พูดถึงชื่อจังหวัด ‘มิเอะ’ ลอยๆ หลายคนอาจจะเฉยๆ ไม่รู้สึกอยากไป เที่ยว สักเท่าไร แต่ถ้าเราบอกเพิ่มอีกนิดว่าที่นี่คือ…
▸ มีชื่อเสียงเรื่อง ‘เนื้อมัตสึซากะ (Matsusaka Beef)’ เนื้อวัวชั้นเลิศอร่อยล้ำที่สายเนื้อหลงใหล
▹ เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเก่าแก่อายุร่วม 2,000 ปีอย่าง ‘ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Shrine)’ และสวนดอกไม้ที่คนไทยชอบไปถ่ายรูปกับอุโมงค์ไฟ Illumination สุดอลังการอย่าง ‘นาบานะโนะซาตะ (Nabana no Sato)’
▸ เป็นแหล่งกำเนิดแบรนด์ ‘มิกิโมโตะ (Mikimoto)’ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เพาะพันธุ์ไข่มุกสำเร็จเป็นที่แรกของโลก
▹ เป็นที่ตั้งของอควาเรียมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่มีน้องพะยูนให้ชม
เพียงแค่นี้น่าจะทำให้หลายคนร้องว้าว ไม่ก็ร้องอ๋อ เพราะเคยมาเที่ยวที่นี่แล้วโดยไม่รู้ว่าเป็นจังหวัด มิเอะด้วยซ้ำ ไม่ว่าคุณจะรู้จักหรือเคยมาที่นี่หรือไม่ เราเชื่อว่าแพลน เที่ยว มิเอะ 101 ฉบับ 3 วัน 2 คืนที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้จะพาไปคุณไปทำความรู้จักกับของดีที่ เที่ยว ดังในจังหวัด มิเอะ อย่างเต็มอิ่ม จนมีทริปครั้งแรกและครั้งต่อๆ ไปแน่นอน
นั่งรถไฟจากสนามบินนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ (Chubu Centrair International Airport) มาลงที่ใจกลางเมืองนาโกย่าเพียงแค่ 30 นาที (หรือนั่งรถไฟชินคันเซ็นจากโตเกียวมานาโกย่าแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง) ก่อนเริ่มต้นทริปเรียนรู้จังหวัด มิเอะ ฉบับรวบตึงของเด็ดอย่างเป็นทางการ เรามุ่งไปจุดขายตั๋วรถไฟคินเท็ตสึ (Kintetsu) เพื่อซื้อ Kintetsu Rail Pass Plus ไว้ขึ้นรถไฟและรถบัส (ของบริษัทคินเท็ตสึ) ได้ไม่จำกัด เที่ยว ทั่วเมืองนาโกย่าในจังหวัดไอจิ นารา เกียวโต โอซาก้า และแน่นอน มิเอะ ตลอด 5 วันติดกัน ใบเดียวกำให้แน่น รับรอง เที่ยว ได้ทั่วเมืองฮิต จำหน่ายในราคาผู้ใหญ่ 5,100 เยน เด็ก 2,550 เยน แต่ถ้าซื้อในไทยราคาผู้ใหญ่จะคิดเพียง 4,900 เยน ขึ้นรถไฟผิดๆ ถูกๆ ได้อย่างสบายใจงบไม่บาน แต่ถ้าขึ้นขบวนด่วนพิเศษจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมด้วยนะ
Day 1 รื่นเริงบันเทิงใจกับธรรมชาติ ดอกไม้บานและของหวานแสนอร่อย
AQUAIGNIS → Kyuka Park → Nabana no Sato
01 AQUAIGNIS

