็นไปได้นั่นเอง
ทว่าความแตกต่างระหว่าง บริษัทจำกัด (บจก.) หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) เริ่มแรกในบริษัทจำกัด (บจก.) จำเป็นที่จะต้องมีผู้ก่อตั้งหรือถือหุ้น 3 คนขึ้นไป บริหารงานจะต้องเป็นคณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้ง ส่วนห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) จะมีผู้ร่วมก่อตั้งเพียง 2 ขึ้นไป (จำกัดและไม่จำกัด อย่างน้อยจำพวก ละ 1 คน) และมีการบริหารงานโดยการตัดสินใจต้องมีการเห็นชอบจากหุ้นส่วน

ดังนั้น ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้กล่าวมาเป็นข้อมูลในการพิจารณาของผู้ประกอบการหลาย ๆ ท่าน แต่สำหรับตัวผมแล้วผมอยากจะแนะนำให้ผู้ประกอบการ ให้ความสนใจการจดทะเบียนธุรกิจของคุณในรูปแบบบริษัทจำกัด (บจก.) มากกว่า เพียงแค่คุณหาคนที่ไว้ใจเพิ่มมาอีกแค่ 1 คน คุณก็จะสามารถจดทะเบียนในรูปแบบบริษัทจำกัด (บจก.) ได้แล้ว เพราะในกติกาไม่ได้ระบุไว้ว่าหุ้นส่วนแต่ละคนต้องหุ้นคนละเท่าไหร่ ฉะนั้น ผู้ถือหุ้นที่มีเงินลงทุนไม่มากก็สามารถถือหุ้นได้อย่างสบายใจ ถึงแม้ว่าการจดทะเบียนธุรกิจในรูปแบบนี้อาจจะมีข้อเสียในการดำเนินงานเอกสารที่ค่อนข้างดูจะยุ่งยาก แต่ผลลัพธ์และผลเสียที่ได้มันคุ้มกว่าการจดทะเบียนแบบห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) แน่นอน ซึ่งอาจตรงกันข้ามกับการจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) ที่มีทั้งความยุ่งยากไม่ต่างกัน แต่โอกาสที่จะเสี่ยงเข้าเนื้อตัวเองก็มีมากกว่าการจดทะเบียนในรูปแบบบริษัทจำกัด (บจก.) นั่นเอง
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เมื่อคุณมีโอกาสได้อ่านบทความมาถึงตอนนี้แล้ว สำหรับใครที่ลังเลอยู่ว่าควรจะจดทะเบียนบริษัทแบบไหนกันดี ตอนนี้คุณพอจะมีไอเดียหรือคิดว่าอย่างไร สามารถคอมเมนต์มาได้ตามด้านล่างนี้เลยนะครับ
==================================================================
สำหรับใครที่อยากได้รับอรรถรสเพิ่มมากขึ้น สามารถคลิกวีดีโอได้ตามด้านล่างนี้นะครับ
จดทะเบียน บริษัท กับ หจก. แบบไหนดีกว่ากัน | วิธีหาเงินและทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
บริษัทจำกัด (บจก.) : การจดทะเบียนบริษัทในรูปแบบนี้ จำเป็นต้องมีผู้ก็ตั้งหรือผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โดยบริษัทจำกัดจะแบ่งทุนออกเป็นหุ้นมีมูลค่าหุ้นเท่า ๆ กัน หรือ หุ้นส่วนทุกคนจะมีการรับผิดชอบแบบจำกัดเฉพาะจำนวนเงินที่ได้ลงทุนไปเท่านั้น สมมุติว่า หากบริษัทคุณเป็นหนี้จากการกู้ยืมธนาคาร จำนวน 5,000,000 บาท แต่หุ้นส่วนทั้ง 3 คนได้เริ่มลงทุนในครั้งแรกคนละ 100,000 บาท รวมเป็น 300,000 บาท แสดงว่าเมื่อบริษัทเป็นหนี้ 5,000,000 บาท หุ้นส่วนก็จะจ่ายแค่ส่วนที่ได้ลงทุนไปในครั้งแรกเท่านั้น นั่นก็คือ 100,000 บาท ซึ่งในส่วนของการเป็นหนี้นั้น บางที่ผู้กู้อาจจะนำมาหมุนเวียนใช้จ่ายในบริษัท เพราะเห็นว่าในช่วงนั้นธุรกิจกำลังไปได้ดีจึงกู้เงินมาเพื่อขยับขยายธุรกิจ แต่กลับกลายว่าระหว่างที่กู้เงินมานั้นเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก จนทำให้ธุรกิจชะลอตัวลงหรือปิดกิจการไปในที่สุด ฉะนั้น เมื่อบริษัทปิดตัวลง หุ้นส่วนทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องชำระหนี้ให้กับธนาคารเป็นเงินที่ได้ลงทุนไปในเริ่มแรกเพียงเท่านั้น