เริ่มเปิดทริปที่ AQUAIGNIS สถานที่ที่เราให้คำจำกัดความลำบากเหลือเกิน เพราะตอนนั่งรถไฟมายังสถานี Yunoyama onsen เราเห็นแต่ทุ่งหญ้าและต้นไม้เขียวชอุ่ม ใครจะไปคิดว่านั่งรถบัสมาแค่ 3 นาที (หรือจะเดินก็ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) จะมีอาคารคอนกรีตเท่ๆ แกลเลอรี่อาร์ตๆ คาเฟ่ชิคๆ ร้านขายของฝากเก๋ๆ สวนเก็บสตรอว์เบอร์รี ออนเซ็น และโรงแรมอยู่ในบริเวณเดียวกันท่ามกลางธรรมชาติ ขอเรียกสั้นๆ ว่ารีสอร์ทครบวงจรก็แล้วกัน

ไฮไลท์ของที่นี่เรายกให้การเก็บสตรอว์เบอร์รีที่ Tsujiguchi Farm สตรอว์เบอร์รีที่นี่ปลูกแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้ปุ๋ยอินทรีย์และไม่ใช้สารเคมีใดใด จ่ายเงิน 2,100 เยน (ราคาแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา) แล้วเดินเข้าไปไล่เด็ดกินได้อย่างปลอดภัยและเพลิดเพลินตลอด 40 นาทีในสวนอันแสนกว้างที่มีสตรอว์เบอร์รีประมาณ 40 แถว นอกจากเรื่องความใส่ใจในการปลูก ที่นี่ยังมีสตรอว์เบอร์รีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกชิม Akihime เหมาะสำหรับคนชอบหวาน เด็กๆ ชอบมากเพราะไม่ค่อยเปรี้ยว Benihoppe นิยมนำไปทำขนมเพราะรสอมเปรี้ยวนิดๆ กำลังดี และมีหลายชนิดเราไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น Hoshinokirameki, OI-C Berry, Tochiotome และที่อยากให้ลองชิมมากคือ Toukun ซึ่งเป็นสตรอว์เบอร์รีที่รสเหมือนลูกพีช! หมดฤดูของสตรอว์เบอร์รีแล้วที่นี่จะปลูกเมลอนแทน มีทั้งแบบขายเป็นลูกและนำไปทำขนมและน้ำผลไม้
ไฮไลท์ที่สองตกเป็นของคาเฟ่ขนมหวานในอาคารชื่อ Confiture H เมื่อเดินเข้ามาด้านในจะพบกับตู้ขนมหวานหน้าตาดูดีมีความน่าอร่อยเรียงรายอยู่เต็มไปหมดทั้งเค้ก มาการอง ทาร์ต มองบลัง ฯลฯ รวมไปถึงแยมนานาชนิดที่ใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล และถ้าเห็นขนมที่มีสตรอว์เบอร์รีเป็นส่วนผสม มั่นใจได้เลยว่าเป็นผลิตผลจากสวนที่เราเพิ่งแวะไปสักครู่ นอกจากนี้ร้านขนมปังที่นี่ก็ปังสมชื่อ มีถ้วยรางวัลจากหลายการแข่งขันในระดับนานาชาติรับประกันความอร่อย

ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ต้องเป็นแขกที่มาพักที่นี่ก็สามารถแวะมาเก็บสตรอว์เบอร์รี ทานเค้ก นั่งชิลล์ แช่น้ำร้อนได้ตามสะดวก
Confiture H
Hours: 10:30-18:00 น.
Holiday: –
Tsujiguchi Farm
Hours: ธันวาคมถึงพฤษภาคม 10:00-17:00 น.
Holiday: มิถุนายนถึงพฤศจิกายน
Aquaignis Gallery On
Hours:จ.-ศ. 11:00-15:00 น., ส.-อา. และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 11:00-16:00 น.
Holiday: –
Website: www.aquaignis.jp/en
Nearest Station: สถานียูโนยามะออนเซ็น (Yunoyamaonsen Station)
Access: จากสถานียูโนยามะออนเซ็น เดินประมาณ 10 นาที
02 Kyuka Park
คำจำกัดความของสวนสาธารณะแห่งนี้นั้นง่ายมาก ที่นี่เป็นจุดชมซากุระยอดฮิตของชาวเมืองนั่นเอง
แม้ตอนที่เราไปซากุระจะยังไม่ค่อยบานเท่าไหร่ แต่บอกได้เลยว่าเห็นความปังตั้งแต่ดอกไม้เพิ่งเริ่มแจกความสดใส สวนนี้แสนกว้างใหญ่ ภายในพื้นที่ประมาณ 7 เฮกตาร์ (ราว 72,000 ตารางเมตร) มีต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์ สีขาวสีชมพูอ่อนชมพูเข้มมีครบหมด และยังมีองค์ประกอบที่ช่วยส่งเสริมความงามของซากุระและเพิ่มความรื่นรมย์ในการชมอย่างครบถ้วน เช่น ทะเลสาบ สะพานโค้งสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของสวนญี่ปุ่น เรือนชมวิวกลางน้ำ และที่นั่งริมตลิ่งในทอดหุ่ยมองสายน้ำไหลอย่างเงียบสงบ
ถ้ามาช้าไม่ทันดูซากุระ ที่นี่มีดอก Tsutsuji ให้ชมในเดือนพฤษภาคม และดอก Iris ในช่วงมิถุนายนด้วย
Info
Kyuka Park
Hours: เปิด 24 ชั่วโมง
Holiday: –
Entrance Fee: เข้าฟรี
Nearest Station: สถานีคุวานะ (Kuwana Station)
Access: จากสถานีคุวานะ เดินประมาณ 20 นาที
03 Nabana no Sato
หลายคนอาจจะรู้จักที่นี่เพราะ The Tunnel of Light อุโมงค์ไฟสุดระยิบระยับที่พูดได้เต็มปากว่าเป็นนางเอกประจำสวนที่ช่วยเรียกนักท่องเที่ยวจำนวนมากมากันทุกปี แต่เราอยากชวนให้มาที่สวนตั้งแต่ยังไม่มืดเพราะที่นี่ใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆ และมีอะไรให้เที่ยวชมแวะชิมเยอะเชียว ถ้าลังเลไม่รู้จะเริ่มมุมไหนยังไง เราขอคัด 3 ไฮไลท์เด็ดมานำเสนอ
1) The Tunnel of Light และการประดับไฟ Illumination ประจำปี
The Tunnel of Light คืออุโมงค์ไฟดวงน้อยเรียงรายสวยสุดโรแมนติกความยาว 200 เมตรที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากใฝ่ฝันถึง แม้ตัวสถานที่จะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าอุโมงค์ทางตรงที่เราต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ แต่ความสวยแบบฟรุ้งฟริ้งชวนฝันอันเรียบง่ายนี้เองที่โดนใจผู้คนแบบไม่ต้องพยายาม เมื่อเดินพ้นโซนนี้ไปแล้ว อยากชวนไปดูไฟต่อที่ด้านใน ซึ่งการจัดแสดงไฟบริเวณนี้จะเปลี่ยนธีมทุกปี จะเดินเข้าไปชมใกล้ๆ ก็ได้ หรือจะไปยืนดูจากจุดชมวิวชั้นสองก็สวยไปอีกแบบ
2) ทุ่งดอกไม้-ทิวลิป
สวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ของที่นี่คือหนึ่งในไฮไลท์ที่เราเชื่อว่าถูกใจชาวไทยสายชิลล์แน่นอน ช่วงที่เราไปเป็นตอนที่ดอกทิวลิปกำลังบานพอดี แค่ได้เห็นดอกไม้สีสันสดใสเรียงตัวสลับสีกันอย่างสวยงามสุดลูกหูลูกตาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาแล้ว ที่นี่มีดอกทิวลิปถึง 1,800,000 ดอกเชียวนะ ถ้ามาช่วงฤดูอื่นก็มีดอกไม้หลายชนิดให้ชม เช่น ดอกอาซาเลีย ดอกคอสมอส ดอกไอริส เป็นต้น ชมวิวแนวระนาบแล้วอยากชวนให้ขึ้นไปจุดชมวิว(จุดชมวิวเดียวกับที่ดูไฟนั่นแหละ) มองดอกไม้แสนสดใสจากมุมบนด้วย นอกจากจะสวยไปอีกแบบยังมีซอฟต์ครีมแสนอร่อย หวานนวลไปหมดทั้งบรรยากาศและขนมในมือ
3) สวน Begonia Garden

สำหรับคนรักดอกไม้ ต้องมาต่อที่สวน Begonia Garden ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ในอาคาร สวยหวานอลังการไปอีกแบบ แม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม 1,000 เยน แต่เราว่าคุ้มค่ามาก เพราะชมดอกไม้บานได้ตลอดปีไม่เกี่ยงฤดู มีดอกไม้หลายธีมให้ชมกันถึง 4 โซน ซึ่งทางสวนรวบรวมดอกไม้หลายร้อยชนิดจากทั่วโลกกว่า 12,000 ต้นมาอวดความสดใสในพื้นที่ 9,000 ตารางเมตร แค่เข้าไปเจอดอกเบโกเนียกว่า 5,000 ต้นในห้องแรกก็ฟินแล้ว แต่ที่ประทับใจมากที่สุดคือโซนสุดท้ายซึ่งมีดอกไม้และต้นไม้ห้อยลงมาจากเพดานสะท้อนเงาในสระน้ำสวยหวานละมุนราวกับอยู่ในโลกแห่งเทพนิยาย ต่อให้วันนั้นหน้าสด แค่มายืนตรงนี้ได้รูปสวยๆ แน่นอน ในอาคารนี้มีคาเฟ่ด้วยนะ ถ้ามีเวลาต้องแวะจิบ afternoon tea ท่ามกลางดอกไม้สวยๆ ก่อนไปเที่ยวต่อ
นอกจากนี้ยังมี Island Fuji ภูเขาไฟฟูจิจำลองที่บินได้! พาเราลอยขึ้นไป 45 เมตรเพื่อชมวิวสวนแบบพาโนรามาอย่างเพลิดเพลินตลอด 7 นาที
(ค่าขึ้น 500 เยน), Ashiyu หรือออนเซ็นสำหรับแช่เท้า เหมาะมากสำหรับชาวขี้เมื่อยที่เหนื่อยล้าจากการเดินเที่ยวมาทั้งวัน ร้านอาหาร ร้านขนมปัง คาเฟ่ และร้านขายของฝากมากมาย (ในร้านอาหารชื่อ Nagashima Beer Garden มีเครื่องดื่มท้องถิ่นที่เขาบ่มเองด้วยล่ะ!)
Nabana no Sato
Hours: 10:00-21:00 น. (เวลาทำการเปลี่ยนตามความเหมาะสม กรุณาเช็คในเว็บไซต์ก่อนไป)
Holiday: –
Entrance Fee: ค่าเข้าแตกต่างไปแล้วแต่ฤดูกาล พ.ค.-ต้นเดือนก.ค. 1,000 เยน, 27 ก.ค.-กลางเดือนก.ย. 1,600 เยน, กลางเดือนก.ย.-กลางเดือนต.ค. 2,300 เยน นอกเหนือจากนี้ยังไม่กำหนด
Nearest Station: สถานีนากาชิมะ (Nagashima Station)
Access: จากสถานีนากาชิมะ ให้ต่อรถบัสมาลงที่ป้าย นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana No Sato) ประมาณ 10 นาที
Website: www.nagashima-onsen.co.jp/nabana/fee/index.html
--- อ่านต่อที่คอมเมนท์จ้า---
ทริปเดบิวต์การท่องเที่ยวในจังหวัด ‘มิเอะ’ แบบรวบตึงของดีที่เที่ยวยอดฮิตใน 3 วัน 2 คืน
พูดถึงชื่อจังหวัด ‘มิเอะ’ ลอยๆ หลายคนอาจจะเฉยๆ ไม่รู้สึกอยากไป เที่ยว สักเท่าไร แต่ถ้าเราบอกเพิ่มอีกนิดว่าที่นี่คือ…
▸ มีชื่อเสียงเรื่อง ‘เนื้อมัตสึซากะ (Matsusaka Beef)’ เนื้อวัวชั้นเลิศอร่อยล้ำที่สายเนื้อหลงใหล
▹ เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเก่าแก่อายุร่วม 2,000 ปีอย่าง ‘ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Shrine)’ และสวนดอกไม้ที่คนไทยชอบไปถ่ายรูปกับอุโมงค์ไฟ Illumination สุดอลังการอย่าง ‘นาบานะโนะซาตะ (Nabana no Sato)’
▸ เป็นแหล่งกำเนิดแบรนด์ ‘มิกิโมโตะ (Mikimoto)’ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เพาะพันธุ์ไข่มุกสำเร็จเป็นที่แรกของโลก
▹ เป็นที่ตั้งของอควาเรียมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่มีน้องพะยูนให้ชม
เพียงแค่นี้น่าจะทำให้หลายคนร้องว้าว ไม่ก็ร้องอ๋อ เพราะเคยมาเที่ยวที่นี่แล้วโดยไม่รู้ว่าเป็นจังหวัด มิเอะด้วยซ้ำ ไม่ว่าคุณจะรู้จักหรือเคยมาที่นี่หรือไม่ เราเชื่อว่าแพลน เที่ยว มิเอะ 101 ฉบับ 3 วัน 2 คืนที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้จะพาไปคุณไปทำความรู้จักกับของดีที่ เที่ยว ดังในจังหวัด มิเอะ อย่างเต็มอิ่ม จนมีทริปครั้งแรกและครั้งต่อๆ ไปแน่นอน
นั่งรถไฟจากสนามบินนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ (Chubu Centrair International Airport) มาลงที่ใจกลางเมืองนาโกย่าเพียงแค่ 30 นาที (หรือนั่งรถไฟชินคันเซ็นจากโตเกียวมานาโกย่าแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง) ก่อนเริ่มต้นทริปเรียนรู้จังหวัด มิเอะ ฉบับรวบตึงของเด็ดอย่างเป็นทางการ เรามุ่งไปจุดขายตั๋วรถไฟคินเท็ตสึ (Kintetsu) เพื่อซื้อ Kintetsu Rail Pass Plus ไว้ขึ้นรถไฟและรถบัส (ของบริษัทคินเท็ตสึ) ได้ไม่จำกัด เที่ยว ทั่วเมืองนาโกย่าในจังหวัดไอจิ นารา เกียวโต โอซาก้า และแน่นอน มิเอะ ตลอด 5 วันติดกัน ใบเดียวกำให้แน่น รับรอง เที่ยว ได้ทั่วเมืองฮิต จำหน่ายในราคาผู้ใหญ่ 5,100 เยน เด็ก 2,550 เยน แต่ถ้าซื้อในไทยราคาผู้ใหญ่จะคิดเพียง 4,900 เยน ขึ้นรถไฟผิดๆ ถูกๆ ได้อย่างสบายใจงบไม่บาน แต่ถ้าขึ้นขบวนด่วนพิเศษจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมด้วยนะ
Day 1 รื่นเริงบันเทิงใจกับธรรมชาติ ดอกไม้บานและของหวานแสนอร่อย
AQUAIGNIS → Kyuka Park → Nabana no Sato
01 AQUAIGNIS
เริ่มเปิดทริปที่ AQUAIGNIS สถานที่ที่เราให้คำจำกัดความลำบากเหลือเกิน เพราะตอนนั่งรถไฟมายังสถานี Yunoyama onsen เราเห็นแต่ทุ่งหญ้าและต้นไม้เขียวชอุ่ม ใครจะไปคิดว่านั่งรถบัสมาแค่ 3 นาที (หรือจะเดินก็ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) จะมีอาคารคอนกรีตเท่ๆ แกลเลอรี่อาร์ตๆ คาเฟ่ชิคๆ ร้านขายของฝากเก๋ๆ สวนเก็บสตรอว์เบอร์รี ออนเซ็น และโรงแรมอยู่ในบริเวณเดียวกันท่ามกลางธรรมชาติ ขอเรียกสั้นๆ ว่ารีสอร์ทครบวงจรก็แล้วกัน
ไฮไลท์ของที่นี่เรายกให้การเก็บสตรอว์เบอร์รีที่ Tsujiguchi Farm สตรอว์เบอร์รีที่นี่ปลูกแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้ปุ๋ยอินทรีย์และไม่ใช้สารเคมีใดใด จ่ายเงิน 2,100 เยน (ราคาแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา) แล้วเดินเข้าไปไล่เด็ดกินได้อย่างปลอดภัยและเพลิดเพลินตลอด 40 นาทีในสวนอันแสนกว้างที่มีสตรอว์เบอร์รีประมาณ 40 แถว นอกจากเรื่องความใส่ใจในการปลูก ที่นี่ยังมีสตรอว์เบอร์รีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกชิม Akihime เหมาะสำหรับคนชอบหวาน เด็กๆ ชอบมากเพราะไม่ค่อยเปรี้ยว Benihoppe นิยมนำไปทำขนมเพราะรสอมเปรี้ยวนิดๆ กำลังดี และมีหลายชนิดเราไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น Hoshinokirameki, OI-C Berry, Tochiotome และที่อยากให้ลองชิมมากคือ Toukun ซึ่งเป็นสตรอว์เบอร์รีที่รสเหมือนลูกพีช! หมดฤดูของสตรอว์เบอร์รีแล้วที่นี่จะปลูกเมลอนแทน มีทั้งแบบขายเป็นลูกและนำไปทำขนมและน้ำผลไม้
ไฮไลท์ที่สองตกเป็นของคาเฟ่ขนมหวานในอาคารชื่อ Confiture H เมื่อเดินเข้ามาด้านในจะพบกับตู้ขนมหวานหน้าตาดูดีมีความน่าอร่อยเรียงรายอยู่เต็มไปหมดทั้งเค้ก มาการอง ทาร์ต มองบลัง ฯลฯ รวมไปถึงแยมนานาชนิดที่ใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล และถ้าเห็นขนมที่มีสตรอว์เบอร์รีเป็นส่วนผสม มั่นใจได้เลยว่าเป็นผลิตผลจากสวนที่เราเพิ่งแวะไปสักครู่ นอกจากนี้ร้านขนมปังที่นี่ก็ปังสมชื่อ มีถ้วยรางวัลจากหลายการแข่งขันในระดับนานาชาติรับประกันความอร่อย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ต้องเป็นแขกที่มาพักที่นี่ก็สามารถแวะมาเก็บสตรอว์เบอร์รี ทานเค้ก นั่งชิลล์ แช่น้ำร้อนได้ตามสะดวก
Confiture H
Hours: 10:30-18:00 น.
Holiday: –
Tsujiguchi Farm
Hours: ธันวาคมถึงพฤษภาคม 10:00-17:00 น.
Holiday: มิถุนายนถึงพฤศจิกายน
Aquaignis Gallery On
Hours:จ.-ศ. 11:00-15:00 น., ส.-อา. และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 11:00-16:00 น.
Holiday: –
Website: www.aquaignis.jp/en
Nearest Station: สถานียูโนยามะออนเซ็น (Yunoyamaonsen Station)
Access: จากสถานียูโนยามะออนเซ็น เดินประมาณ 10 นาที
02 Kyuka Park
คำจำกัดความของสวนสาธารณะแห่งนี้นั้นง่ายมาก ที่นี่เป็นจุดชมซากุระยอดฮิตของชาวเมืองนั่นเอง
แม้ตอนที่เราไปซากุระจะยังไม่ค่อยบานเท่าไหร่ แต่บอกได้เลยว่าเห็นความปังตั้งแต่ดอกไม้เพิ่งเริ่มแจกความสดใส สวนนี้แสนกว้างใหญ่ ภายในพื้นที่ประมาณ 7 เฮกตาร์ (ราว 72,000 ตารางเมตร) มีต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์ สีขาวสีชมพูอ่อนชมพูเข้มมีครบหมด และยังมีองค์ประกอบที่ช่วยส่งเสริมความงามของซากุระและเพิ่มความรื่นรมย์ในการชมอย่างครบถ้วน เช่น ทะเลสาบ สะพานโค้งสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของสวนญี่ปุ่น เรือนชมวิวกลางน้ำ และที่นั่งริมตลิ่งในทอดหุ่ยมองสายน้ำไหลอย่างเงียบสงบ
ถ้ามาช้าไม่ทันดูซากุระ ที่นี่มีดอก Tsutsuji ให้ชมในเดือนพฤษภาคม และดอก Iris ในช่วงมิถุนายนด้วย
Info
Kyuka Park
Hours: เปิด 24 ชั่วโมง
Holiday: –
Entrance Fee: เข้าฟรี
Nearest Station: สถานีคุวานะ (Kuwana Station)
Access: จากสถานีคุวานะ เดินประมาณ 20 นาที
03 Nabana no Sato
หลายคนอาจจะรู้จักที่นี่เพราะ The Tunnel of Light อุโมงค์ไฟสุดระยิบระยับที่พูดได้เต็มปากว่าเป็นนางเอกประจำสวนที่ช่วยเรียกนักท่องเที่ยวจำนวนมากมากันทุกปี แต่เราอยากชวนให้มาที่สวนตั้งแต่ยังไม่มืดเพราะที่นี่ใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆ และมีอะไรให้เที่ยวชมแวะชิมเยอะเชียว ถ้าลังเลไม่รู้จะเริ่มมุมไหนยังไง เราขอคัด 3 ไฮไลท์เด็ดมานำเสนอ
1) The Tunnel of Light และการประดับไฟ Illumination ประจำปี
The Tunnel of Light คืออุโมงค์ไฟดวงน้อยเรียงรายสวยสุดโรแมนติกความยาว 200 เมตรที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากใฝ่ฝันถึง แม้ตัวสถานที่จะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าอุโมงค์ทางตรงที่เราต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ แต่ความสวยแบบฟรุ้งฟริ้งชวนฝันอันเรียบง่ายนี้เองที่โดนใจผู้คนแบบไม่ต้องพยายาม เมื่อเดินพ้นโซนนี้ไปแล้ว อยากชวนไปดูไฟต่อที่ด้านใน ซึ่งการจัดแสดงไฟบริเวณนี้จะเปลี่ยนธีมทุกปี จะเดินเข้าไปชมใกล้ๆ ก็ได้ หรือจะไปยืนดูจากจุดชมวิวชั้นสองก็สวยไปอีกแบบ
2) ทุ่งดอกไม้-ทิวลิป
สวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ของที่นี่คือหนึ่งในไฮไลท์ที่เราเชื่อว่าถูกใจชาวไทยสายชิลล์แน่นอน ช่วงที่เราไปเป็นตอนที่ดอกทิวลิปกำลังบานพอดี แค่ได้เห็นดอกไม้สีสันสดใสเรียงตัวสลับสีกันอย่างสวยงามสุดลูกหูลูกตาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาแล้ว ที่นี่มีดอกทิวลิปถึง 1,800,000 ดอกเชียวนะ ถ้ามาช่วงฤดูอื่นก็มีดอกไม้หลายชนิดให้ชม เช่น ดอกอาซาเลีย ดอกคอสมอส ดอกไอริส เป็นต้น ชมวิวแนวระนาบแล้วอยากชวนให้ขึ้นไปจุดชมวิว(จุดชมวิวเดียวกับที่ดูไฟนั่นแหละ) มองดอกไม้แสนสดใสจากมุมบนด้วย นอกจากจะสวยไปอีกแบบยังมีซอฟต์ครีมแสนอร่อย หวานนวลไปหมดทั้งบรรยากาศและขนมในมือ
3) สวน Begonia Garden
สำหรับคนรักดอกไม้ ต้องมาต่อที่สวน Begonia Garden ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ในอาคาร สวยหวานอลังการไปอีกแบบ แม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม 1,000 เยน แต่เราว่าคุ้มค่ามาก เพราะชมดอกไม้บานได้ตลอดปีไม่เกี่ยงฤดู มีดอกไม้หลายธีมให้ชมกันถึง 4 โซน ซึ่งทางสวนรวบรวมดอกไม้หลายร้อยชนิดจากทั่วโลกกว่า 12,000 ต้นมาอวดความสดใสในพื้นที่ 9,000 ตารางเมตร แค่เข้าไปเจอดอกเบโกเนียกว่า 5,000 ต้นในห้องแรกก็ฟินแล้ว แต่ที่ประทับใจมากที่สุดคือโซนสุดท้ายซึ่งมีดอกไม้และต้นไม้ห้อยลงมาจากเพดานสะท้อนเงาในสระน้ำสวยหวานละมุนราวกับอยู่ในโลกแห่งเทพนิยาย ต่อให้วันนั้นหน้าสด แค่มายืนตรงนี้ได้รูปสวยๆ แน่นอน ในอาคารนี้มีคาเฟ่ด้วยนะ ถ้ามีเวลาต้องแวะจิบ afternoon tea ท่ามกลางดอกไม้สวยๆ ก่อนไปเที่ยวต่อ
นอกจากนี้ยังมี Island Fuji ภูเขาไฟฟูจิจำลองที่บินได้! พาเราลอยขึ้นไป 45 เมตรเพื่อชมวิวสวนแบบพาโนรามาอย่างเพลิดเพลินตลอด 7 นาที
(ค่าขึ้น 500 เยน), Ashiyu หรือออนเซ็นสำหรับแช่เท้า เหมาะมากสำหรับชาวขี้เมื่อยที่เหนื่อยล้าจากการเดินเที่ยวมาทั้งวัน ร้านอาหาร ร้านขนมปัง คาเฟ่ และร้านขายของฝากมากมาย (ในร้านอาหารชื่อ Nagashima Beer Garden มีเครื่องดื่มท้องถิ่นที่เขาบ่มเองด้วยล่ะ!)
Nabana no Sato
Hours: 10:00-21:00 น. (เวลาทำการเปลี่ยนตามความเหมาะสม กรุณาเช็คในเว็บไซต์ก่อนไป)
Holiday: –
Entrance Fee: ค่าเข้าแตกต่างไปแล้วแต่ฤดูกาล พ.ค.-ต้นเดือนก.ค. 1,000 เยน, 27 ก.ค.-กลางเดือนก.ย. 1,600 เยน, กลางเดือนก.ย.-กลางเดือนต.ค. 2,300 เยน นอกเหนือจากนี้ยังไม่กำหนด
Nearest Station: สถานีนากาชิมะ (Nagashima Station)
Access: จากสถานีนากาชิมะ ให้ต่อรถบัสมาลงที่ป้าย นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana No Sato) ประมาณ 10 นาที
Website: www.nagashima-onsen.co.jp/nabana/fee/index.html
--- อ่านต่อที่คอมเมนท์จ้า---